xs
xsm
sm
md
lg

มายาปีศาจ ตอนที่ 8 ห้องไม่มีหน้าต่าง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ

อาเกจิ โคโงโรสะดุ้งลุกขึ้นนั่งเบิกตาโพลงด้วยความรู้สึกเหมือนตื่นจากฝันยามเคลิ้มหลับไป
นอกจากมึนศีรษะนิด ๆ แล้ว นักสืบเอกไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ สมองปลอดโปร่งแจ่มใสพอที่จะมองไปรอบ ๆ ห้องแบบฝรั่งซึ่งแม้จะแคบแต่ก็ตกแต่งอย่างโก้ ตะเกียงน้ำมันแบบคลาสสิกที่ห้อยลงมาจากเพดานห้องเพิ่มความหรูอย่างมีรสนิยม โซฟาตัวใหญ่นุ่มนิ่มที่เขานอนฝังตัวอยู่ดูมีราคาสง่างาม...พอฟื้นคืนสติขึ้นมาอาเกจิก็ทบทวนความจำโดยเร็ว

ที่สถานีรถไฟอูเอโนะ เขาถูกจู่โจมอย่างฉับพลันทันทีและหมดสติไปโดยไม่ทันตั้งตัว ใช่...ใครสักคนที่ลักพาตัวเขามาจะต้องมีประสงค์ร้ายอะไรสักอย่าง ถ้าอย่างนั้นเขาน่าจะถูกมัดมือมัดเท้าและผูกปากอย่างแน่นหนาเพื่อไม่ให้หนีรอดไปได้ แต่นี่มันไม่ใช่...ศัตรูไม่ได้ลิดรอนอิสรภาพของเขาด้วยเชือกหรืออะไร แต่กลับปล่อยให้นอนสบายอยู่บนโซฟานุ่มนิ่มตัวใหญ่ในห้องหรู

ขณะที่อาเกจินอนลืมตาตกจมอยู่ในความคิดอยู่นั้น ประตูห้องก็เปิดออกราวกับคอยจังหวะอยู่ เผยให้เห็นสาวงามวัยราว 18 ปีในชุดผ้าไหมสีดำตัวโคร่งแปลกตายืนประคองถาดเงินอยู่ตรงนั้น และเมื่อเจ้าหล่อนเดินเข้ามาใกล้นักสืบเอกจึงเห็นว่าบนถาดนั้นมีอาหารว่างและเครื่องดื่มวางเรียงกันอยู่
มายาปีศาจ จากแฟ้มอาชญากรรมของอาเกจิ  โคโงโร
“ตื่นแล้วหรือคะ”

สาวงามถามพลางวางถาดเงินลงบนโต๊ะข้างโซฟาพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม

“แย่จัง เจ็บตรงไหนบ้างไหมคะ”

แน่นอน...อาเกจิไม่เคยรู้จักแม่สาวน้อยคนนี้มาก่อนและไม่เคยเห็นห้อง ๆ นี้ด้วย ความรู้สึกของชายหนุ่มเลือนรางเหมือนอยู่ในความฝันไปชั่วครู่ แต่ไม่นานนักก็คืนสติขึ้นมาได้

“ที่นี่บ้านของใครและเธอคือใคร”นักสืบเอกเอ่ยปากถาม

“อ๋อ...ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ ที่นี่คือบ้านของคนที่ช่วยพาคุณให้รอดพ้นออกมาจากอันตราย และดิฉันคือลูกสาวของเขา”

“อย่างนั้นรึ ฉันจำได้แค่ว่าถูกจับตัวขึ้นรถใครก็ไม่รู้ที่สถานีอูเอโนะแล้วหลังจากนั้นคงจะหมดสติไป ช่วยบอกหน่อยว่าช่วยฉันทำไม เจ้าของบ้านนี้คือใคร และบ้านนี้อยู่ในโตเกียวใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ แต่คุณเพิ่งฟื้นอย่างนี้อย่าคิดอะไรให้มากไปดีกว่า และถึงจะถามดิฉันก็ตอบอะไรไม่ได้เพราะถูกสั่งห้ามไม่ให้พูดอะไร”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรแค่มึนหัวนิด ๆ “

นักสืบเอกยืนยันคำพูดด้วยการขยับตัวจากท่านั่งเอน ๆ ให้ตรงขึ้นอย่างแข็งขัน แต่พอทำเช่นนั้นก็รู้สึกได้ว่าร่างกายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่อย่างที่คิด เพราะห้องหมุนจนต้องเผลอใช้มือหนึ่งยันโซฟาไว้กันล้มกลับลงไปนอนสิ้นท่า

“ถ้าจะยังไม่ไหว ห้องทั้งห้องมันโคลงเคลงไปหมด”

“เห็นไหม ดิฉันว่าแล้ว อย่าเพิ่งฝืนทำอะไรโดยไม่จำเป็นดีกว่าค่ะ”

“แค่มึนหัวไม่มีอะไรมากกว่านั้น ช่วยพาผมไปพบเจ้าของบ้านนี้ทีเถิด ผมอยากขอบใจเขา”

“เรื่องนั้นไม่เป็นไรค่ะ และตอนนี้ก็ไม่อยู่ด้วย”

