บทประพันธ์ของ เอะโดะงะวะ รัมโปะ (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
หนังสือพิมพ์ลงข่าวอาชญากรรมไม่เว้นแต่ละวันจนชาวบ้านดูเหมือนจะชินกันเสียแล้ว พอเห็นข่าวแต่ละข่าวก็ไม่ได้ตกอกตกใจทำหน้าคล้าย ๆ กันไปทุกคนว่า...อีกแล้วรึ แต่พอคิดให้ดี ๆ จะรู้สึกว่าโลกเราช่างน่าขยะแขยงอะไรเช่นนี้ นครหลวงโตเกียวอันกว้างใหญ่แห่งนี้ไม่มีสักวันเดียวที่จะไร้กลิ่นคาวเลือดและเสียงกรีดร้องสะเทือนขวัญ ใจกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวไม่สามก็สี่ราย ไม่น่าเชื่อว่าโลกปัจจุบันเหมือนกำลังถอยหลังกลับไปยังอดีตในศตวรรษที่ 19 เมื่อเห็นข่าวลูกบุญธรรมถูกฆ่าในหมู่บ้านหนึ่ง ข่าวพี่ชายฆ่าน้องชายร่วมสายโลหิตแล้วฝังไว้หน้าประตูทางเข้าบ้าน แล้ววางแผนให้ตนเองลอยนวลพ้นมือกฎหมายโดยใส่ร้ายให้น้องชายอีกคนหนึ่งที่ร่วมลงมือฆ่าด้วยเป็นคนบ้าจึงถูกจับเข้าโรงพยาบาลบ้าไป ราวกับเป็นการจำลองพฤติกรรมจากนิยายสืบสวนสอบสวนของฝรั่งเศสที่นำเสนออาชญากรรมโหดเหี้ยมลึกลับซ่อนเงื่อนจนแทบจะถอดรหัสปริศนาไม่ลุล่วง
ทว่า เหตุเหล่านั้นเป็นอาชญากรรมที่ปรากฏต่อสายตาประชาชนในสังคม นักวิชาการสาขาอาชญากรรมท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่าคดีที่เปิดเผยออกมาให้เห็นกันชัดเจนตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่ออื่น ๆ มีเพียงสองหรือสามในจำนวนสิบรายเท่านั้น ถ้าเป็นดังที่ท่านว่าไว้ก็หมายความว่าจริง ๆ แล้วยังมีอาชญากรรมคดีสำคัญอยู่อีกนับไม่ถ้วนเกินจินตนาการของคนอย่างเรา ๆ เวลาอ่านหนังสือสืบสวนสอบสวนอะไรอยู่สักเล่มหนึ่งท่านเคยแนบหูกับผนังห้องฟังความเป็นไป ณ ขณะนั้นในห้องข้าง ๆ ที่กั้นแยกกันไว้ด้วยไม้กระดานแผ่นเดียวบ้างไหม ที่พูดนี้อาจฟังดูสยองขวัญ แต่ท่านจะปฏิเสธได้ไหมว่าอาจเกิดอาชญากรรมที่ไม่คาดฝันขึ้นจริง ๆ ในมหานครโตเกียวอันกว้างใหญ่นี้ นั่นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเสมอไป

และเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่อะเกะชิ โคะโงะโระ นักสืบเอกชนเลื่องนามเดินทางไปพักกายคลายเครียดเมื่อถอดรหัสคดี “แมงมุมสังหาร” ลุล่วงได้เพียงสิบวันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่นักประพันธ์นวนิยายกุขึ้น ปีศาจแมงมุมเพิ่งจะพบจุดจบอย่างน่าอนาถไปได้ไม่กี่วัน คดีฆาตกรรมรายแรกของคดีมายาปีศาจก็อุบัติขึ้น และอะเกะชินักสืบเอกตกที่นั่งต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเพราะไม่อาจปฏิเสธคำขอ
อะเกะชิ โคะโงะโระนั้นแม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักสืบเอกชนแต่เขาก็ไม่ได้ติดป้ายหน้าสำนักงานและหารายได้เพื่อการดำรงชีวิตด้วยอาชีพนี้ คดีใดก็ตามที่เขาไม่สนใจหรือไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องเขาก็ไม่มีหน้าที่อะไรที่ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งกับการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่คดีมายาปีศาจซึ่งเขาแน่ใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับปีศาจแมงมุมคดีนี้มีอะไรที่จูงใจนักสืบเอกอย่างประหลาด (คนร้ายทำเอาเขาแทบบ้าคลั่งไปชั่วระยะหนึ่ง ทั้งยังถุกรุกให้เข้าตาจนราวมีเพียงกระดาษบาง ๆ แผนเดียวกั้นไว้ระหว่างความเป็นกับความตาย) ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขากระโจนลงไปในคดีนี้เต็มตัว
