บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
จอมโจรและสมุนของมันพายเรือเล็กออกค้นหาเชลยตัวสำคัญบนท้องทะเลมืดดำมะเมื่อมอยู่เป็นหลายสิบนาทีแต่ในที่สุดก็คว้าน้ำเหลวกลับมาขึ้นเรือใหญ่ นักสืบเอกอาเกจิ โคโงโรที่ซุ่มคอยทีอยู่ก็ลอบเข้ายึดเรือลำน้อยไว้ได้ในทันทีแล้วจ้วงฝีพายสุดแรงพาเรือผละห่างออกไปโดยที่เหล่าโจรไม่ทันรู้ตัว
ต่อมาภายหลังจึงรู้ว่า เรือกลไฟของโจรใจโหดลอยลำอยู่ประมาณเกือบกลางอ่าวโตเกียวห่างจากฝั่งประมาณ 2 กิโลเมตร แต่ตอนนั้นนักสืบอาเกจิไม่มีทางรู้หรือทำอะไรอื่นได้นอกจากต้องฝากชีวิตไว้กับเรือลำน้อยและยึดเอาแสงไฟที่กระพริบริบหรี่ราวแสงดาวไกลโพ้นซึ่งคงเป็นประภาคารที่ไหนสักแห่งเป็นที่พึ่ง
ที่เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดนั้นคงจะเป็นเช่นนี้นี่เอง ความสงบเงียบของบรรยากาศรอบบริเวณนั้นที่แท้ก็คือความเงียบก่อนเกิดพายุใหญ่ และพายุใหญ่ที่เกิดจากความปรวนแปรอย่างรุนแรงของอากาศในคืนวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้เข้าข่ายภัยพิบัติที่ชาวทะเลละแวกนั้นยังกล่าวขวัญกันไม่ขาดปากมาจนทุกวันนี้
คืนวันเดียวกันนั้น เรือประมงสามลำหายสาบสูญไปในเกลียวคลื่นที่โหมกระหน่ำ แม้แต่เรือเร็วของจอมโจรยังต้องแล่นฝ่าคลื่นลมอย่างเอาเป็นเอาตาย กว่าจะหลบเข้าฝั่งที่ท่าเรือประมงแถวนั้นได้ก็สำบักสะบอมไปตาม ๆ กัน
ระหว่างที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการพาเรือหนีพายุเข้าฝั่งนั้นเอง สมุนโจรคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าเรือเล็กที่ผูกไว้ท้ายเรือหายไป จึงตะโกนบอกพรรคพวกแต่ก็ไม่มีใครติดใจสงสัยอะไร เพราะพายุกระหน่ำรุนแรงอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรือลำเล็ก ๆ ที่ผูกไว้จะขาดลอยไป
ทางด้านอาเกจิ โคโงโรนั้นเล่า นักสืบเอกทุ่มเทกำลังทั้งหมดคัดไม้พายป่ายซ้ายปาดขวาอย่างไม่คิดชีวิต ประคองเรือที่ถูกคลื่นดำมะเมื่อมซัดขึ้นสูงและตกดิ่งลงมาอย่างน่าหวาดเสียวไม่ให้ล่มจมลง คลื่นซัดสาดน้ำทะเลลงมาบนหัวจนแรงจนสะเทือน และเข้าตาแสบจนลืมไม่ขึ้น เสียงพายุเสียงคลื่นครืน ๆ จนหูอื้อ เนื้อตัวเย็นเยียบแทบจะหมดความรู้สึก ชายหนุ่มหลับหูหลับตาจ้วงเอา ๆ ลงไปในทะเลบ้าคลื่นราวกับตุ๊กตากล ความรุนแรงของคลื่นยักษ์และพายุทำให้ไม่รู้แล้วว่ากำลังมุ่งหน้าไปทางทิศใด จะหันหลังกลับก็สิ้นหวังเพราะมาไกลจากเรือของจอมโจรมากแล้วจนมองไม่เห็นเงา เรือไม่แล่นไปข้างหน้าแม้จะ จ้วงพายลงไป จ้วงลงไปแต่ดูเหมือนจะวนเป็นวงอยู่ตรงนั้นเอง
คลื่นสูงราวภูเขาย่อม ๆ ถาโถมเข้ามาถี่ ๆ จนแทบไม่มีเวลาหายใจ คลื่นสูงหนุนเรือขึ้นสูงแล้วปล่อยทิ้งลงมาด้วยกำลังแรงราวกับจะส่งลงไปให้ถึงก้นนรก ในจังหวะที่เรือพุ่งหัวเข้าไปตรงกลางเกลียวคลื่นนั้นเอง อาเกจิ พบตัวเองอยู่ท่ามกลางวังน้ำวนทั้งบนล่างและซ้ายขวา ตัวของเขาแทบจะกระเด็นลอยขึ้นมาจากลำเรือ ชายหนุ่มกรีดร้องสุดเสียงด้วยสัญชาติญาณของมนุษย์ยามเผชิญหน้ากับอันตรายสุดขีด