ตอนนั้นเองที่อาเกจิเพิ่งสังเกตเห็นว่าห้องเล็ก ๆ ห้องนั้นไม่ธรรมดา

“เอ๊ะ ห้องนี้ไม่มีหน้าต่างเลยสักบานเดียว ประหลาดแท้ ๆ และยังจุดตะเกียงทั้ง ๆ ที่เป็นเวลากลางวัน แต่ไม่ใช่ซี...นี่มันกลางวันหรือกลางคืนกันแน่”

คำถามของอาเกจิอาจฟังดูแปลก แต่คิดว่าใครก็ตามที่หมดสติไปแล้วฟื้นขึ้นมาในห้องนี้จะต้องถามเช่นนี้ทุกคน

“กลางคืนค่ะ สองทุ่มตรง นาฬิกาเพิ่งจะตีเดี๋ยวนี้เอง”

“แล้ววันนี้วันอะไร”

“17 พฤศจิกาค่ะ”

สาวน้อยตอบแล้วยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก

“ฉันมาถึงสถานีอูเอโนะตอนค่ำวันที่ 16 นี่หมายความว่าฉันนอนหลับไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ”
นักสืบหนุ่มพูดคล้ายบ่นกับตัวเอง ยิ่งได้สติชัดเจนขึ้นเพียงใดก็ยิ่งฉุกใจได้คิดถึงความประหลาดของสภาพรอบ ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นเด็กสาวหน้าหวานที่มีท่าทางสนิทสนมกับตน หรือห้องที่ไม่มีหน้าต่างสักบาน และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ

“ห้องนี้อยู่ที่ชั้นไหนของบ้าน มันมีอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่บนหอสูง หรือว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ”

“อาจใช่” สาวน้อยทำหน้าเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ “แต่ก็ไม่เลวร้ายใช่ไหมล่ะคะ ดิฉันได้รับคำสั่งมาว่าให้ดูแลคุณอย่างดีที่สุดระหว่างพักอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ชอบใจอะไรขอให้บอกดิฉัน อย่างเรื่องอาหารก็บอกได้นะคะ”

เจ้าหล่อนบอกพลางปรายตาไปทางจานข้าวโอ๊ตใส่นมสดบนถาดนิดหนึ่ง

คำพูดของสาวน้อยซึ่งฟังดูเป็นคำพูดปกติธรรมดาที่เจ้าของบ้านพึงพูดกับแขกที่มาพักนั้น ทำเอานักสืบเอกงงงวย จับต้นชนปลายไปถูก

“ระหว่างพักอยู่ที่นี่อย่างนั้นรึ นี่เธออย่ามาพูดตลกไม่เข้าเรื่อง ฉันมีธุระสำคัญที่ต้องทำ”

“อย่ากังวลไปเลยค่ะ สงบสติอารมณ์เอาไว้ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวายใจ อยู่เฉย ๆ ดีกว่านะคะ”

สาวน้อยพูดเหมือนกำลังปลอบคนไข้โรคประสาทอาการเป็นที่น่าเวทนา เจ้าหล่อนเอียงคอน้อย ๆ ก่อนบอกว่า

“ดิฉันขอตัวก่อนแล้วจะมาใหม่ อาหารอาจไม่ถูกปากแต่ก็พยายามรับประทานหน่อยจะได้มีแรง”
อาเกจิตกใจเมื่อเห็นสาวน้อยเปิดประตูทำท่าคล้ายจะหนีออกไป

“เดี๋ยวเธอ อย่าเพิ่งไป”

ชายหนุ่มร้องเรียกเอาไว้พร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟาก้าวตามสาวน้อยไปด้วยความร้อนรน แค่ห้าหกก้าวก็ถึงประตูห้องแต่พอยื่นมือออกไปจนจะจับแขนเสื้อเจ้าหล่อนที่เดินพ้นประตูออกไปที่ระเบียงทางเดินได้อยู่มือนั้นเอง อาเกจิก็หัว คะมำเหมือนเดินสะดุดอะไรล้มโครมอยู่หน้าประตูนั้นเอง เสียงสาวน้อยหัวเราะคิกคักอยู่นอกประตูที่ปิดเข้ามาเกือบชนปลายจมูกเขา

“ดิฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้อยู่เฉย ๆ ดีกว่า”

อาเกจิเพิ่งจะรู้สาเหตุของการล้มคว่ำไม่เป็นท่าของตนเองในบัดนั้นว่าเกิดจากการที่ข้อเท้าของเขาถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เส้นเล็ก ๆ ติดกับขาของโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้อง ทำให้มีสภาพไม่ต่างกับหมีในสวนสัตว์ที่ถูกจำกัดขอบเขตให้เคลื่อนตัวได้ภายในรัศมีความยาวของเส้นโซ่เท่านั้น

นี่หรือที่ว่าช่วยให้พ้นอันตราย...โกหกชัด ๆ ที่แท้มันก็โจรลักพาตัวดี ๆ นี่เอง และที่นี่ก็คือซ่องของมัน อย่างนี้ก็สนุกละซี เมื่อประจักษ์ความเป็นจริงเช่นนี้ แทนที่จะกลัวอาเกจิ โคโงโรของเรากลับฮึกเหิมตาเป็นประกายเตรียมสู้เต็มที่


กำลังโหลดความคิดเห็น