นักสืบเอกชนกับความรัก ดูเหมือนเป็นการจับคู่ที่ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งโคนัน ดอยล์ลำบากใจมากเหลือเกินที่ถูกดาราภาพยนตร์สาวคนหนึ่งขอร้องให้เขาเขียนบทรักสำหรับเจ้าหล่อนกับเชอร์ล็อก โฮมส์ แสดงให้เห็นว่าความรักกับนักสืบนั้นเป็นเรื่องที่ห่างไกลกันเพียงใด แต่สำหรับคดีอาชญากรรมนั้นเล่า ไม่ว่าคดีใดล้วนมีความรักชักใยอยู่เบื้องหลังแทบไม่มีข้อยกเว้น แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้นักสืบที่ไม่รู้จักความรัก ไม่มีประสบการณ์กับความรักจะสามารถเจาะคดีฆาตกรรมให้ถึงแก่นและคลี่คลายให้ลุล่วงลงได้อย่างไร
เรื่องนี้ใครจะหาเหตุผลอย่างไรมาโต้แย้งก็ตามที แต่อะเกะชิ โคะโงะโระ นักสืบเอกของเราคนนี้ไม่ใช่นักสืบประเภทหุ่นยนต์เหล็กกล้าที่ยึดอยู่กับการสืบและสันนิษฐานรูปคดีตรงจุดเดียวแน่นอน
เช้าวันรุ่งขึ้นจากวันที่คดีแมงมุมสังหารเสร็จสิ้นสมบูรณ์ อะเกะชิหิ้วกระเป๋าเดินขึ้นรถไฟขบวนที่ออกจากสถานี อุเอะโนะ (สมัยนั้นเป็นสถานีต้นทางของรถไฟสายชูโอ) นักสืบเอกหนีออกมาจากโรงแรมที่เนืองแน่นไปด้วยนักข่าวหนังสือพิมพ์เพราะอยากปลีกตัวไปพักผ่อนคนเดียวเงียบ ๆ ถึงกับปฏิเสธการเข้าร่วมในงานฉลองความสำเร็จที่ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจโตเกียวผู้จัดเชิญเขาไปเป็นแขกสำคัญที่สุดในงาน
นักสืบเอกไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้คิดถึงและอยากไปทะเลสาบขึ้นมาจึงซื้อตั๋วรถไฟสายชูโอไปลงสถานี S แต่เมื่อมาคิดย้อนกลับไปในภายหลัง การเดินทางครั้งนี้มันเหมือนกับโชคชะตาเล่นตลกเอากับเขาซึ่ง ๆ หน้า เพราะมันเป็นก้าวแรกที่เขาถูกดึงเข้าไปในคดีมายาปีศาจ
ทันทีที่ลงรถไฟที่สถานี S อะเกะชิเรียกรถรับจ้างให้พาไปที่โรงแรมริมทะเลสาบที่เขาจำชื่อได้แห่งหนึ่ง
ทะเลสาบยามฤดูใบไม้ร่วงสะท้อนสีฟ้าสดใสของท้องฟ้ากว้าง อากาศแจ่มใสเย็นนิด ๆ ในตอนเช้าและตอนเย็นช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยเพลียไปทั้งเนื้อทั้งตัว ช่วยให้อะเกะชิสดชื่นกระชุ่มกระชวยอย่างบอกไม่ถูก ทุกอย่างในโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก พนักงานสาวที่เสิร์ฟอาหารถึงห้อง หรือห้องอาบน้ำแบบญี่ปุ่น ล้วนแต่รื่นรมย์สมใจไปทั้งนั้นสำหรับชายหนุ่มที่เคยไปใช้ชีวิตอย่างไม่สะดวกสบายคนเดียวมานานในต่างแดน
นักสืบเอกเพลินเพลินกับบรรยากาศอิสระเสรีและสนุกสนานกับการเล่นซนเหมือนเด็ก ๆ ตลอดสิบวันที่โรงแรม เขาขอยืมเรือของโรงแรมพายเล่นไปรอบ ๆ ทะเลสาบทุกวัน วันหนึ่งชายหนุ่มชวนเด็ก ๆ ที่น่ารักน่าเอ็นดูลูกคนที่พักโรงแรมเดียวกันสองสามคนลงเรือเล่น เขาจ้วงพายลงไปบนท้องน้ำใสราวกระจกเงาเป็นจังหวะพลางส่งเสียงร้องเพลง “ลมกับคลื่น” ที่เคยร้องสมัยเด็กดังก้องอย่างสบายอกสบายใจ
จากหน้าต่างของโรงแรมมองเห็นวิวทะเลสาบกว้างล้อมรอบด้วยป่าเขาที่หมู่ไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดงแสดสลับสล้างราวภาพวาด ไกลออกไปเรือลำน้อยสีขาวเคลื่อนตัวไปบนผิวน้ำดูคล้ายนกตัวเล็ก ๆ ใครคนหนึ่งใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว เป็นคนพายขณะที่คนตัวเล็ก ๆ สองสามคนยุกยิกอยู่ไม่สุขอยู่บนเรือ