สติปัญญาและพลังกายของมนุษย์ไร้ความหมายกลายเป็นเถ้าธุลีไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเผชิญกับพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ นักสืบเอกผู้ทรงปัญญากลายเป็นสัตว์โลกที่น่าเวทนาตะเกียกตะกายอยู่ในเกลียวคลื่นและวังวนของทะเลบ้า ไม่มีทางเลือกแม้แต่ไม้สักแผ่นที่ถูกคลื่นซัดมา
แล้วอย่างนี้นักสืบเอกจะเอาชีวิตรอดจากคลื่นลมในท้องทะเลที่ปั่นป่วนราวบ้าคลั่งได้ละหรือ หรือว่าจะโชคดีมีเรือกลไฟลำใหญ่ที่แล่นอยู่ในอ่าวมาช่วยเอาไว้ได้ทัน...หรือว่า หรือว่า
สองวันต่อมา เช้าวันที่ 19 ชาวกรุงโตเกียวก็ต้องตื่นตระหนกกับข่าวร้าย หนังสือพิมพ์ฉบับเช้าทุกฉบับลงคำไว้อาลัยแก่นักสืบเอกอย่างพร้อมเพรียงกัน อย่างเช่น หนังสือพิมพ์ A เขียนว่า
นักสืบเอกชนผู้มีชื่อเสียงอยู่ในแนวหน้า อาเกจิ โคโงโร จมน้ำเสียชีวิต หรือว่าเป็นฝีมือของฆาตกรใจโหดที่สังหารนายฟุกุดะ ...พบศพคนจมน้ำตายลอยมาเกยฝั่งทะเลสึกิชิมะ
ฆาตกรใจโหดฆ่าตัดคอนายฟุกุดะ โทกุจิโรแล้วเอาศีรษะลอยน้ำผ่านสะพานชิโรฮิเงะ สร้างความสยดสยองอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนให้แก่ผู้คนมาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง คราวนี้น่าสงสัยว่าฆาตกรคนเดียวกันนี้เองได้ยื่นมือเข้ามาจัดการเก็บอาเกจิ โคโงโร นักสืบเอกชนที่เป็นศัตรูของมันด้วยวิธีที่ประหลาดเหลือ มีข่าวว่านักสืบอาเกจิหายตัวไปตั้งแต่วันที่นายฟุกุดะถูกฆาตกรรมโหด ไม่ว่าทางการตำรวจจะระดมกำลังสืบหากันอย่างเต็มที่เพียงใดก็ไม่พบ จนกระทั่งเมื่อ 16.00 น.วันที่ 18 มีผู้พบศพคนจมน้ำตายลอยมาเกยฝั่งทะเลสึกิชิมะ การชัณสูตรศพปรากฏผลเหนือความคาดหมายเพราะพบว่าผู้ตายคืออาเกจิ โคโงโร
นักสืบอาเกจิหายตัวไปอย่างไม่มีร่องรอยระหว่างเดินทางจากทะเลสาบ S ที่เขาไปพักผ่อนอยู่ กลับโตเกียวอย่างเร่งด่วนตามคำขอของนายฟุกุดะ ซึ่งมองกันว่าอาจตกไปอยู่ในเงื้อมมือของฆาตกรที่สังหารนายฟุกุดะ การพบศพนักสืบอาเกจิทำให้ข้อสงสัยนั้นใกล้ความเป็นจริงยิ่งขึ้น เหตุการณ์หัวศพลอยน้ำก็ดี การตายของนักสืบอาเกจิก็ดีล้วนมีความเกี่ยวข้องกับน้ำ ดังนั้นดูเหมือนว่าคณะเจ้าหน้าที่ของทางการตำรวจจะเริ่มการสืบสวน โดยมุ่งเน้นไปยังประเด็นที่ว่าฆาตกรใจโหดใช้เรือเป็นซ่องโจร
ท้ายข่าว เป็นประวัติและผลงานของอาเกจิ โคโงโร และคำสัมภาษณ์สารวัตรนามิโคชิที่เป็นสหายสนิท
ผู้อ่านคงตกใจไปตาม ๆ กันเมื่อได้อ่านข่าวที่เหนือความคาดหมายข่าวนี้ อะไรกัน...เรื่องเพิ่งจะเริ่มไปได้ไม่ทันไร อาเกจิ โคโงโรซึ่งควรต้องเป็นตัวเอกของเรื่องกลับมาตายเสียแล้ว และอย่างนี้ใครเล่าจะมาต่อกรกับฆาตกรใจโหดรายนี้
