บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
อาเกจิ โคโงโร นักสืบหนุ่มเจ้าเสน่ห์สงบสติอารมณ์ประทังความหิวด้วยอาหารที่สาวน้อยโฉมงามนำมาให้ถึงมือโดยไม่กังวลว่าจะถูกวางยาพิษ เพราะถ้าหวังฆ่าเขาก็คงตายไปแล้วระหว่างที่หลับใหลไม่ได้สติ อาเกจิตักอาหารเข้าปากพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องแคบ ๆ ไร้หน้าต่างห้องนั้น
ด้านหนึ่งของห้องเป็นชั้นหนังสือใหญ่กินเนื้อที่เกือบเต็มทั้งฝาผนัง แน่นไปด้วยหนังสือปกแข็งเดินทองจนแทบไม่มีที่แทรกสำหรับกระดาษสักแผ่น ข้าง ๆ ชั้นหนังสือประดับไว้ด้วยหน้ากากตัวตลกสำหรับแต่งแฟนซีแบบฝรั่ง ส่วนตรงมุมห้องอีกด้านหนึ่งมีแจกันจัดช่อดอกเดซี่เอาไว้ลวก ๆ ดูไม่มีความประณีตบรรจง
ช่อดอกไม้ หนังสือ อาหารหรู และห้องฝรั่งโก้เก๋ ไม่มีอะไรบกพร่องราวกับเป็นการต้อนรับแขกคนสำคัญ มากกว่ากักกันเชลย
ทันทีที่ชายหนุ่มวางมือจากอาหาร ประตูห้องก็เปิดออกราวกับมีใครคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ สาวน้อยคนเดิมเดินเข้ามาเก็บถาดอาหารพร้อมกับวางกล่องซิการ์ลงแทนที่ และทำท่าจะออกจากห้องไปโดยไม่พูดไม่จา
นักสืบรูปงามคว้าข้อมือสาวน้อยไว้ได้ทันแล้วพูดปนหัวเราะเย้ย ๆ ว่า
“ในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่าตัวเองตกอยู่ในสภาพอย่างไร นี่เธอคงเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลาถึงได้เข้ามาทันควันอย่างนี้ ที่ประตูคงเจาะรูถ้ำมองเอาไว้ละซี”
“ไม่มีอะไรอย่างนั้นสักหน่อย”
สาวน้อยพูดยิ้ม ๆ ขณะดึงมือออกจากการเกาะกุมอย่างสุภาพ
“ฉันอยากไปห้องน้ำ”
คงไม่ต้องบอกว่าความจริงแล้วธรรมชาติไม่ได้เร่งรัดขนาดนั้น เชลยรูปงามแค่อยากรู้วิธีปลดโซ่ออกจากข้อเท้าของเขา ซึ่งก็ได้ผล สาวน้อยไม่ตอบ เจ้าหล่อนทรุดตัวลงแล้วหยิบกุญแจดอกเล็ก ๆ จากกระเป๋ากระโปรงออกมาไขปลดโซ่ออกอย่างง่ายดาย
“หมายความว่าฉันเป็นอิสระแล้ว ถ้าคิดจะหนีก็หนีได้แล้วใช่ไหม”
อาเกจิยิ้มยั่วดวงตาโตเป็นประกายวาว
“ตายจริง” สาวน้อยดูเหมือนจะตกใจจริง ๆ หน้าซีดขาวไปเลยทีเดียวแต่ก็ยังมีควบคุมสติให้เผชิญภาวะวิกฤติได้อย่างฉับพลัน เจ้าหล่อนชักปืนพกกระบอกจิ๋วที่เหน็บไว้ข้างหลังออกมาเล็งปากกระบอกไปที่เชลยหนุ่มด้วยท่าของนางเสือสาวแม้มือจะยังสั่น
“ไม่ได้ คุณจะหนีไปไหนไม่ได้เป็นอันขาด อย่าทำให้ดิฉันลำบากเป็นดีที่สุด อย่าหนี อย่าหนีนะดิฉันขอร้อง”
สาวน้อยลงท้ายด้วยเสียงอ่อนโยนลงจนเกือบออดอ้อน ส่วนสีหน้าที่ยังซีดขาวนั้นเล่าก็บ่งบอกถึงความหวาดหวั่นและลำบากใจอย่างปิดไม่มิดทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าไม่ใช่จริตมารยา ถึงจะไม่เข้าใจท่าทางแปลก ๆ ของเจ้าหล่อน แต่ภาวะแวดล้อมในขณะนั้นไม่เอื้อให้นักสืบเอกรูปงามใจอ่อนกับสาวน้อยตรงหน้า
“ล้อเล่นน่า ฉันล้อเล่น ใครจะหนีไปไหนได้”
อาเกจิหัวเราะ และในเสี้ยววินาทีที่ผู้คุมสาวไหวตัวไปกับเสียงหัวเราะนั้นเอง เขาก็ดีดตัวขึ้นแย่งปืนกระบอกจิ๋วจากมือสาวน้อยมาได้ในฉับพลัน
“อย่า...อย่าทำอย่างนั้น คุณไม่รู้อะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
นักสืบเอกไม่ฟัง เขาผลักสาวน้อยไปทางหนึ่งแล้วกระโจนออกไปจากช่องประตูที่เปิดทิ้งไว้ แต่ก็ต้องชะงักเท้าเพราะระเบียงทางเดินมืดสนิทไม่รู้ว่าทางไหนเป็นทางไหนและมีอะไรขวางหน้า
ทันใดนั้นเองนักสืบเอกก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อแผ่นหลังของเขาถูกกระแทกด้วยของแข็ง พร้อมกับเสียงสั่งที่มีกังวานเฉียบขาด
“ยกมือขึ้น โยนปืนทิ้งไป ไม่อย่างนั้นจะโดนกระสุนเจาะตัวพรุนแน่”

ของแข็งที่กระแทกแผ่นหลังนักสืบเอกคือปลายกระบอกปืน และเจ้าของมันคือชายร่างใหญ่สวมหน้ากากที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูอยู่ในความมืดสนิทของระเบียงทางเดิน ผลสุดท้ายนักสืบอาเกจิก็ถูกตะครุบตัวกลับไปถูกล่ามโซ่เหมือนหมีในสวนสัตว์ตามเดิม การทดลองหยั่งดูกำลังของศัตรูครั้งนี้อย่างน้อยก็ช่วยให้รู้ว่าเขาถูกควบคุมตัวอย่างหนาแน่นเพียงใดและไม่ควรประมาทพลาดท่า
“อย่าพยายามขัดขืนให้พวกเรายุ่งยากไปหน่อยเลย นอนเฉย ๆ ดีกว่า”