พ่อแม่ตามออกมาเฝ้าดูที่ระเบียงโรงแรมและยิ้มให้กันเมื่อเห็นลูก ๆ สนุกกับการเล่นเรือ เสียงเพลงเก่าแก่ที่ดังแว่วผ่านพื้นน้ำใสแจ๋วชวนให้หวนคิดถึงอดีตในวัยเด็ก
สาวสวยคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มพ่อแม่ของเด็ก ๆ มองไปที่เรือลำนั้นและพลอยยิ้มไปด้วย เธอคือทะเอะโกะ ลูกสาวของนายทะมะมุระพ่อค้าเพชร เศรษฐีใหญ่ผู้มีชื่อเสียงของโตเกียว
ทะเอะโกะเดินทางไปเที่ยวอนเซ็นที่ชินชูกับพ่อ และระหว่างทางกลับเธอกับแม่นมขอแยกตัวมาพักที่โรงแรมริมทะเลสาบแห่งนี้หลายวัน จุดมุ่งหมายหลักคือเพื่อพบกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนวิทยาลัยสตรีด้วยกัน(ความจริงเพิ่งสำเร็จการศึกษาเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วนี่เอง) ที่อาศัยอยู่ในเมือง S นี้
ทำไมทะเอะโกะจึงมาเฝ้าดูเรือลำน้อยอยู่ในกลุ่มพ่อแม่ คำตอบก็คือคนที่พักอยู่กับเธอนั้นนอกจากกับแม่นมแล้วยังมีชินอิชิเด็กชายวัยสิบขวบอีกคนหนึ่ง และตอนนี้ชินอิชิอยู่ในเรือของอะเกะชิด้วย
ชินอิชิคือลูกชายของพ่อค้ารายย่อยที่อาศัยอยู่ในห้องแถวคนจนของนายทะมะมุระเศรษฐีใหญ่ ต่อมาเมื่อพ่อแม่เสียชีวิตและชินอิชิ ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ทะเอะโกะจึงอ้อนวอนให้มารดาของเธอรับเลี้ยงเด็กชายที่น่ารักน่าเอ็นดูคนนี้เอาไว้เป็นเหมือนน้องชาย
ทะเอะโกะเป็นลูกเศรษฐีก็จริงแต่ไม่ใช่คุณหนูที่ไม่รู้ประสีประสากับความเป็นไปของโลกและชีวิต เธอมีอะไรบางอย่างในอิริยาบทที่บ่งบอกถึงความมีสมองเฉียบคมทันคนให้สัมผัสได้ ความใกล้ชิดกับเด็ก ๆ เป็นสื่อชักนำให้ อะเกะชิพลอยสนิทสนมกับพวกพ่อแม่ไปด้วย โดยเฉพาะทะเอะโกะรู้สึกมีพลังอะไรสักอย่างที่ดึงดูดให้ทั้งสองเข้าหากันอย่างประหลาด เริ่มจากการรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกัน ชวนกันดื่มน้ำชา ไปจนกระทั่งแอบแม่นมออกมาพายเรือเล่นกันสองต่อสองในทะเลสาบ
เวลาออกมาพายเรือกันตามลำพงสองต่อสอง ชายหนุ่มก็จะพายเรือเข้าไปในเวิ้งอ่าวอันงดงามของทะเลสาบที่มองไม่เห็นจากโรงแรม ชายฝั่งทะเลสาบแถบนั้นเป็นดงไม้เบญจพรรณหนาทึบ สีเขียวเขียวชะอุ่มสลับกับสีแสดแดงเป็นช่องเป็นฉากงดงามสะท้อนลงบนพื้นน้ำใสและสงบนิ่ง ทุกครั้งทั้งสองจะปล่อยให้เรือลอยนิ่ง ๆ อยู่ใต้เงาไม้และเพลิดเพลินกับพูดคุยถึงเรื่องอะไร ๆ ที่ฟังดูน่าประหลาด
ท่านผู้อ่านหยุดคิดได้เลยว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่ชอบมาพากล อะเกะชิไม่ได้อยู่ในวัยหนุ่มคะนองและทะเอะโกะเองก็ดูเป็นสุภาพสตรีที่ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยตัวให้กับชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันง่าย ๆ และที่สำคัญคือบนเรือลำนั้นจะต้องมีเด็กชายชินอิชิ นั่งคั่นกลางไปด้วยเสมอ ดูเหมือนสองหนุ่มสาวจะไม่มีอะไรกันนอกเหนือไปกว่าเพื่อนที่ถูกคอกันอย่างประหลาด...เท่านั้นเอง
แต่ถ้าพูดกันตามจริงถึงทะเอะโกะจะไม่รู้สึก แต่ทางด้านนักสืบเอกของเรานั้นเมื่อพบกันหลายครั้งเข้าความรู้สึกที่มีต่อสาวสวยคมคายผู้นี้ก็เริ่มเกินกว่าความเป็นเพื่อนและนับวันก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นทุกที
...เฮ้ย เฮ้ย จะมานั่งฝันหวานเอาอะไร สงบสติอารมณ์หน่อยได้ไหมจะเป็นชายกลางคนอายุสี่สิบในอีกไม่กี่วันแล้ว และคุณทะเอะโกะเป็นลูกสาวมหาเศรษฐีใหญ่โต สูงส่งเกินกว่ายาจกพเนจรอย่างเราจะเอื้อมถึง ห่าง ๆ ไว้น่าจะดีกว่า...