ไม่หรอก...จะเป็นไปได้อย่างไร พระเอกยอดนิยมอย่างอาเกจิ โคโงโรคงไม่ตายง่าย ๆ อย่างนั้นหรอก หนังสือพิมพ์คงจะเข้าใจอะไรผิดไปละมัง...ใช่...จะต้องมีผู้อ่านบางคนสงสัยเช่นนั้น
เมื่อเรื่องราวคืบหน้าไปก็จะรู้กันเองแหละว่าอะไรเป็นอะไร ผู้เขียนก็ได้แต่ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ข้อพิสูจน์ที่ว่าข่าวหนังสือพิมพ์ที่อ่านกันไปแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องโกหกก็คือ หลังจากนั้นไม่ได้มีการแถลงยกเลิกข่าวนั้นแต่อย่างไร ยิ่งกว่านั้นสารวัตรนามิโคชิยังมารับศพอาเกจิ โคโงโร สหายสนิทของเขาไปที่บ้านแล้วจัดพิธีศพให้อย่างสมเกียรติ คนในสังคมไม่มีใครสงสัยเลยสักคนเดียว และไม่มีใครที่จะไม่โศกเศร้าไปกับการตายอย่างกะทันหันของนักสืบเอกผู้นี้

อักษรปริศนา
หลายวันต่อมา ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นที่คฤหาสน์ของนายทามามุระที่โอโมริในเขตยามาโนะเตะ
คฤหาสน์ทามามุระตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินสูงกลางที่ดินผืนกว้างใหญ่ห่างไกลจากชุมชน ตัวคฤหาสน์ที่สร้างในช่วงกลางสมัยเมจิเป็นอาคารหลังใหญ่มีพื้นที่กว้างขวาง ประกอบด้วยเรือนฝรั่งก่อด้วยอิฐและเรือนญี่ปุ่น ล้อมรอบด้วยสวนญี่ปุ่น ซึ่งมีภูเขาที่ก่อขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ สระน้ำ และศาลา ราวกับอยู่ในป่าไม้
จุดเด่นของคฤหาสน์ทามามุระคือหอนาฬิกาแบบเก่าที่สูงเด่นอยู่บนหลังคาเรือนฝรั่งที่ก่อด้วยอิฐ ทามามุระเป็นบริษัทอัญมณีชั้นนำที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น นอกจากจะทำธุรกิจซื้อขายอัญมณีแล้วยังเป็นผู้ผลิตจำหน่ายนาฬิกาสืบทอดกันมาแต่โบราณ หอนาฬิกานี้เดิมตั้งอยู่บนหลังคาของร้านที่โตเกียวเป็นสัญลักษณ์ของร้านนาฬิกา แต่ได้ตกโค่นลงมาเมื่อครั้งเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ตอนบูรณะร้านใหม่นายทามามุระเห็นว่าดูจะล้าสมัยไปแล้วจึงให้ขนย้ายไปยังคฤหาสน์ที่โอโมริ แล้วติดตั้งไว้เป็นที่ระลึกบนหลังคาเรือนฝรั่ง...นั่นคือประวัติของหอนาฬิกาคฤหาสน์ทามามุระที่รู้จักกันดีในละแวกนั้น
เด็กนักเรียนในโรงเรียนมัธยมต้นที่อยู่ใกล้เคียงอาณาบริเวณของคฤหาสน์เรียกหอนาฬิกานี้ว่า “หอปีศาจ” ซึ่งจำมาจาก “หอปีศาจ” ในนิยายของรุยโค โชชิ และเมื่อพิศดูดี ๆ ก็จะเห็นว่าเรือนฝรั่งก่อด้วยอิฐแบบเก่าที่ตั้งเด่นอยู่กลางเนินนั้นดูเหมือนหอปีศาจในนิยายจริง ๆ เสียด้วย