ชายร่างใหญ่สวมหน้ากากทิ้งท้ายด้วยคำปรามเสียงห้าว ก่อนพาสาวน้อยออกไปจากห้อง
อาเกจิไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอนตัวลงนอนบนโซฟา แต่สมองของเขาไม่ได้อยู่เฉย ยิ่งถูกควบคุมตัวแน่นหนาเพียงไรก็ยิ่งแสดงให้เขาเห็นถึงความสำคัญของความลึกลับที่แฝงอยู่เบื้องหลังนายฟุกุดะ โทกุจิโรชัดเจนเพียงนั้น และบอกกับตัวเองว่าเห็นทีจะนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้เสียแล้ว
นักสืบหนุ่มตกลงใจที่จะตัดโซ่ที่ล่ามข้อเท้าของเขาอยู่ให้ได้ภายในคืนนี้ เขาแกล้งทำเป็นหลับโดยส่งเสียงกรนดัง ๆ ราวสามสิบนาทีก่อนจะเงียบไปเพื่อหลอกให้คนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูคิดว่าหลับสนิทดีแล้ว จากนั้นจึงเอากระดาษไปอุดรูกุญแจไว้พร้อมกับแนบหูฟังเสียงเคลื่อนไหวภายนอกห้อง และพอแน่ใจว่าภาวะรอบข้างปลอดโปร่งดีแล้วจึงหยิบมีดพับที่ซ่อนติดตัวเอาไว้อย่างมิดชิดออกมา เลื่อยคมมีดลงบนโซ่เหล็กด้วยความพยายามอย่างเอาจริงเอาจัง ตั้งใจไว้ว่าเมื่อโซ่ขาดแล้วก็จะปล่อยไว้อย่างนั้นแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้คอยจังหวะอยู่ จนแม่สาวน้อยนำอาหารเช้าเข้ามาให้จึงกระโจนหนีออกไป
การใช้มีดพับตัดโซ่เหล็กไม่ใช่งานง่าย ๆ แน่นอน นักสืบหนุ่มต้องใช้เวลาถึงสี่ห้าชั่วโมงกว่าจะตัดเส้นเหล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราวห้ามิลลิเมตรให้ขาดออกจากกันในที่สุด เขาซ่อนปลายโซ่ที่ถูกตัดขาดเอาไว้ในชายกางเกงแล้วล้มตัวลงนอนลองทำหน้าตาเฉยแบบที่มั่นใจว่าคงไม่มีใครผิดสังเกต
ทว่า ยังไม่ทันไรประตูห้องก็เปิดออกราวกับคอยเวลาให้เขาตัดโซ่ขาดอย่างไรอย่างนั้น ชายร่างใหญ่สวมหน้ากากคราวนี้มากันสองคน คนหนึ่งถือปืนพกอีกคนหนึ่งถือเชือกเส้นยาวตรงเข้ามาที่ชายหนุ่มโดยไม่พูดไม่จาเหมือนคนใบ้ และพอมาถึงก็ใช้เชือกมัดตัวเชลยติดกับโซฟาหลายรอบอย่างแน่นหนา ตรวจดูปมเชือกจนแน่ใจว่าแน่นจนเชลยกระดิกตัวไม่ได้แล้วจึงออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว
อาเกจิรู้สึกมาตั้งแต่แรกแล้วเหมือนกันว่ามีใครคอยเฝ้ามองเขาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งคราวนี้จึงแน่ใจว่าห้องที่ดูเหมือนไม่มีหน้าต่างสักบานเดียวห้องนี้จะต้องมีช่องเหมือนถ้ำมองอยู่ตรงไหนสักแห่ง
ถึงจะถูกมัดติดอยู่กับโซฟาจนกระดิกตัวไม่ได้แต่นักสืบหนุ่มก็พยายามยืดคอออกหันมองไปรอบ ๆ ห้อง แต่ก็ไม่เห็นรูหรือรอยแยกอะไรที่คนจะใช้เป็นที่สอดส่ายสายตาเข้ามาได้ รูกุญแจที่ประตูก็ถูกเขาเอากระดาษอุดไว้จนแน่น
เขาถูกขังอยู่ในห้องที่ประหลาดล้ำ ห้องที่ไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว ห้องที่หมุนคว้างจนเขาตาลาย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นห้องที่ทำให้เขารู้สึกถูกเฝ้ามองไม่วางตาทั้ง ๆ ที่ไม่มีช่องรูใด ๆ ทุกอย่างดูมันผิดปกติธรรมดา ดูเป็นปริศนาลึกลับอย่างประหลาด อาเกจิ โคโงโรผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักสืบเรืองนามถึงกับหมดปัญญาหาไม่พบทางออกได้แต่นอนนิ่งมองไปที่ฝาผนังตรงหน้าอย่างไร้จุดหมาย
พอดีกับผนังห้องข้างชั้นหนังสือตรงที่ตาทั้งคู่ของเชลยหนุ่มจับจ้องไปนั้นเป็นที่แขวนหน้ากากตัวตลกสำหรับใช้แต่งแฟนซีที่พูดถึงไปแล้วในตอนต้น ใบหน้าของหน้ากากที่ดูเหมือนทำด้วยดินนั้นขาววอก ละเลงสีแดงเป็นวงกลมแดงแจ๊ดบนแก้มทั้งสองและบนหน้าผากดูน่าขัน ที่ใต้ตามีลวดลายสีดำตรงลงมาตั้งฉากกับเส้นขอบตา สวมหมวกลายแดงขาวปลายแหลม แบบตัวตลกของฝรั่งที่เห็นกันชินตา
