นายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะของญี่ปุ่นสั่งการให้ศึกษามาตรการจำกัดรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมที่กำลังเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้สูงอายุในสังคมญี่ปุ่น
ผู้นำญี่ปุ่นระบุในระหว่างการประชุมสภานโยบายเศรษฐกิจและการคลังญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางลดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมในช่วงเวลาไม่เกิน 3 ปีถึงปี 2565
รายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นทุกปีตามจำนวนผู้สูงอายุที่มีมากกว่า 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ ประมาณการณ์ว่าหลังปีงบประมาณ 2565 ซึ่งเป็นปีที่ผู้คนรุ่นเบบี้บูมจะมีอายุย่างเข้า 75 ปี ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมจะเพิ่มจากราว 650,000 ล้านเยนเป็นราว 900,000 ล้านเยน
สภานโยบายเศรษฐกิจและการคลัง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาของของรัฐบาลญี่ปุ่น กำลังคิดหาแผนใหม่ภายในเดือนมิถุนายนปีนี้ เพื่อฟื้นฟูฐานะทางการคลังของญี่ปุ่น โดยเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งคือ การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมและสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เพิ่มมากขึ้น จนทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องล้มเลิกเป้าหมายที่จะทำให้งบประมาณเบื้องต้นเกินดุลภายในปีงบประมาณ 2563
ในด้านรายรับ รัฐบาลญี่ปุ่นจะต้องขึ้นอัตราภาษีผู้บริโภคของญี่ปุ่นเพิ่มเป็นร้อยละ10ในเดือนตุลาคมปี 2562ตามที่วางแผนไว้ ซึ่งแน่นอนว่าการปรับขึ้นอัตราภาษีจะเป็นภาระต่อสาธารณชน
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า สังคมผู้สูงอายุทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์และการพยาบาลดูแลเพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ และรัฐบาลต้องแบกรับรายจ่ายนี้ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์และการพยาบาลที่สูงขึ้นในระยะหลังมานี้ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากภาวะสังคมผู้สูงอายุเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากค่ายาและค่ารักษาที่แพงมากขึ้นด้วย โดยทุกวันนี้ระบบประกันสุขภาพของรัฐแบกรับค่าใช้จ่ายมากถึง 70% ซึ่งผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามว่าค่ายาและค่ารักษาเหล่านี้เหมาะสมหรือไม่ และควรได้รับการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ซึ่งจะช่วยควบคุมรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมได้.