ตัวนาฬิกาของหอที่สูงชะลูดขึ้นไปนั้นเป็นนาฬิกาแบบไขลานที่มีขนาดใหญ่มาก เส้นผ่าศูนย์กลางของหน้าปัดกว้างถึงสี่เมตร และคงสร้างด้วยกลไกที่ละเอียดเที่ยงตรงมากเพราะขนาดถูกกระทบกระเทือนด้วยแรงแผ่นดินไหวมาแล้ว ยังบอกเวลาอย่างไม่คลาดเคลื่อน เข็มนาฬิกาทำด้วยเหล็กแท่งใหญ่ขนาดเท่าความสูงของคนยังเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอมาจนทุกวันนี้ ทั้งยังตีบอกเวลาทุกชั่วโมงราวกับนาฬิกาตามโบสถ์ฝรั่งอีกด้วย
คฤหาสน์โดดเดี่ยวบนเนินห่างไกลชุมชน และหอปีศาจ ชั่งเป็นฉากที่เหมาะกับการก่ออาชญากรรมสยองขวัญอะไรเช่นนั้น และเป้าหมายของปีศาจฆาตกรก็คือนายทามามุระ ผู้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์นั่นเอง
คงไม่ต้องบอกว่าคนในครอบครัวทามามุระอกสั่นขวัญแขวนกันเพียงใดกับเหตุฆาตกรรมนายฟุกุดะ ที่เพิ่งเกิดไป สด ๆ ร้อน ๆ นายทามามุระป้องกันตนเองจากศัตรูที่มองไม่เห็นตัวอย่างรอบคอบ เขาได้ยื่นคำขอไปยังสถานีตำรวจท้องที่ให้ส่งตำรวจนักสืบมาคอยเฝ้าระวังที่หน้าประตูใหญ่ ทั้งยังจ้างคนรับใช้ใหม่เป็นชายฉกรรจ์มาคอยคุ้มกันด้วย
ขณะที่เจ้าหนุ่มจิโรผู้อยู่ในที่เกิดเหตุฆาตกรรมโหดนายฟุกุดะ และทาเอโกะผู้หวั่นไหวกับลางสังหรณ์เหมือนฝันร้ายจะคลายความหวาดกลัวลงไปบ้างแล้ว แต่ทำไมนายทามามุระผู้เป็นพ่อถึงได้ยังกลัวฆาตกรปีศาจขนาดนี้ นาย ทามามุระไม่พูดอะไรออกมาแต่เป็นไปได้ไหมว่าเขาแอบรู้ตัวจริงของปีศาจพยาบาทตนนี้อยู่อย่างลับ ๆ
นายทามามุระเคยพูดเมื่อเจ้าหนุ่มจิโรลูกชายของเขาถามถึงเรื่องนี้ว่า
“ไม่มีใครเกลียดพ่อ อาของเจ้าก็เหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีศัตรูที่เกลียดชังกันจนถึงต้องฆ่าอย่างเหี้ยมโหดอย่างนั้น บางทีฆาตกรอาจไม่มีอะไรกับพ่อหรืออาจเจ้าเป็นส่วนตัว แต่เป็นความแค้นที่มีต่อตระกูลเราทั้งหมดก็ได้ ไม่เอาละเจ้าอย่าถามเลย แค่คิดพ่อก็กลัวจนเหงื่อกาฬแตกแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้...”
เขาจบคำพูดด้วยเสียงขื่น ๆ แล้วไม่ตอบอะไรอีกเลยแม้ลูกชายจะพยายามถามเพียงไร
วันหนึ่ง ทามามุระ จิโร ออกไปเที่ยวกับเพื่อนในตัวเมืองโตเกียวจนบ่ายจึงกลับคฤหาสน์ที่โอโมริ พอเดินผ่านซุ้มประตูใหญ่และเผอิญเหลือบผ่านพุ่มไม้ไปทางสวนก็เห็นสิ่งผิดปกติที่น่าฉงน
ทางด้านโน้นของพุ่มไม้เป็นลานทรายกว้างขวาง มีคอร์ดเทนนิส และชิงช้า แต่บนพื้นจิโรเห็นเลข 8 ตัวใหญ่เรียงรายกันอยู่หลายตัว เหมือนใครใช้กิ่งไม้เขียน ลายมือดูไม่ได้เอาเลย
คงไม่มีอะไรนอกจากคนมือบอนมาเขียนเล่น...ใคร ๆ คงคิดเช่นนั้นแต่ไม่ใช่เจ้าหนุ่มจิโร ซึ่งพอเห็นและคิดถึงตัวเลขแจ้งล่วงหน้าการตายของนายฟุกุดะ เจ้าหนุ่มก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เจ้าหนุ่มจิโรไม่อาจเดินผ่านไปได้ เขาเปิดประตูไม้ระแนงก้าวเข้าไปในสวน เลข 8 เริ่มจากกลางลานทราย ทิ้งระยะตัวละประมาณ 2 เมตรเป็นแนวไปทางเรือนฝรั่ง จิโรเดินตามอักษรปริศนาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงมุมตึกฝรั่ง...