อาเกจิมองไปที่หน้ากากตัวตลกที่บังเอิญอยู่ตรงกับสายตาอย่างไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่พอมองอยู่นาน ๆ เข้าความรู้สึกบนใบหน้าของนักสืบเอกก็เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด ดวงตาที่มองเหม่ออยู่นั้นกลับมีประกายวิบวับ ริมฝีปากที่เรียบเฉยอยู่ก็เม้มกระชับขึ้น และอยู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“นี่แน่ะ ไม่ว่านายจะเป็นตัวตลก จำอวด หรือว่าเปียโรของฝรั่งก็ตามทีเถอะ ฉันนับถือนายเลยนะที่ทนทำหน้านิ่งอยู่อย่างนั้นได้ทั้งวันทั้งคืน ไม่เบื่อบ้างหรือยังไง” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หัวเราะอีกก่อนบอกว่า “อ้าว อ้าว ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ เฮ้ย...กระพริบตาได้ไง เม้มปากด้วย...หยุดได้แล้ว ไม่ต้องพยายามบอกหรอกว่านายเป็นคนจริง ๆ เพราะฉันรู้ตั้งนานแล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนักสืบเอกก็เกิดอัศจรรย์ขึ้น ดวงตาทั้งคู่ของหน้ากากบนผนังเบิกโพลงขึ้นพร้อมกัน ริมฝีปากขยับปล่อยคำตอบออกมาว่า
“รู้แล้วใช่ไหม แต่ฉันคิดว่ามันออกจะช้าไปสักหน่อยสำหรับนักสืบเอกอย่างอาเกจิ โคโงโร”
ผนังตรงนั้นเป็นที่แขวนหน้ากากตัวตลกที่ทำด้วยดินอยู่จริง แต่บางครั้งบางคราวจอมโจรจะแอบเก็บหน้ากากของจริงเข้าไปแล้วโผล่หน้าตนเองที่แต่งให้เหมือนกับหน้ากากอันนั้นไม่มีผิดออกมาแทนที่ เพื่อสอดส่องกิริยาท่าทีของสาวน้อยที่เป็นคนยกอาหารเข้ามาและเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของอาเกจิเวลาอยู่คนเดียวในห้อง
เมื่อนักสืบหนุ่มคิดปะติดปะต่อเรื่องราวในเวลาต่อมา ก็รู้ชัดว่าจอมโจรที่แต่งหน้าเป็นหน้ากากตัวตลกนั้นคือหัวหน้าแก๊ง ส่วนชายร่างใหญ่สวมหน้ากากปิดหน้าสองคนที่จัดการกับเขาเมื่อพยายามหนีนั้นก็คือคนขับรถและผู้ช่วยที่ลักพาตัวเขามาจากสถานีรถไฟอูเอโนะนั่นเอง
“นายคิดจะทำอะไรถึงได้ลักพาตัวฉันมากักกันให้สูญเสียอิสรภาพอย่างนี้”
นักสืบเอกผู้ถูกมัดติดกับโซฟาอย่างแน่นหนาร้องถาม
“คิดจะทำอะไรน่ะรึ ถามใหม่ว่า “ทำอะไรลงไป” จะดีกว่าไหม”
หน้ากากตัวตลกบนผนังตอบ มันชั่งเป็นการสนทนาที่น่าประหลาดอะไรเช่นนั้น ทว่าเนื้อหาของคำโต้ตอบระหว่างคู่สนทนาที่อยู่ในสภาพน่าขบขันทั้งคู่นั้นเป็นการชิงไหวชิงพริบกันอย่างเข้มข้นเลยทีเดียว
“อะไรนะ” อาเกจิร้องลั่นด้วยความตกใจ “นี่หมายความว่านายลงมือแล้วอย่างนั้นรึ”
“ลงมือแล้ว...นายพูดถึงอะไร อ๋อ...นายฟุกุดะน่ะรึ”
“ถ้าอย่างนั้น นาย...นายทำอะไรเขา”
“ฉันก็แค่ตัดหัวแยกออกจากตัว แต่งานของฉันยังไม่เสร็จหรอกนะ ฉันรับช่วงภารกิจอันยิ่งใหญ่มาจากบรรพบุรุษที่จะต้องทำให้ลุล่วง ฉันเกิดมา เล่าเรียนและอดทนอยู่กับความยากลำบากมาจนอายุ 40 กว่าปีนี่ก็เพื่อภารกิจนี้ แต่พอได้โอกาสที่จะลงมือทำก็มีนายเป็นตัวมารเข้ามาขัดขวาง ฉันตั้งใจและเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมแล้วว่าต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จแม้ว่ามันจะทำให้ฉันต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก แต่ฉันคาดไม่ถึงว่าไอ้ตัวประหลาดอย่างนายจะเข้ามายุ่งด้วย ฉันไม่กลัวทั้งตำรวจ ศาลหรือใครทั้งนั้นในสังคม แต่ฉันขยาดคนอย่างนายเพราะรู้ดีว่านายเป็นคนยังไง ฉันรู้ว่านายเท่านั้นที่สามารถขัดขวางไม่ให้ฉันทำอะไรได้ดังใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่อำนาจหรืออาวุธหรือแม้แต่กำลังพล แต่มันอยู่ที่พลังแห่งสติปัญญา เสียใจด้วยที่ฉันต้องลักพาตัวนายมากักขังไว้อย่างนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้โกรธเกลียดกันเป็นส่วนตัว แต่ที่ต้องทำก็เพราะหวั่นใจกับความเฉลียวฉลาดของนายที่จะมากีดขวางทางของฉัน ฉันไม่ใช่ฆาตกรกระหายเลือด ไม่เคยอยากฆ่าใครนอกเหนือไปจากการทำภารกิจให้สำเร็จ ดังนั้นถ้านายอยู่เฉย ๆ ไม่ลุกขึ้นมาขัดขวางให้ฉันเสียแผน นายก็จะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ขอให้อดทนอยู่นิ่ง ๆ สักพักหนึ่ง แล้วจะดีเอง”
หน้ากากตัวตลกพูดด้วยอารมณ์ร้อนจนใบหน้าที่เคลือบไว้ด้วยแป้งขาวแข็งตึงนั้นแดงระเรื่อขึ้นจนเห็นได้ชัดว่าคำพูดทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นเท็จ
“จะให้ฉันทนถึงเมื่อไร” นักสืบเอกย้อนถามด้วยเสียงเยียบเย็น
“คิดว่านานที่สุดน่าจะราวหนึ่งเดือน ฉันขอร้องให้นายช่วยอยู่นิ่ง ๆ ที่นี่อย่าได้ลุกขึ้นมาก่อกวนฉันเลย”
“อะไรนะ นายว่าเดือนหนึ่งรึ อย่างนี้ก็แปลว่านอกจากนายฟุกุดะแล้ว นายยังคิดที่จะ...”