อะเกะชิด่าว่าตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะนอนไม่หลับกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงทุกคืนไป ตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะไปเสียให้พ้น ๆ จากที่นี่ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ไปไม่รอดสักที
ในที่สุดพ่อของทะเอะโกะก็เป็นคนแก้ปัญหาให้ อยู่มาวันหนึ่งเศรษฐีทะมะมุระซึ่งคอยอยู่หลายวันไม่เห็นลูกสาวกลับมาสักทีก็เป็นห่วงและโทรศัพท์มาจากโตเกียวเรียกให้กลับไปเร็ว ทะเอะโกะผู้เป็นลูกที่ดีอยู่ในโอวาทจึงตกลงใจเดินทางกลับในวันนั้นเอง ตอนบอกลาอะเกะชิรู้สึกว่าเธอจะมีแววอาลัยอาวรณ์อยู่เหมือนกัน
หลังจากที่ทะเอะโกะจากไป อะเกะชิก็ยังชวนเด็ก ๆ ลงเรือพายเล่นกันทุกวันตามเดิม แม้จะแสร้งทำสนุกสนานแต่ก็ไม่อาจปกปิดเงาเศร้าจาง ๆ ในดวงตาเอาไว้ได้
ยิ่งวันเวลาผ่านไป ภาพใบหน้างามพร้อมทุกส่วนราวนางในฝัน ยามแย้มยิ้มเห็นไรฟันขาวเป็นเงางาม รูปทรงองค์เอวบอบบางราวกับจะหายวับไปกับตาหากจับต้อง เสียงหวานกังวานใสจับอกจับใจนัก ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในความทรงจำ ปั่นใจอะกะชิให้ป่วนราวกับกลับไปเป็นหนุ่มวัยยี่สิบอีกครั้ง
เรื่องต่าง ๆ ที่พูดคุยกับทะเอะโกะระหว่างพายเรือเล่นกันในทะเลสาบกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่แสนหวานราวสายลมเย็นชื่นใจในฤดูใบไม้ผลิ มีอยู่ครั้งเดียวที่หญิงสาวพูดถึงเรื่องที่ฟังดูจริงจังมาก และเพราะเป็นเรื่องแปลก อะเกะชิจึงจำได้แม่นยำ คำบอกเล่าของทะเอะโกะที่ว่านี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดจึงจะกล่าวถึงไว้คร่าว ๆ ณ ที่นี้
วันนั้น ขณะที่อะเกะชิพายเรือเลียบเวิ้งอ่าวใต้ร่มเงาไม้ตามเคย อยู่ ๆ ทะเอะโกะก็ทำท่าหวาด ๆ เหมือนกลัวอะไรขึ้นมาแล้วพูดอะไรแปลก ๆ ว่า
“เรื่องนี้คุณฟังแล้วอาจคิดว่าดิฉันพูดอะไรเหมือนคนเพ้อเจ้อ คือตั้งแต่เล็ก ๆ มาแล้วดิฉันจะรู้อะไรล่วงหน้าเสมอ คุณแม่ดิฉันเสียไปเมื่อห้าปีที่แล้ว แต่ดิฉันรู้ล่วงหน้าว่าคุณแม่จะเสียถึงครึ่งปีค่ะ ตอนนี้ก็เหมือนกัน ดิฉันฝันร้ายและคิดว่ามันจะต้องเป็นจริงขึ้นมาก็เลยกลัวมาก เวลาอยู่คนเดียวแล้วคิดขึ้นมาจะกลัวจนเย็นเฉียบไปทั้งตัว รู้สึกไม่ดี ไม่ดีจริง ๆ เลยค่ะ”
“ไม่เอา คุณพี่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว”
ชินอิชิเพิ่งจะสิบขวบแต่ทำเสียงดุและทำหน้าน่ากลัวเหมือนผู้ใหญ่
อะเกะชิเห็นสีหน้าของคู่สนทนาเครียดอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนจึงตกใจและถามว่า
“คุณฝันว่ายังไงครับ”
ทะเอะโกะกลัวจนแทบไม่กล้าเอ่ยออกมา เธอลดเสียงลงต่ำเมื่อเล่าว่า
“ดิฉันรู้สึกเหมือนดวงวิญญาณอะไรสักอย่างที่เหมือนกลุ่มเมฆดำลอยเข้ามาแล้วขยายตัวปกคลุมบ้านของเราจนมิดอย่างรวดเร็วอย่างน่ากลัวเป็นที่สุด ดิฉันรู้สึกเช่นนั้นเรื่อยมาเป็นเวลาสองสามเดือนมาแล้ว มันเหมือนกับมีใครสักคนกำลังสาบแช่งครอบครัวเรา และในไม่ช้าไม่นานคนในบ้านเราจะต้องตกเป็นเหยื่อคำสาบนั้นอย่างสยดสยอง ดิฉันรู้สึกเช่นนี่แหละค่ะ”
“มีอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีเลยค่ะ และที่ไม่มีนี่ซิคะยิ่งทำให้น่ากลัว ดิฉันได้แต่สังหรณ์โดยไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุเภทภัยอะไรขึ้น”
ทะเอะโกะรู้ดีว่าอะเกะชิ โคะโงะโระคือใคร และการที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้นักสืบเอกฟังนั้น อาจเป็นเพราะอยากขอพึ่งสติปัญญาเขาให้ช่วยคิดก็เป็นได้ แต่เรื่องที่เหมือนความฝันไม่มีหลักฐานพยานอะไรที่เป็นของจริงเช่นนี้ อะเกะชิเองไม่มีทางคิดทำอะไรได้นอกจากยกมือยอมแพ้ ก็พอดีพนักงานโรงแรมมาตามทะเอะโกะบอกว่ามีโทรศัพท์จากโตเกียว
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
หนังสือพิมพ์ลงข่าวอาชญากรรมไม่เว้นแต่ละวันจนชาวบ้านดูเหมือนจะชินกันเสียแล้ว พอเห็นข่าวแต่ละข่าวก็ไม่ได้ตกอกตกใจทำหน้าคล้าย ๆ กันไปทุกคนว่า...อีกแล้วรึ แต่พอคิดให้ดี ๆ จะรู้สึกว่าโลกเราช่างน่าขยะแขยงอะไรเช่นนี้ นครหลวงโตเกียวอันกว้างใหญ่แห่งนี้ไม่มีสักวันเดียวที่จะไร้กลิ่นคาวเลือดและเสียงกรีดร้องสะเทือนขวัญ ใจกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวไม่สามก็สี่ราย ไม่น่าเชื่อว่าโลกปัจจุบันเหมือนกำลังถอยหลังกลับไปยังอดีตในศตวรรษที่ 19 เมื่อเห็นข่าวลูกบุญธรรมถูกฆ่าในหมู่บ้านหนึ่ง ข่าวพี่ชายฆ่าน้องชายร่วมสายโลหิตแล้วฝังไว้หน้าประตูทางเข้าบ้าน แล้ววางแผนให้ตนเองลอยนวลพ้นมือกฎหมายโดยใส่ร้ายให้น้องชายอีกคนหนึ่งที่ร่วมลงมือฆ่าด้วยเป็นคนบ้าจึงถูกจับเข้าโรงพยาบาลบ้าไป ราวกับเป็นการจำลองพฤติกรรมจากนิยายสืบสวนสอบสวนของฝรั่งเศสที่นำเสนออาชญากรรมโหดเหี้ยมลึกลับซ่อนเงื่อนจนแทบจะถอดรหัสปริศนาไม่ลุล่วง
ทว่า เหตุเหล่านั้นเป็นอาชญากรรมที่ปรากฏต่อสายตาประชาชนในสังคม นักวิชาการสาขาอาชญากรรมท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่าคดีที่เปิดเผยออกมาให้เห็นกันชัดเจนตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่ออื่น ๆ มีเพียงสองหรือสามในจำนวนสิบรายเท่านั้น ถ้าเป็นดังที่ท่านว่าไว้ก็หมายความว่าจริง ๆ แล้วยังมีอาชญากรรมคดีสำคัญอยู่อีกนับไม่ถ้วนเกินจินตนาการของคนอย่างเรา ๆ เวลาอ่านหนังสือสืบสวนสอบสวนอะไรอยู่สักเล่มหนึ่งท่านเคยแนบหูกับผนังห้องฟังความเป็นไป ณ ขณะนั้นในห้องข้าง ๆ ที่กั้นแยกกันไว้ด้วยไม้กระดานแผ่นเดียวบ้างไหม ที่พูดนี้อาจฟังดูสยองขวัญ แต่ท่านจะปฏิเสธได้ไหมว่าอาจเกิดอาชญากรรมที่ไม่คาดฝันขึ้นจริง ๆ ในมหานครโตเกียวอันกว้างใหญ่นี้ นั่นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเสมอไป
และเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่อะเกะชิ โคะโงะโระ นักสืบเอกชนเลื่องนามเดินทางไปพักกายคลายเครียดเมื่อถอดรหัสคดี “แมงมุมสังหาร” ลุล่วงได้เพียงสิบวันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่นักประพันธ์นวนิยายกุขึ้น ปีศาจแมงมุมเพิ่งจะพบจุดจบอย่างน่าอนาถไปได้ไม่กี่วัน คดีฆาตกรรมรายแรกของคดีมายาปีศาจก็อุบัติขึ้น และอะเกะชินักสืบเอกตกที่นั่งต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเพราะไม่อาจปฏิเสธคำขอ
อะเกะชิ โคะโงะโระนั้นแม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักสืบเอกชนแต่เขาก็ไม่ได้ติดป้ายหน้าสำนักงานและหารายได้เพื่อการดำรงชีวิตด้วยอาชีพนี้ คดีใดก็ตามที่เขาไม่สนใจหรือไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องเขาก็ไม่มีหน้าที่อะไรที่ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งกับการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่คดีมายาปีศาจซึ่งเขาแน่ใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับปีศาจแมงมุมคดีนี้มีอะไรที่จูงใจนักสืบเอกอย่างประหลาด (คนร้ายทำเอาเขาแทบบ้าคลั่งไปชั่วระยะหนึ่ง ทั้งยังถุกรุกให้เข้าตาจนราวมีเพียงกระดาษบาง ๆ แผนเดียวกั้นไว้ระหว่างความเป็นกับความตาย) ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขากระโจนลงไปในคดีนี้เต็มตัว