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
จอมโจรและสมุนของมันพายเรือเล็กออกค้นหาเชลยตัวสำคัญบนท้องทะเลมืดดำมะเมื่อมอยู่เป็นหลายสิบนาทีแต่ในที่สุดก็คว้าน้ำเหลวกลับมาขึ้นเรือใหญ่ นักสืบเอกอาเกจิ โคโงโรที่ซุ่มคอยทีอยู่ก็ลอบเข้ายึดเรือลำน้อยไว้ได้ในทันทีแล้วจ้วงฝีพายสุดแรงพาเรือผละห่างออกไปโดยที่เหล่าโจรไม่ทันรู้ตัว
ต่อมาภายหลังจึงรู้ว่า เรือกลไฟของโจรใจโหดลอยลำอยู่ประมาณเกือบกลางอ่าวโตเกียวห่างจากฝั่งประมาณ 2 กิโลเมตร แต่ตอนนั้นนักสืบอาเกจิไม่มีทางรู้หรือทำอะไรอื่นได้นอกจากต้องฝากชีวิตไว้กับเรือลำน้อยและยึดเอาแสงไฟที่กระพริบริบหรี่ราวแสงดาวไกลโพ้นซึ่งคงเป็นประภาคารที่ไหนสักแห่งเป็นที่พึ่ง
ที่เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดนั้นคงจะเป็นเช่นนี้นี่เอง ความสงบเงียบของบรรยากาศรอบบริเวณนั้นที่แท้ก็คือความเงียบก่อนเกิดพายุใหญ่ และพายุใหญ่ที่เกิดจากความปรวนแปรอย่างรุนแรงของอากาศในคืนวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้เข้าข่ายภัยพิบัติที่ชาวทะเลละแวกนั้นยังกล่าวขวัญกันไม่ขาดปากมาจนทุกวันนี้
คืนวันเดียวกันนั้น เรือประมงสามลำหายสาบสูญไปในเกลียวคลื่นที่โหมกระหน่ำ แม้แต่เรือเร็วของจอมโจรยังต้องแล่นฝ่าคลื่นลมอย่างเอาเป็นเอาตาย กว่าจะหลบเข้าฝั่งที่ท่าเรือประมงแถวนั้นได้ก็สำบักสะบอมไปตาม ๆ กัน
ระหว่างที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการพาเรือหนีพายุเข้าฝั่งนั้นเอง สมุนโจรคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าเรือเล็กที่ผูกไว้ท้ายเรือหายไป จึงตะโกนบอกพรรคพวกแต่ก็ไม่มีใครติดใจสงสัยอะไร เพราะพายุกระหน่ำรุนแรงอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรือลำเล็ก ๆ ที่ผูกไว้จะขาดลอยไป
ทางด้านอาเกจิ โคโงโรนั้นเล่า นักสืบเอกทุ่มเทกำลังทั้งหมดคัดไม้พายป่ายซ้ายปาดขวาอย่างไม่คิดชีวิต ประคองเรือที่ถูกคลื่นดำมะเมื่อมซัดขึ้นสูงและตกดิ่งลงมาอย่างน่าหวาดเสียวไม่ให้ล่มจมลง คลื่นซัดสาดน้ำทะเลลงมาบนหัวจนแรงจนสะเทือน และเข้าตาแสบจนลืมไม่ขึ้น เสียงพายุเสียงคลื่นครืน ๆ จนหูอื้อ เนื้อตัวเย็นเยียบแทบจะหมดความรู้สึก ชายหนุ่มหลับหูหลับตาจ้วงเอา ๆ ลงไปในทะเลบ้าคลื่นราวกับตุ๊กตากล ความรุนแรงของคลื่นยักษ์และพายุทำให้ไม่รู้แล้วว่ากำลังมุ่งหน้าไปทางทิศใด จะหันหลังกลับก็สิ้นหวังเพราะมาไกลจากเรือของจอมโจรมากแล้วจนมองไม่เห็นเงา เรือไม่แล่นไปข้างหน้าแม้จะ จ้วงพายลงไป จ้วงลงไปแต่ดูเหมือนจะวนเป็นวงอยู่ตรงนั้นเอง
คลื่นสูงราวภูเขาย่อม ๆ ถาโถมเข้ามาถี่ ๆ จนแทบไม่มีเวลาหายใจ คลื่นสูงหนุนเรือขึ้นสูงแล้วปล่อยทิ้งลงมาด้วยกำลังแรงราวกับจะส่งลงไปให้ถึงก้นนรก ในจังหวะที่เรือพุ่งหัวเข้าไปตรงกลางเกลียวคลื่นนั้นเอง อาเกจิ พบตัวเองอยู่ท่ามกลางวังน้ำวนทั้งบนล่างและซ้ายขวา ตัวของเขาแทบจะกระเด็นลอยขึ้นมาจากลำเรือ ชายหนุ่มกรีดร้องสุดเสียงด้วยสัญชาติญาณของมนุษย์ยามเผชิญหน้ากับอันตรายสุดขีด