“ใช่ เป้าหมายของฉันไม่ได้อยู่ที่เจ้านั่นคนเดียว ฉันถึงได้ขอร้องนายว่าอย่าเข้ามายุ่ง ขอให้ฉันได้ทำภารกิจสำคัญนี้ให้ลุล่วงทีเถิด ฉันขอร้อง”
“ไม่” อาเกจิตอบเสียงแข็งทันทีที่จอมโจรพูดจบ “ถึงนายจะคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นความถูกต้องในส่วนตัวของนายเอง แต่โลกและสังคมไม่มีใครยอมรับการฆ่าคนตามอำเภอใจโดยไม่คำนึงถึงกฎหมายอย่างที่นายทำ เอาเถิด...แต่ฉันขอบอกว่าชักจะชอบนิสัยของนายขึ้นมานิด ๆ อยากประลองความสามารถดูสักตั้งว่า แผนชั่วร้ายที่นายพยายามคิดมาตลอดสี่สิบปี กับสติปัญญาของฉันที่เป็นฝ่ายรักษากฎหมายบ้านเมืองนั้น อย่างไหนจะเลิศกว่ากัน สำหรับฉันอย่างแรกคือจะต้องหาทางหนีออกจากที่นี่ให้ได้ นายไม่รู้เลยรึว่าไอ้เชือกที่มัดฉันอยู่นี่ และก็ประตูติดสลักกลอนแน่นหนาอะไรของนายนั่นไม่มีความหมายอะไร เป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเหลือเกินสำหรับฉัน”
หน้ากากตัวตลกสบถหยาบคายเสียงลั่นก่อนบอกว่า “ฉันอุตส่าห์ลดตัวลงมาขอร้องจนขนาดนี้แล้วนายยังดื้อดึงไม่ยอมทำตาม อยากให้ฉันต้องฆ่าคนโดยไม่จำเป็นหรือยังไง นายไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วอย่างนั้นรึ ฟังคำขอร้องฉันอีกสักครั้งหนึ่งได้ไหมนักสืบอาเกจิ ฉันจะฆ่านายเสียก็ได้ไม่ยากเย็นอะไรถ้ามันจะทำให้ภารกิจของฉันลุล่วง แต่การฆ่าคนที่ไม่มีความผิด คนที่ไม่มีเวรมีกรรมต่อกันมันทำให้ฉันเสียความรู้สึก ทำให้ฉันต้องอับอายที่ทำให้ภารกิจของบรรพบุรุษบิดเบือนไปจากที่ควรจะเป็น ทำตามคำขอของฉันเถิดนักสืบอาเกจิ...ฉันขอร้อง”
แสงจากตะเกียงน้ำมันไม่สว่างพอที่จะให้นักสืบหนุ่มเห็นว่าแป้งที่เคลือบหน้ากากตัวตลกไว้ขาววอกนั้นกำลังละลายไหลย้อยลงไปกับเหงื่อเม็ดโต ๆ ที่ซึมออกมาทั่วใบหน้า
ภารกิจที่ปีศาจฆาตกรพูดถึงนั้นจะมีความหมายว่าอย่างไรก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ คือนอกจากนายฟุกุดะที่ถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นไปแล้วนั้น ยังมีผู้เคราะห์ร้ายอีกหลายคนที่ตกเป็นเป้าในแผนสังหาร ฆาตกรรมรายใหญ่เช่นนี้เป็นเรื่องที่จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม
นักสืบหนุ่มไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับภารกิจอันไม่เป็นมงคลนี้เลยจนนิดจึงบอกกับหน้ากากตัวตลกว่า
“ถ้านายอยากให้ฉันถอนตัวออกไปจากเรื่องนี้ถึงขนาดนั้น ก็มีอยู่วิธีเดียว”
“อะไรรึ”
“นายก็ตกลงใจเลิกล้มภารกิจเสียเท่านั้นเอง”
หน้ากากตัวตลกสบถหยาบคายก่อนตะคอกว่า “อย่าลืมแล้วกันว่าพูดอะไรพล่อย ๆ ออกมา ถ้าอยากตายจริง ๆ ฉันก็จะช่วยส่งวิญญาณนายไปให้พญายมเสียเดี๋ยวนี้”
ว่าแล้วหน้ากากคนดิบก็ผลุบหายเข้าไปแล้วหน้ากากตัวตลกของจริงก็ถูกส่งออกมาแทนที่
ทันใดนั้นเองประตูห้องก็เปิดผางออกและคนสี่คนก็เดินตามกันเข้ามา คนหนึ่งคือจอมโจรหน้ากากตัวตลกในชุดตัวตลกครบชุด ชายร่างใหญ่สวมหน้ากากปิดหน้าและสาวน้อยโฉมงาม
จอมโจรหน้ากากตัวตลกถือเข็มฉีดยาดูน่าขยาดมาด้วย ส่วนชายร่างใหญ่ทั้งสองมีปืนพกอยู่ในมือด้วยท่าพร้อมสังหารเพียงแค่นักสืบเอกกระดิกตัวขัดขืนนิดเดียวร่างของเขาจะต้องพรุนไปด้วยกระสุนแน่นอน สาวน้อยหน้าซีดและมีแววเศร้า
“ไม่ต้องกลัว ไม่เจ็บปวดอะไรทั้งนั้น ฉันไม่อยากให้เกิดเหตุนองเลือดขึ้นในห้องนี้ และฉันก็ไม่ได้เกลียดชังหรือโกรธเคืองอะไรคุณ เพียงแต่จะฉีดยานี้ให้คุณไปสู่สุคติเท่านั้น มีอะไรอยากสั่งเสียไหม ไม่คิดกลับใจเสียใหม่เพื่อเอาชีวิตรอดรึ”
นั่นคือประกาศครั้งสุดท้าย อันตราย...อันตราย พระเอกนักสืบของเรากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต
อาเกจิ โคโงโรจะเอาตัวรอดจากวินาทีแห่งความเป็นความตายนี้ไปได้อย่างไรในสภาพที่ถูกมัดติดกับโซฟาแน่นจนกระดิกตัวไม่ได้ มีกระบอกปืนสองกระบอกจ้องเตรียมยิงในระยะเผาขน
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