นักสืบเอกชนกับความรัก ดูเหมือนเป็นการจับคู่ที่ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งโคนัน ดอยล์ลำบากใจมากเหลือเกินที่ถูกดาราภาพยนตร์สาวคนหนึ่งขอร้องให้เขาเขียนบทรักสำหรับเจ้าหล่อนกับเชอร์ล็อก โฮมส์ แสดงให้เห็นว่าความรักกับนักสืบนั้นเป็นเรื่องที่ห่างไกลกันเพียงใด แต่สำหรับคดีอาชญากรรมนั้นเล่า ไม่ว่าคดีใดล้วนมีความรักชักใยอยู่เบื้องหลังแทบไม่มีข้อยกเว้น แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้นักสืบที่ไม่รู้จักความรัก ไม่มีประสบการณ์กับความรักจะสามารถเจาะคดีฆาตกรรมให้ถึงแก่นและคลี่คลายให้ลุล่วงลงได้อย่างไร
เรื่องนี้ใครจะหาเหตุผลอย่างไรมาโต้แย้งก็ตามที แต่อะเกะชิ โคะโงะโระ นักสืบเอกของเราคนนี้ไม่ใช่นักสืบประเภทหุ่นยนต์เหล็กกล้าที่ยึดอยู่กับการสืบและสันนิษฐานรูปคดีตรงจุดเดียวแน่นอน
เช้าวันรุ่งขึ้นจากวันที่คดีแมงมุมสังหารเสร็จสิ้นสมบูรณ์ อะเกะชิหิ้วกระเป๋าเดินขึ้นรถไฟขบวนที่ออกจากสถานี อุเอะโนะ (สมัยนั้นเป็นสถานีต้นทางของรถไฟสายชูโอ) นักสืบเอกหนีออกมาจากโรงแรมที่เนืองแน่นไปด้วยนักข่าวหนังสือพิมพ์เพราะอยากปลีกตัวไปพักผ่อนคนเดียวเงียบ ๆ ถึงกับปฏิเสธการเข้าร่วมในงานฉลองความสำเร็จที่ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจโตเกียวผู้จัดเชิญเขาไปเป็นแขกสำคัญที่สุดในงาน
นักสืบเอกไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้คิดถึงและอยากไปทะเลสาบขึ้นมาจึงซื้อตั๋วรถไฟสายชูโอไปลงสถานี S แต่เมื่อมาคิดย้อนกลับไปในภายหลัง การเดินทางครั้งนี้มันเหมือนกับโชคชะตาเล่นตลกเอากับเขาซึ่ง ๆ หน้า เพราะมันเป็นก้าวแรกที่เขาถูกดึงเข้าไปในคดีมายาปีศาจ
ทันทีที่ลงรถไฟที่สถานี S อะเกะชิเรียกรถรับจ้างให้พาไปที่โรงแรมริมทะเลสาบที่เขาจำชื่อได้แห่งหนึ่ง
ทะเลสาบยามฤดูใบไม้ร่วงสะท้อนสีฟ้าสดใสของท้องฟ้ากว้าง อากาศแจ่มใสเย็นนิด ๆ ในตอนเช้าและตอนเย็นช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยเพลียไปทั้งเนื้อทั้งตัว ช่วยให้อะเกะชิสดชื่นกระชุ่มกระชวยอย่างบอกไม่ถูก ทุกอย่างในโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก พนักงานสาวที่เสิร์ฟอาหารถึงห้อง หรือห้องอาบน้ำแบบญี่ปุ่น ล้วนแต่รื่นรมย์สมใจไปทั้งนั้นสำหรับชายหนุ่มที่เคยไปใช้ชีวิตอย่างไม่สะดวกสบายคนเดียวมานานในต่างแดน
นักสืบเอกเพลินเพลินกับบรรยากาศอิสระเสรีและสนุกสนานกับการเล่นซนเหมือนเด็ก ๆ ตลอดสิบวันที่โรงแรม เขาขอยืมเรือของโรงแรมพายเล่นไปรอบ ๆ ทะเลสาบทุกวัน วันหนึ่งชายหนุ่มชวนเด็ก ๆ ที่น่ารักน่าเอ็นดูลูกคนที่พักโรงแรมเดียวกันสองสามคนลงเรือเล่น เขาจ้วงพายลงไปบนท้องน้ำใสราวกระจกเงาเป็นจังหวะพลางส่งเสียงร้องเพลง “ลมกับคลื่น” ที่เคยร้องสมัยเด็กดังก้องอย่างสบายอกสบายใจ
จากหน้าต่างของโรงแรมมองเห็นวิวทะเลสาบกว้างล้อมรอบด้วยป่าเขาที่หมู่ไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดงแสดสลับสล้างราวภาพวาด ไกลออกไปเรือลำน้อยสีขาวเคลื่อนตัวไปบนผิวน้ำดูคล้ายนกตัวเล็ก ๆ ใครคนหนึ่งใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว เป็นคนพายขณะที่คนตัวเล็ก ๆ สองสามคนยุกยิกอยู่ไม่สุขอยู่บนเรือ