สติปัญญาและพลังกายของมนุษย์ไร้ความหมายกลายเป็นเถ้าธุลีไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเผชิญกับพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ นักสืบเอกผู้ทรงปัญญากลายเป็นสัตว์โลกที่น่าเวทนาตะเกียกตะกายอยู่ในเกลียวคลื่นและวังวนของทะเลบ้า ไม่มีทางเลือกแม้แต่ไม้สักแผ่นที่ถูกคลื่นซัดมา
แล้วอย่างนี้นักสืบเอกจะเอาชีวิตรอดจากคลื่นลมในท้องทะเลที่ปั่นป่วนราวบ้าคลั่งได้ละหรือ หรือว่าจะโชคดีมีเรือกลไฟลำใหญ่ที่แล่นอยู่ในอ่าวมาช่วยเอาไว้ได้ทัน...หรือว่า หรือว่า
สองวันต่อมา เช้าวันที่ 19 ชาวกรุงโตเกียวก็ต้องตื่นตระหนกกับข่าวร้าย หนังสือพิมพ์ฉบับเช้าทุกฉบับลงคำไว้อาลัยแก่นักสืบเอกอย่างพร้อมเพรียงกัน อย่างเช่น หนังสือพิมพ์ A เขียนว่า
นักสืบเอกชนผู้มีชื่อเสียงอยู่ในแนวหน้า อาเกจิ โคโงโร จมน้ำเสียชีวิต หรือว่าเป็นฝีมือของฆาตกรใจโหดที่สังหารนายฟุกุดะ ...พบศพคนจมน้ำตายลอยมาเกยฝั่งทะเลสึกิชิมะ
ฆาตกรใจโหดฆ่าตัดคอนายฟุกุดะ โทกุจิโรแล้วเอาศีรษะลอยน้ำผ่านสะพานชิโรฮิเงะ สร้างความสยดสยองอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนให้แก่ผู้คนมาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง คราวนี้น่าสงสัยว่าฆาตกรคนเดียวกันนี้เองได้ยื่นมือเข้ามาจัดการเก็บอาเกจิ โคโงโร นักสืบเอกชนที่เป็นศัตรูของมันด้วยวิธีที่ประหลาดเหลือ มีข่าวว่านักสืบอาเกจิหายตัวไปตั้งแต่วันที่นายฟุกุดะถูกฆาตกรรมโหด ไม่ว่าทางการตำรวจจะระดมกำลังสืบหากันอย่างเต็มที่เพียงใดก็ไม่พบ จนกระทั่งเมื่อ 16.00 น.วันที่ 18 มีผู้พบศพคนจมน้ำตายลอยมาเกยฝั่งทะเลสึกิชิมะ การชัณสูตรศพปรากฏผลเหนือความคาดหมายเพราะพบว่าผู้ตายคืออาเกจิ โคโงโร
นักสืบอาเกจิหายตัวไปอย่างไม่มีร่องรอยระหว่างเดินทางจากทะเลสาบ S ที่เขาไปพักผ่อนอยู่ กลับโตเกียวอย่างเร่งด่วนตามคำขอของนายฟุกุดะ ซึ่งมองกันว่าอาจตกไปอยู่ในเงื้อมมือของฆาตกรที่สังหารนายฟุกุดะ การพบศพนักสืบอาเกจิทำให้ข้อสงสัยนั้นใกล้ความเป็นจริงยิ่งขึ้น เหตุการณ์หัวศพลอยน้ำก็ดี การตายของนักสืบอาเกจิก็ดีล้วนมีความเกี่ยวข้องกับน้ำ ดังนั้นดูเหมือนว่าคณะเจ้าหน้าที่ของทางการตำรวจจะเริ่มการสืบสวน โดยมุ่งเน้นไปยังประเด็นที่ว่าฆาตกรใจโหดใช้เรือเป็นซ่องโจร
ท้ายข่าว เป็นประวัติและผลงานของอาเกจิ โคโงโร และคำสัมภาษณ์สารวัตรนามิโคชิที่เป็นสหายสนิท
ผู้อ่านคงตกใจไปตาม ๆ กันเมื่อได้อ่านข่าวที่เหนือความคาดหมายข่าวนี้ อะไรกัน...เรื่องเพิ่งจะเริ่มไปได้ไม่ทันไร อาเกจิ โคโงโรซึ่งควรต้องเป็นตัวเอกของเรื่องกลับมาตายเสียแล้ว และอย่างนี้ใครเล่าจะมาต่อกรกับฆาตกรใจโหดรายนี้