อาเกจิ โคโงโร นักสืบหนุ่มเจ้าเสน่ห์สงบสติอารมณ์ประทังความหิวด้วยอาหารที่สาวน้อยโฉมงามนำมาให้ถึงมือโดยไม่กังวลว่าจะถูกวางยาพิษ เพราะถ้าหวังฆ่าเขาก็คงตายไปแล้วระหว่างที่หลับใหลไม่ได้สติ อาเกจิตักอาหารเข้าปากพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องแคบ ๆ ไร้หน้าต่างห้องนั้น
ด้านหนึ่งของห้องเป็นชั้นหนังสือใหญ่กินเนื้อที่เกือบเต็มทั้งฝาผนัง แน่นไปด้วยหนังสือปกแข็งเดินทองจนแทบไม่มีที่แทรกสำหรับกระดาษสักแผ่น ข้าง ๆ ชั้นหนังสือประดับไว้ด้วยหน้ากากตัวตลกสำหรับแต่งแฟนซีแบบฝรั่ง ส่วนตรงมุมห้องอีกด้านหนึ่งมีแจกันจัดช่อดอกเดซี่เอาไว้ลวก ๆ ดูไม่มีความประณีตบรรจง
ช่อดอกไม้ หนังสือ อาหารหรู และห้องฝรั่งโก้เก๋ ไม่มีอะไรบกพร่องราวกับเป็นการต้อนรับแขกคนสำคัญ มากกว่ากักกันเชลย
ทันทีที่ชายหนุ่มวางมือจากอาหาร ประตูห้องก็เปิดออกราวกับมีใครคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ สาวน้อยคนเดิมเดินเข้ามาเก็บถาดอาหารพร้อมกับวางกล่องซิการ์ลงแทนที่ และทำท่าจะออกจากห้องไปโดยไม่พูดไม่จา
นักสืบรูปงามคว้าข้อมือสาวน้อยไว้ได้ทันแล้วพูดปนหัวเราะเย้ย ๆ ว่า
“ในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่าตัวเองตกอยู่ในสภาพอย่างไร นี่เธอคงเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลาถึงได้เข้ามาทันควันอย่างนี้ ที่ประตูคงเจาะรูถ้ำมองเอาไว้ละซี”
“ไม่มีอะไรอย่างนั้นสักหน่อย”
สาวน้อยพูดยิ้ม ๆ ขณะดึงมือออกจากการเกาะกุมอย่างสุภาพ
“ฉันอยากไปห้องน้ำ”
คงไม่ต้องบอกว่าความจริงแล้วธรรมชาติไม่ได้เร่งรัดขนาดนั้น เชลยรูปงามแค่อยากรู้วิธีปลดโซ่ออกจากข้อเท้าของเขา ซึ่งก็ได้ผล สาวน้อยไม่ตอบ เจ้าหล่อนทรุดตัวลงแล้วหยิบกุญแจดอกเล็ก ๆ จากกระเป๋ากระโปรงออกมาไขปลดโซ่ออกอย่างง่ายดาย
“หมายความว่าฉันเป็นอิสระแล้ว ถ้าคิดจะหนีก็หนีได้แล้วใช่ไหม”
อาเกจิยิ้มยั่วดวงตาโตเป็นประกายวาว
“ตายจริง” สาวน้อยดูเหมือนจะตกใจจริง ๆ หน้าซีดขาวไปเลยทีเดียวแต่ก็ยังมีควบคุมสติให้เผชิญภาวะวิกฤติได้อย่างฉับพลัน เจ้าหล่อนชักปืนพกกระบอกจิ๋วที่เหน็บไว้ข้างหลังออกมาเล็งปากกระบอกไปที่เชลยหนุ่มด้วยท่าของนางเสือสาวแม้มือจะยังสั่น
“ไม่ได้ คุณจะหนีไปไหนไม่ได้เป็นอันขาด อย่าทำให้ดิฉันลำบากเป็นดีที่สุด อย่าหนี อย่าหนีนะดิฉันขอร้อง”
สาวน้อยลงท้ายด้วยเสียงอ่อนโยนลงจนเกือบออดอ้อน ส่วนสีหน้าที่ยังซีดขาวนั้นเล่าก็บ่งบอกถึงความหวาดหวั่นและลำบากใจอย่างปิดไม่มิดทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าไม่ใช่จริตมารยา ถึงจะไม่เข้าใจท่าทางแปลก ๆ ของเจ้าหล่อน แต่ภาวะแวดล้อมในขณะนั้นไม่เอื้อให้นักสืบเอกรูปงามใจอ่อนกับสาวน้อยตรงหน้า
“ล้อเล่นน่า ฉันล้อเล่น ใครจะหนีไปไหนได้”
อาเกจิหัวเราะ และในเสี้ยววินาทีที่ผู้คุมสาวไหวตัวไปกับเสียงหัวเราะนั้นเอง เขาก็ดีดตัวขึ้นแย่งปืนกระบอกจิ๋วจากมือสาวน้อยมาได้ในฉับพลัน
“อย่า...อย่าทำอย่างนั้น คุณไม่รู้อะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
นักสืบเอกไม่ฟัง เขาผลักสาวน้อยไปทางหนึ่งแล้วกระโจนออกไปจากช่องประตูที่เปิดทิ้งไว้ แต่ก็ต้องชะงักเท้าเพราะระเบียงทางเดินมืดสนิทไม่รู้ว่าทางไหนเป็นทางไหนและมีอะไรขวางหน้า
ทันใดนั้นเองนักสืบเอกก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อแผ่นหลังของเขาถูกกระแทกด้วยของแข็ง พร้อมกับเสียงสั่งที่มีกังวานเฉียบขาด
“ยกมือขึ้น โยนปืนทิ้งไป ไม่อย่างนั้นจะโดนกระสุนเจาะตัวพรุนแน่”
ของแข็งที่กระแทกแผ่นหลังนักสืบเอกคือปลายกระบอกปืน และเจ้าของมันคือชายร่างใหญ่สวมหน้ากากที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูอยู่ในความมืดสนิทของระเบียงทางเดิน ผลสุดท้ายนักสืบอาเกจิก็ถูกตะครุบตัวกลับไปถูกล่ามโซ่เหมือนหมีในสวนสัตว์ตามเดิม การทดลองหยั่งดูกำลังของศัตรูครั้งนี้อย่างน้อยก็ช่วยให้รู้ว่าเขาถูกควบคุมตัวอย่างหนาแน่นเพียงใดและไม่ควรประมาทพลาดท่า
“อย่าพยายามขัดขืนให้พวกเรายุ่งยากไปหน่อยเลย นอนเฉย ๆ ดีกว่า”
ชายร่างใหญ่สวมหน้ากากทิ้งท้ายด้วยคำปรามเสียงห้าว ก่อนพาสาวน้อยออกไปจากห้อง
อาเกจิไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอนตัวลงนอนบนโซฟา แต่สมองของเขาไม่ได้อยู่เฉย ยิ่งถูกควบคุมตัวแน่นหนาเพียงไรก็ยิ่งแสดงให้เขาเห็นถึงความสำคัญของความลึกลับที่แฝงอยู่เบื้องหลังนายฟุกุดะ โทกุจิโรชัดเจนเพียงนั้น และบอกกับตัวเองว่าเห็นทีจะนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้เสียแล้ว
นักสืบหนุ่มตกลงใจที่จะตัดโซ่ที่ล่ามข้อเท้าของเขาอยู่ให้ได้ภายในคืนนี้ เขาแกล้งทำเป็นหลับโดยส่งเสียงกรนดัง ๆ ราวสามสิบนาทีก่อนจะเงียบไปเพื่อหลอกให้คนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูคิดว่าหลับสนิทดีแล้ว จากนั้นจึงเอากระดาษไปอุดรูกุญแจไว้พร้อมกับแนบหูฟังเสียงเคลื่อนไหวภายนอกห้อง และพอแน่ใจว่าภาวะรอบข้างปลอดโปร่งดีแล้วจึงหยิบมีดพับที่ซ่อนติดตัวเอาไว้อย่างมิดชิดออกมา เลื่อยคมมีดลงบนโซ่เหล็กด้วยความพยายามอย่างเอาจริงเอาจัง ตั้งใจไว้ว่าเมื่อโซ่ขาดแล้วก็จะปล่อยไว้อย่างนั้นแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้คอยจังหวะอยู่ จนแม่สาวน้อยนำอาหารเช้าเข้ามาให้จึงกระโจนหนีออกไป
การใช้มีดพับตัดโซ่เหล็กไม่ใช่งานง่าย ๆ แน่นอน นักสืบหนุ่มต้องใช้เวลาถึงสี่ห้าชั่วโมงกว่าจะตัดเส้นเหล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราวห้ามิลลิเมตรให้ขาดออกจากกันในที่สุด เขาซ่อนปลายโซ่ที่ถูกตัดขาดเอาไว้ในชายกางเกงแล้วล้มตัวลงนอนลองทำหน้าตาเฉยแบบที่มั่นใจว่าคงไม่มีใครผิดสังเกต
ทว่า ยังไม่ทันไรประตูห้องก็เปิดออกราวกับคอยเวลาให้เขาตัดโซ่ขาดอย่างไรอย่างนั้น ชายร่างใหญ่สวมหน้ากากคราวนี้มากันสองคน คนหนึ่งถือปืนพกอีกคนหนึ่งถือเชือกเส้นยาวตรงเข้ามาที่ชายหนุ่มโดยไม่พูดไม่จาเหมือนคนใบ้ และพอมาถึงก็ใช้เชือกมัดตัวเชลยติดกับโซฟาหลายรอบอย่างแน่นหนา ตรวจดูปมเชือกจนแน่ใจว่าแน่นจนเชลยกระดิกตัวไม่ได้แล้วจึงออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว
อาเกจิรู้สึกมาตั้งแต่แรกแล้วเหมือนกันว่ามีใครคอยเฝ้ามองเขาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งคราวนี้จึงแน่ใจว่าห้องที่ดูเหมือนไม่มีหน้าต่างสักบานเดียวห้องนี้จะต้องมีช่องเหมือนถ้ำมองอยู่ตรงไหนสักแห่ง
ถึงจะถูกมัดติดอยู่กับโซฟาจนกระดิกตัวไม่ได้แต่นักสืบหนุ่มก็พยายามยืดคอออกหันมองไปรอบ ๆ ห้อง แต่ก็ไม่เห็นรูหรือรอยแยกอะไรที่คนจะใช้เป็นที่สอดส่ายสายตาเข้ามาได้ รูกุญแจที่ประตูก็ถูกเขาเอากระดาษอุดไว้จนแน่น
เขาถูกขังอยู่ในห้องที่ประหลาดล้ำ ห้องที่ไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว ห้องที่หมุนคว้างจนเขาตาลาย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นห้องที่ทำให้เขารู้สึกถูกเฝ้ามองไม่วางตาทั้ง ๆ ที่ไม่มีช่องรูใด ๆ ทุกอย่างดูมันผิดปกติธรรมดา ดูเป็นปริศนาลึกลับอย่างประหลาด อาเกจิ โคโงโรผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักสืบเรืองนามถึงกับหมดปัญญาหาไม่พบทางออกได้แต่นอนนิ่งมองไปที่ฝาผนังตรงหน้าอย่างไร้จุดหมาย
พอดีกับผนังห้องข้างชั้นหนังสือตรงที่ตาทั้งคู่ของเชลยหนุ่มจับจ้องไปนั้นเป็นที่แขวนหน้ากากตัวตลกสำหรับใช้แต่งแฟนซีที่พูดถึงไปแล้วในตอนต้น ใบหน้าของหน้ากากที่ดูเหมือนทำด้วยดินนั้นขาววอก ละเลงสีแดงเป็นวงกลมแดงแจ๊ดบนแก้มทั้งสองและบนหน้าผากดูน่าขัน ที่ใต้ตามีลวดลายสีดำตรงลงมาตั้งฉากกับเส้นขอบตา สวมหมวกลายแดงขาวปลายแหลม แบบตัวตลกของฝรั่งที่เห็นกันชินตา