พ่อแม่ตามออกมาเฝ้าดูที่ระเบียงโรงแรมและยิ้มให้กันเมื่อเห็นลูก ๆ สนุกกับการเล่นเรือ เสียงเพลงเก่าแก่ที่ดังแว่วผ่านพื้นน้ำใสแจ๋วชวนให้หวนคิดถึงอดีตในวัยเด็ก
สาวสวยคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มพ่อแม่ของเด็ก ๆ มองไปที่เรือลำนั้นและพลอยยิ้มไปด้วย เธอคือทะเอะโกะ ลูกสาวของนายทะมะมุระพ่อค้าเพชร เศรษฐีใหญ่ผู้มีชื่อเสียงของโตเกียว
ทะเอะโกะเดินทางไปเที่ยวอนเซ็นที่ชินชูกับพ่อ และระหว่างทางกลับเธอกับแม่นมขอแยกตัวมาพักที่โรงแรมริมทะเลสาบแห่งนี้หลายวัน จุดมุ่งหมายหลักคือเพื่อพบกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนวิทยาลัยสตรีด้วยกัน(ความจริงเพิ่งสำเร็จการศึกษาเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วนี่เอง) ที่อาศัยอยู่ในเมือง S นี้
ทำไมทะเอะโกะจึงมาเฝ้าดูเรือลำน้อยอยู่ในกลุ่มพ่อแม่ คำตอบก็คือคนที่พักอยู่กับเธอนั้นนอกจากกับแม่นมแล้วยังมีชินอิชิเด็กชายวัยสิบขวบอีกคนหนึ่ง และตอนนี้ชินอิชิอยู่ในเรือของอะเกะชิด้วย
ชินอิชิคือลูกชายของพ่อค้ารายย่อยที่อาศัยอยู่ในห้องแถวคนจนของนายทะมะมุระเศรษฐีใหญ่ ต่อมาเมื่อพ่อแม่เสียชีวิตและชินอิชิ ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ทะเอะโกะจึงอ้อนวอนให้มารดาของเธอรับเลี้ยงเด็กชายที่น่ารักน่าเอ็นดูคนนี้เอาไว้เป็นเหมือนน้องชาย
ทะเอะโกะเป็นลูกเศรษฐีก็จริงแต่ไม่ใช่คุณหนูที่ไม่รู้ประสีประสากับความเป็นไปของโลกและชีวิต เธอมีอะไรบางอย่างในอิริยาบทที่บ่งบอกถึงความมีสมองเฉียบคมทันคนให้สัมผัสได้ ความใกล้ชิดกับเด็ก ๆ เป็นสื่อชักนำให้ อะเกะชิพลอยสนิทสนมกับพวกพ่อแม่ไปด้วย โดยเฉพาะทะเอะโกะรู้สึกมีพลังอะไรสักอย่างที่ดึงดูดให้ทั้งสองเข้าหากันอย่างประหลาด เริ่มจากการรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกัน ชวนกันดื่มน้ำชา ไปจนกระทั่งแอบแม่นมออกมาพายเรือเล่นกันสองต่อสองในทะเลสาบ
เวลาออกมาพายเรือกันตามลำพงสองต่อสอง ชายหนุ่มก็จะพายเรือเข้าไปในเวิ้งอ่าวอันงดงามของทะเลสาบที่มองไม่เห็นจากโรงแรม ชายฝั่งทะเลสาบแถบนั้นเป็นดงไม้เบญจพรรณหนาทึบ สีเขียวเขียวชะอุ่มสลับกับสีแสดแดงเป็นช่องเป็นฉากงดงามสะท้อนลงบนพื้นน้ำใสและสงบนิ่ง ทุกครั้งทั้งสองจะปล่อยให้เรือลอยนิ่ง ๆ อยู่ใต้เงาไม้และเพลิดเพลินกับพูดคุยถึงเรื่องอะไร ๆ ที่ฟังดูน่าประหลาด
ท่านผู้อ่านหยุดคิดได้เลยว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่ชอบมาพากล อะเกะชิไม่ได้อยู่ในวัยหนุ่มคะนองและทะเอะโกะเองก็ดูเป็นสุภาพสตรีที่ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยตัวให้กับชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันง่าย ๆ และที่สำคัญคือบนเรือลำนั้นจะต้องมีเด็กชายชินอิชิ นั่งคั่นกลางไปด้วยเสมอ ดูเหมือนสองหนุ่มสาวจะไม่มีอะไรกันนอกเหนือไปกว่าเพื่อนที่ถูกคอกันอย่างประหลาด...เท่านั้นเอง
แต่ถ้าพูดกันตามจริงถึงทะเอะโกะจะไม่รู้สึก แต่ทางด้านนักสืบเอกของเรานั้นเมื่อพบกันหลายครั้งเข้าความรู้สึกที่มีต่อสาวสวยคมคายผู้นี้ก็เริ่มเกินกว่าความเป็นเพื่อนและนับวันก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นทุกที
...เฮ้ย เฮ้ย จะมานั่งฝันหวานเอาอะไร สงบสติอารมณ์หน่อยได้ไหมจะเป็นชายกลางคนอายุสี่สิบในอีกไม่กี่วันแล้ว และคุณทะเอะโกะเป็นลูกสาวมหาเศรษฐีใหญ่โต สูงส่งเกินกว่ายาจกพเนจรอย่างเราจะเอื้อมถึง ห่าง ๆ ไว้น่าจะดีกว่า...