ไม่หรอก...จะเป็นไปได้อย่างไร พระเอกยอดนิยมอย่างอาเกจิ โคโงโรคงไม่ตายง่าย ๆ อย่างนั้นหรอก หนังสือพิมพ์คงจะเข้าใจอะไรผิดไปละมัง...ใช่...จะต้องมีผู้อ่านบางคนสงสัยเช่นนั้น
เมื่อเรื่องราวคืบหน้าไปก็จะรู้กันเองแหละว่าอะไรเป็นอะไร ผู้เขียนก็ได้แต่ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ข้อพิสูจน์ที่ว่าข่าวหนังสือพิมพ์ที่อ่านกันไปแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องโกหกก็คือ หลังจากนั้นไม่ได้มีการแถลงยกเลิกข่าวนั้นแต่อย่างไร ยิ่งกว่านั้นสารวัตรนามิโคชิยังมารับศพอาเกจิ โคโงโร สหายสนิทของเขาไปที่บ้านแล้วจัดพิธีศพให้อย่างสมเกียรติ คนในสังคมไม่มีใครสงสัยเลยสักคนเดียว และไม่มีใครที่จะไม่โศกเศร้าไปกับการตายอย่างกะทันหันของนักสืบเอกผู้นี้
อักษรปริศนา
หลายวันต่อมา ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นที่คฤหาสน์ของนายทามามุระที่โอโมริในเขตยามาโนะเตะ
คฤหาสน์ทามามุระตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินสูงกลางที่ดินผืนกว้างใหญ่ห่างไกลจากชุมชน ตัวคฤหาสน์ที่สร้างในช่วงกลางสมัยเมจิเป็นอาคารหลังใหญ่มีพื้นที่กว้างขวาง ประกอบด้วยเรือนฝรั่งก่อด้วยอิฐและเรือนญี่ปุ่น ล้อมรอบด้วยสวนญี่ปุ่น ซึ่งมีภูเขาที่ก่อขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ สระน้ำ และศาลา ราวกับอยู่ในป่าไม้
จุดเด่นของคฤหาสน์ทามามุระคือหอนาฬิกาแบบเก่าที่สูงเด่นอยู่บนหลังคาเรือนฝรั่งที่ก่อด้วยอิฐ ทามามุระเป็นบริษัทอัญมณีชั้นนำที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น นอกจากจะทำธุรกิจซื้อขายอัญมณีแล้วยังเป็นผู้ผลิตจำหน่ายนาฬิกาสืบทอดกันมาแต่โบราณ หอนาฬิกานี้เดิมตั้งอยู่บนหลังคาของร้านที่โตเกียวเป็นสัญลักษณ์ของร้านนาฬิกา แต่ได้ตกโค่นลงมาเมื่อครั้งเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ตอนบูรณะร้านใหม่นายทามามุระเห็นว่าดูจะล้าสมัยไปแล้วจึงให้ขนย้ายไปยังคฤหาสน์ที่โอโมริ แล้วติดตั้งไว้เป็นที่ระลึกบนหลังคาเรือนฝรั่ง...นั่นคือประวัติของหอนาฬิกาคฤหาสน์ทามามุระที่รู้จักกันดีในละแวกนั้น
เด็กนักเรียนในโรงเรียนมัธยมต้นที่อยู่ใกล้เคียงอาณาบริเวณของคฤหาสน์เรียกหอนาฬิกานี้ว่า “หอปีศาจ” ซึ่งจำมาจาก “หอปีศาจ” ในนิยายของรุยโค โชชิ และเมื่อพิศดูดี ๆ ก็จะเห็นว่าเรือนฝรั่งก่อด้วยอิฐแบบเก่าที่ตั้งเด่นอยู่กลางเนินนั้นดูเหมือนหอปีศาจในนิยายจริง ๆ เสียด้วย