อาเกจิมองไปที่หน้ากากตัวตลกที่บังเอิญอยู่ตรงกับสายตาอย่างไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่พอมองอยู่นาน ๆ เข้าความรู้สึกบนใบหน้าของนักสืบเอกก็เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด ดวงตาที่มองเหม่ออยู่นั้นกลับมีประกายวิบวับ ริมฝีปากที่เรียบเฉยอยู่ก็เม้มกระชับขึ้น และอยู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“นี่แน่ะ ไม่ว่านายจะเป็นตัวตลก จำอวด หรือว่าเปียโรของฝรั่งก็ตามทีเถอะ ฉันนับถือนายเลยนะที่ทนทำหน้านิ่งอยู่อย่างนั้นได้ทั้งวันทั้งคืน ไม่เบื่อบ้างหรือยังไง” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หัวเราะอีกก่อนบอกว่า “อ้าว อ้าว ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ เฮ้ย...กระพริบตาได้ไง เม้มปากด้วย...หยุดได้แล้ว ไม่ต้องพยายามบอกหรอกว่านายเป็นคนจริง ๆ เพราะฉันรู้ตั้งนานแล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนักสืบเอกก็เกิดอัศจรรย์ขึ้น ดวงตาทั้งคู่ของหน้ากากบนผนังเบิกโพลงขึ้นพร้อมกัน ริมฝีปากขยับปล่อยคำตอบออกมาว่า
“รู้แล้วใช่ไหม แต่ฉันคิดว่ามันออกจะช้าไปสักหน่อยสำหรับนักสืบเอกอย่างอาเกจิ โคโงโร”
ผนังตรงนั้นเป็นที่แขวนหน้ากากตัวตลกที่ทำด้วยดินอยู่จริง แต่บางครั้งบางคราวจอมโจรจะแอบเก็บหน้ากากของจริงเข้าไปแล้วโผล่หน้าตนเองที่แต่งให้เหมือนกับหน้ากากอันนั้นไม่มีผิดออกมาแทนที่ เพื่อสอดส่องกิริยาท่าทีของสาวน้อยที่เป็นคนยกอาหารเข้ามาและเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของอาเกจิเวลาอยู่คนเดียวในห้อง
เมื่อนักสืบหนุ่มคิดปะติดปะต่อเรื่องราวในเวลาต่อมา ก็รู้ชัดว่าจอมโจรที่แต่งหน้าเป็นหน้ากากตัวตลกนั้นคือหัวหน้าแก๊ง ส่วนชายร่างใหญ่สวมหน้ากากปิดหน้าสองคนที่จัดการกับเขาเมื่อพยายามหนีนั้นก็คือคนขับรถและผู้ช่วยที่ลักพาตัวเขามาจากสถานีรถไฟอูเอโนะนั่นเอง
“นายคิดจะทำอะไรถึงได้ลักพาตัวฉันมากักกันให้สูญเสียอิสรภาพอย่างนี้”
นักสืบเอกผู้ถูกมัดติดกับโซฟาอย่างแน่นหนาร้องถาม
“คิดจะทำอะไรน่ะรึ ถามใหม่ว่า “ทำอะไรลงไป” จะดีกว่าไหม”
หน้ากากตัวตลกบนผนังตอบ มันชั่งเป็นการสนทนาที่น่าประหลาดอะไรเช่นนั้น ทว่าเนื้อหาของคำโต้ตอบระหว่างคู่สนทนาที่อยู่ในสภาพน่าขบขันทั้งคู่นั้นเป็นการชิงไหวชิงพริบกันอย่างเข้มข้นเลยทีเดียว
“อะไรนะ” อาเกจิร้องลั่นด้วยความตกใจ “นี่หมายความว่านายลงมือแล้วอย่างนั้นรึ”
“ลงมือแล้ว...นายพูดถึงอะไร อ๋อ...นายฟุกุดะน่ะรึ”
“ถ้าอย่างนั้น นาย...นายทำอะไรเขา”
“ฉันก็แค่ตัดหัวแยกออกจากตัว แต่งานของฉันยังไม่เสร็จหรอกนะ ฉันรับช่วงภารกิจอันยิ่งใหญ่มาจากบรรพบุรุษที่จะต้องทำให้ลุล่วง ฉันเกิดมา เล่าเรียนและอดทนอยู่กับความยากลำบากมาจนอายุ 40 กว่าปีนี่ก็เพื่อภารกิจนี้ แต่พอได้โอกาสที่จะลงมือทำก็มีนายเป็นตัวมารเข้ามาขัดขวาง ฉันตั้งใจและเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมแล้วว่าต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จแม้ว่ามันจะทำให้ฉันต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก แต่ฉันคาดไม่ถึงว่าไอ้ตัวประหลาดอย่างนายจะเข้ามายุ่งด้วย ฉันไม่กลัวทั้งตำรวจ ศาลหรือใครทั้งนั้นในสังคม แต่ฉันขยาดคนอย่างนายเพราะรู้ดีว่านายเป็นคนยังไง ฉันรู้ว่านายเท่านั้นที่สามารถขัดขวางไม่ให้ฉันทำอะไรได้ดังใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่อำนาจหรืออาวุธหรือแม้แต่กำลังพล แต่มันอยู่ที่พลังแห่งสติปัญญา เสียใจด้วยที่ฉันต้องลักพาตัวนายมากักขังไว้อย่างนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้โกรธเกลียดกันเป็นส่วนตัว แต่ที่ต้องทำก็เพราะหวั่นใจกับความเฉลียวฉลาดของนายที่จะมากีดขวางทางของฉัน ฉันไม่ใช่ฆาตกรกระหายเลือด ไม่เคยอยากฆ่าใครนอกเหนือไปจากการทำภารกิจให้สำเร็จ ดังนั้นถ้านายอยู่เฉย ๆ ไม่ลุกขึ้นมาขัดขวางให้ฉันเสียแผน นายก็จะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ขอให้อดทนอยู่นิ่ง ๆ สักพักหนึ่ง แล้วจะดีเอง”
หน้ากากตัวตลกพูดด้วยอารมณ์ร้อนจนใบหน้าที่เคลือบไว้ด้วยแป้งขาวแข็งตึงนั้นแดงระเรื่อขึ้นจนเห็นได้ชัดว่าคำพูดทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นเท็จ
“จะให้ฉันทนถึงเมื่อไร” นักสืบเอกย้อนถามด้วยเสียงเยียบเย็น
“คิดว่านานที่สุดน่าจะราวหนึ่งเดือน ฉันขอร้องให้นายช่วยอยู่นิ่ง ๆ ที่นี่อย่าได้ลุกขึ้นมาก่อกวนฉันเลย”
“อะไรนะ นายว่าเดือนหนึ่งรึ อย่างนี้ก็แปลว่านอกจากนายฟุกุดะแล้ว นายยังคิดที่จะ...”