อะเกะชิด่าว่าตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะนอนไม่หลับกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงทุกคืนไป ตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะไปเสียให้พ้น ๆ จากที่นี่ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ไปไม่รอดสักที
ในที่สุดพ่อของทะเอะโกะก็เป็นคนแก้ปัญหาให้ อยู่มาวันหนึ่งเศรษฐีทะมะมุระซึ่งคอยอยู่หลายวันไม่เห็นลูกสาวกลับมาสักทีก็เป็นห่วงและโทรศัพท์มาจากโตเกียวเรียกให้กลับไปเร็ว ทะเอะโกะผู้เป็นลูกที่ดีอยู่ในโอวาทจึงตกลงใจเดินทางกลับในวันนั้นเอง ตอนบอกลาอะเกะชิรู้สึกว่าเธอจะมีแววอาลัยอาวรณ์อยู่เหมือนกัน
หลังจากที่ทะเอะโกะจากไป อะเกะชิก็ยังชวนเด็ก ๆ ลงเรือพายเล่นกันทุกวันตามเดิม แม้จะแสร้งทำสนุกสนานแต่ก็ไม่อาจปกปิดเงาเศร้าจาง ๆ ในดวงตาเอาไว้ได้
ยิ่งวันเวลาผ่านไป ภาพใบหน้างามพร้อมทุกส่วนราวนางในฝัน ยามแย้มยิ้มเห็นไรฟันขาวเป็นเงางาม รูปทรงองค์เอวบอบบางราวกับจะหายวับไปกับตาหากจับต้อง เสียงหวานกังวานใสจับอกจับใจนัก ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในความทรงจำ ปั่นใจอะกะชิให้ป่วนราวกับกลับไปเป็นหนุ่มวัยยี่สิบอีกครั้ง
เรื่องต่าง ๆ ที่พูดคุยกับทะเอะโกะระหว่างพายเรือเล่นกันในทะเลสาบกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่แสนหวานราวสายลมเย็นชื่นใจในฤดูใบไม้ผลิ มีอยู่ครั้งเดียวที่หญิงสาวพูดถึงเรื่องที่ฟังดูจริงจังมาก และเพราะเป็นเรื่องแปลก อะเกะชิจึงจำได้แม่นยำ คำบอกเล่าของทะเอะโกะที่ว่านี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดจึงจะกล่าวถึงไว้คร่าว ๆ ณ ที่นี้
วันนั้น ขณะที่อะเกะชิพายเรือเลียบเวิ้งอ่าวใต้ร่มเงาไม้ตามเคย อยู่ ๆ ทะเอะโกะก็ทำท่าหวาด ๆ เหมือนกลัวอะไรขึ้นมาแล้วพูดอะไรแปลก ๆ ว่า
“เรื่องนี้คุณฟังแล้วอาจคิดว่าดิฉันพูดอะไรเหมือนคนเพ้อเจ้อ คือตั้งแต่เล็ก ๆ มาแล้วดิฉันจะรู้อะไรล่วงหน้าเสมอ คุณแม่ดิฉันเสียไปเมื่อห้าปีที่แล้ว แต่ดิฉันรู้ล่วงหน้าว่าคุณแม่จะเสียถึงครึ่งปีค่ะ ตอนนี้ก็เหมือนกัน ดิฉันฝันร้ายและคิดว่ามันจะต้องเป็นจริงขึ้นมาก็เลยกลัวมาก เวลาอยู่คนเดียวแล้วคิดขึ้นมาจะกลัวจนเย็นเฉียบไปทั้งตัว รู้สึกไม่ดี ไม่ดีจริง ๆ เลยค่ะ”
“ไม่เอา คุณพี่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว”
ชินอิชิเพิ่งจะสิบขวบแต่ทำเสียงดุและทำหน้าน่ากลัวเหมือนผู้ใหญ่
อะเกะชิเห็นสีหน้าของคู่สนทนาเครียดอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนจึงตกใจและถามว่า
“คุณฝันว่ายังไงครับ”
ทะเอะโกะกลัวจนแทบไม่กล้าเอ่ยออกมา เธอลดเสียงลงต่ำเมื่อเล่าว่า
“ดิฉันรู้สึกเหมือนดวงวิญญาณอะไรสักอย่างที่เหมือนกลุ่มเมฆดำลอยเข้ามาแล้วขยายตัวปกคลุมบ้านของเราจนมิดอย่างรวดเร็วอย่างน่ากลัวเป็นที่สุด ดิฉันรู้สึกเช่นนั้นเรื่อยมาเป็นเวลาสองสามเดือนมาแล้ว มันเหมือนกับมีใครสักคนกำลังสาบแช่งครอบครัวเรา และในไม่ช้าไม่นานคนในบ้านเราจะต้องตกเป็นเหยื่อคำสาบนั้นอย่างสยดสยอง ดิฉันรู้สึกเช่นนี่แหละค่ะ”
“มีอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีเลยค่ะ และที่ไม่มีนี่ซิคะยิ่งทำให้น่ากลัว ดิฉันได้แต่สังหรณ์โดยไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุเภทภัยอะไรขึ้น”
ทะเอะโกะรู้ดีว่าอะเกะชิ โคะโงะโระคือใคร และการที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้นักสืบเอกฟังนั้น อาจเป็นเพราะอยากขอพึ่งสติปัญญาเขาให้ช่วยคิดก็เป็นได้ แต่เรื่องที่เหมือนความฝันไม่มีหลักฐานพยานอะไรที่เป็นของจริงเช่นนี้ อะเกะชิเองไม่มีทางคิดทำอะไรได้นอกจากยกมือยอมแพ้ ก็พอดีพนักงานโรงแรมมาตามทะเอะโกะบอกว่ามีโทรศัพท์จากโตเกียว
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
***********
แนะนำตัวละคร
ทะมะมุระ เซ็นทะโร พ่อค้าเพชร เศรษฐีใหญ่ของโตเกียว
ทะมะมุระ อิชิโรบุตรชายคนโตของเซ็นทะโร
ทะมะมุระ จิโรบุตรชายคนที่สองของเซ็นทะโร
ทะมะมุระ ทะเอะโกะบุตรสาวของเซ็นทะโร
ชินอิชิ ลูกกำพร้าในอุปการะของครอบครัวทะมะมุระ
ฟุกุดะ โทะกุจิโร นักธุรกิจ น้องชายร่วมสายโลหิตของ
โซะโนะโกะ โยโกะ เพื่อนของทะเอะโกะ
《มายากร》
ฟุมิโยะลูกสาวของ《มายากร》
สารวัตรนะมิโคะชิ แผนกสืบสวนและปราบปราม สำนักงานตำรวจกรุงโตเกียว
อะกะชิ โคะโงะโระนักสืบเอกชนเลื่องนาม