ตัวนาฬิกาของหอที่สูงชะลูดขึ้นไปนั้นเป็นนาฬิกาแบบไขลานที่มีขนาดใหญ่มาก เส้นผ่าศูนย์กลางของหน้าปัดกว้างถึงสี่เมตร และคงสร้างด้วยกลไกที่ละเอียดเที่ยงตรงมากเพราะขนาดถูกกระทบกระเทือนด้วยแรงแผ่นดินไหวมาแล้ว ยังบอกเวลาอย่างไม่คลาดเคลื่อน เข็มนาฬิกาทำด้วยเหล็กแท่งใหญ่ขนาดเท่าความสูงของคนยังเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอมาจนทุกวันนี้ ทั้งยังตีบอกเวลาทุกชั่วโมงราวกับนาฬิกาตามโบสถ์ฝรั่งอีกด้วย
คฤหาสน์โดดเดี่ยวบนเนินห่างไกลชุมชน และหอปีศาจ ชั่งเป็นฉากที่เหมาะกับการก่ออาชญากรรมสยองขวัญอะไรเช่นนั้น และเป้าหมายของปีศาจฆาตกรก็คือนายทามามุระ ผู้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์นั่นเอง
คงไม่ต้องบอกว่าคนในครอบครัวทามามุระอกสั่นขวัญแขวนกันเพียงใดกับเหตุฆาตกรรมนายฟุกุดะ ที่เพิ่งเกิดไป สด ๆ ร้อน ๆ นายทามามุระป้องกันตนเองจากศัตรูที่มองไม่เห็นตัวอย่างรอบคอบ เขาได้ยื่นคำขอไปยังสถานีตำรวจท้องที่ให้ส่งตำรวจนักสืบมาคอยเฝ้าระวังที่หน้าประตูใหญ่ ทั้งยังจ้างคนรับใช้ใหม่เป็นชายฉกรรจ์มาคอยคุ้มกันด้วย
ขณะที่เจ้าหนุ่มจิโรผู้อยู่ในที่เกิดเหตุฆาตกรรมโหดนายฟุกุดะ และทาเอโกะผู้หวั่นไหวกับลางสังหรณ์เหมือนฝันร้ายจะคลายความหวาดกลัวลงไปบ้างแล้ว แต่ทำไมนายทามามุระผู้เป็นพ่อถึงได้ยังกลัวฆาตกรปีศาจขนาดนี้ นาย ทามามุระไม่พูดอะไรออกมาแต่เป็นไปได้ไหมว่าเขาแอบรู้ตัวจริงของปีศาจพยาบาทตนนี้อยู่อย่างลับ ๆ
นายทามามุระเคยพูดเมื่อเจ้าหนุ่มจิโรลูกชายของเขาถามถึงเรื่องนี้ว่า
“ไม่มีใครเกลียดพ่อ อาของเจ้าก็เหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีศัตรูที่เกลียดชังกันจนถึงต้องฆ่าอย่างเหี้ยมโหดอย่างนั้น บางทีฆาตกรอาจไม่มีอะไรกับพ่อหรืออาจเจ้าเป็นส่วนตัว แต่เป็นความแค้นที่มีต่อตระกูลเราทั้งหมดก็ได้ ไม่เอาละเจ้าอย่าถามเลย แค่คิดพ่อก็กลัวจนเหงื่อกาฬแตกแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้...”
เขาจบคำพูดด้วยเสียงขื่น ๆ แล้วไม่ตอบอะไรอีกเลยแม้ลูกชายจะพยายามถามเพียงไร
วันหนึ่ง ทามามุระ จิโร ออกไปเที่ยวกับเพื่อนในตัวเมืองโตเกียวจนบ่ายจึงกลับคฤหาสน์ที่โอโมริ พอเดินผ่านซุ้มประตูใหญ่และเผอิญเหลือบผ่านพุ่มไม้ไปทางสวนก็เห็นสิ่งผิดปกติที่น่าฉงน
ทางด้านโน้นของพุ่มไม้เป็นลานทรายกว้างขวาง มีคอร์ดเทนนิส และชิงช้า แต่บนพื้นจิโรเห็นเลข 8 ตัวใหญ่เรียงรายกันอยู่หลายตัว เหมือนใครใช้กิ่งไม้เขียน ลายมือดูไม่ได้เอาเลย
คงไม่มีอะไรนอกจากคนมือบอนมาเขียนเล่น...ใคร ๆ คงคิดเช่นนั้นแต่ไม่ใช่เจ้าหนุ่มจิโร ซึ่งพอเห็นและคิดถึงตัวเลขแจ้งล่วงหน้าการตายของนายฟุกุดะ เจ้าหนุ่มก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เจ้าหนุ่มจิโรไม่อาจเดินผ่านไปได้ เขาเปิดประตูไม้ระแนงก้าวเข้าไปในสวน เลข 8 เริ่มจากกลางลานทราย ทิ้งระยะตัวละประมาณ 2 เมตรเป็นแนวไปทางเรือนฝรั่ง จิโรเดินตามอักษรปริศนาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงมุมตึกฝรั่ง...