“ใช่ เป้าหมายของฉันไม่ได้อยู่ที่เจ้านั่นคนเดียว ฉันถึงได้ขอร้องนายว่าอย่าเข้ามายุ่ง ขอให้ฉันได้ทำภารกิจสำคัญนี้ให้ลุล่วงทีเถิด ฉันขอร้อง”
“ไม่” อาเกจิตอบเสียงแข็งทันทีที่จอมโจรพูดจบ “ถึงนายจะคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นความถูกต้องในส่วนตัวของนายเอง แต่โลกและสังคมไม่มีใครยอมรับการฆ่าคนตามอำเภอใจโดยไม่คำนึงถึงกฎหมายอย่างที่นายทำ เอาเถิด...แต่ฉันขอบอกว่าชักจะชอบนิสัยของนายขึ้นมานิด ๆ อยากประลองความสามารถดูสักตั้งว่า แผนชั่วร้ายที่นายพยายามคิดมาตลอดสี่สิบปี กับสติปัญญาของฉันที่เป็นฝ่ายรักษากฎหมายบ้านเมืองนั้น อย่างไหนจะเลิศกว่ากัน สำหรับฉันอย่างแรกคือจะต้องหาทางหนีออกจากที่นี่ให้ได้ นายไม่รู้เลยรึว่าไอ้เชือกที่มัดฉันอยู่นี่ และก็ประตูติดสลักกลอนแน่นหนาอะไรของนายนั่นไม่มีความหมายอะไร เป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเหลือเกินสำหรับฉัน”
หน้ากากตัวตลกสบถหยาบคายเสียงลั่นก่อนบอกว่า “ฉันอุตส่าห์ลดตัวลงมาขอร้องจนขนาดนี้แล้วนายยังดื้อดึงไม่ยอมทำตาม อยากให้ฉันต้องฆ่าคนโดยไม่จำเป็นหรือยังไง นายไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วอย่างนั้นรึ ฟังคำขอร้องฉันอีกสักครั้งหนึ่งได้ไหมนักสืบอาเกจิ ฉันจะฆ่านายเสียก็ได้ไม่ยากเย็นอะไรถ้ามันจะทำให้ภารกิจของฉันลุล่วง แต่การฆ่าคนที่ไม่มีความผิด คนที่ไม่มีเวรมีกรรมต่อกันมันทำให้ฉันเสียความรู้สึก ทำให้ฉันต้องอับอายที่ทำให้ภารกิจของบรรพบุรุษบิดเบือนไปจากที่ควรจะเป็น ทำตามคำขอของฉันเถิดนักสืบอาเกจิ...ฉันขอร้อง”
แสงจากตะเกียงน้ำมันไม่สว่างพอที่จะให้นักสืบหนุ่มเห็นว่าแป้งที่เคลือบหน้ากากตัวตลกไว้ขาววอกนั้นกำลังละลายไหลย้อยลงไปกับเหงื่อเม็ดโต ๆ ที่ซึมออกมาทั่วใบหน้า
ภารกิจที่ปีศาจฆาตกรพูดถึงนั้นจะมีความหมายว่าอย่างไรก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ คือนอกจากนายฟุกุดะที่ถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นไปแล้วนั้น ยังมีผู้เคราะห์ร้ายอีกหลายคนที่ตกเป็นเป้าในแผนสังหาร ฆาตกรรมรายใหญ่เช่นนี้เป็นเรื่องที่จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม
นักสืบหนุ่มไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับภารกิจอันไม่เป็นมงคลนี้เลยจนนิดจึงบอกกับหน้ากากตัวตลกว่า
“ถ้านายอยากให้ฉันถอนตัวออกไปจากเรื่องนี้ถึงขนาดนั้น ก็มีอยู่วิธีเดียว”
“อะไรรึ”
“นายก็ตกลงใจเลิกล้มภารกิจเสียเท่านั้นเอง”
หน้ากากตัวตลกสบถหยาบคายก่อนตะคอกว่า “อย่าลืมแล้วกันว่าพูดอะไรพล่อย ๆ ออกมา ถ้าอยากตายจริง ๆ ฉันก็จะช่วยส่งวิญญาณนายไปให้พญายมเสียเดี๋ยวนี้”
ว่าแล้วหน้ากากคนดิบก็ผลุบหายเข้าไปแล้วหน้ากากตัวตลกของจริงก็ถูกส่งออกมาแทนที่
ทันใดนั้นเองประตูห้องก็เปิดผางออกและคนสี่คนก็เดินตามกันเข้ามา คนหนึ่งคือจอมโจรหน้ากากตัวตลกในชุดตัวตลกครบชุด ชายร่างใหญ่สวมหน้ากากปิดหน้าและสาวน้อยโฉมงาม
จอมโจรหน้ากากตัวตลกถือเข็มฉีดยาดูน่าขยาดมาด้วย ส่วนชายร่างใหญ่ทั้งสองมีปืนพกอยู่ในมือด้วยท่าพร้อมสังหารเพียงแค่นักสืบเอกกระดิกตัวขัดขืนนิดเดียวร่างของเขาจะต้องพรุนไปด้วยกระสุนแน่นอน สาวน้อยหน้าซีดและมีแววเศร้า
“ไม่ต้องกลัว ไม่เจ็บปวดอะไรทั้งนั้น ฉันไม่อยากให้เกิดเหตุนองเลือดขึ้นในห้องนี้ และฉันก็ไม่ได้เกลียดชังหรือโกรธเคืองอะไรคุณ เพียงแต่จะฉีดยานี้ให้คุณไปสู่สุคติเท่านั้น มีอะไรอยากสั่งเสียไหม ไม่คิดกลับใจเสียใหม่เพื่อเอาชีวิตรอดรึ”
นั่นคือประกาศครั้งสุดท้าย อันตราย...อันตราย พระเอกนักสืบของเรากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต
อาเกจิ โคโงโรจะเอาตัวรอดจากวินาทีแห่งความเป็นความตายนี้ไปได้อย่างไรในสภาพที่ถูกมัดติดกับโซฟาแน่นจนกระดิกตัวไม่ได้ มีกระบอกปืนสองกระบอกจ้องเตรียมยิงในระยะเผาขน