บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
1
มินะโกะสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย แต่น่าแปลก...ทำไมเสียงร้องครวญครางยังไม่สิ้น เสียงครางอย่างคนที่กำลังเจ็บปวดทรมานอย่างที่สุดไม่ได้หยุดไปพร้อมกับความฝัน
“อือ...อือ...โอย...”
มินะโกะเริ่มได้ยินเสียงครางใกล้หูเข้ามาเรื่อย ๆ ประสาทรับรู้ยิ่งชัดเจนขึ้นเพียงใดเสียงครางก็เริ่มดังชัดขึ้นเพียงนั้น
“โอย...โอย”
พอมินะโกะตื่นเต็มที่ในที่สุด เธอก็ต้องเย็นวาบไปทั้งตัวเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบ
“โอย...โอย”
เสียงครางราวถูกบีบเค้นออกมาจากลำคอดังอยู่ใกล้ ๆ ตัวเธอนี่เอง
“คุณแม่”
มินะโกะกรีดร้องสุดเสียง
“คุณแม่...คุณแม่”
มินะโกะกรีดร้องไม่หยุดเหมือนเด็กน้อยที่กำลังเสียขวัญเรียกหาแม่
ไม่มีเสียงตอบจาก “แม่”
มีแต่เสียงครางต่ำลึกที่ถูกเค้นผ่านลำคอออกมาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวเป็นที่สุด ท่ามกลางความมืดมิดภายในห้อง
“คุณแม่เจ้าขา”
มินะโกะทนกลิ้งตัวลงจากเตียงเพราะทนนอนเฉยอยู่ไม่ได้อีกต่อไป
เตียงของแม่เลี้ยงอยู่ใกล้กันแค่มือเอื้อม และพอมินะโกะเอื้อมมือที่กำลังสั่นเทาไปแตะที่ขอบเตียง มือของเธอก็สำผัสกับของเหลวเหนอะ ๆ และอุ่นจัด
“คุณแม่” มินะโกะกรีดเสียงสั่นสะท้าน พร้อมกับเลื่อนมือไปที่หน้าอกของแม่เลี้ยง และรู้สึกได้ว่าร่างงามนั้นบิดไปมาเล็กน้อย
“คุณแม่...คุณแม่เป็นอะไรไปคะ”
มิใยที่มินะโกะจะพยายามส่งเสียงถามจนดังกังวานไปทั่วห้อง แต่คำตอบที่ได้รับมีเพียงเสียงครางต่่ำลึกไม่หยุด
“คุณแม่...คุณแม่เจ้าคะ ทำใจดี ๆ ไว้” มินะโกะแผดเสียงดังเหมือนเสียสติ
ในที่สุดแม่เลี้ยงก็เค้นคำพูดออกมาเป็นห้วง ๆ ด้วยความยากเย็นเหลือเกิน
“เปิดไฟ...เปิดไฟ”
สิ่งแรกที่คนบาดเจ็บเจียนตายต้องการคือแสงสว่าง
มินะโกะผลุดลุกขึ้นและปราดไปที่ดวงไฟ แต่ด้วยความละล้าละลังมือจึงคว้าไม่พบดั่งใจในทันที
แสงไฟไม่สว่างนักแต่ก็พอส่องให้เห็นภาพสยองขวัญกระจ่างชัดขึ้นตรงหน้า แม่เลี้ยงของเธอนอนจมกองเลือดอยู่บนเตียง เลือดที่เห็นเป็นสีแดงคล้ำในเงาสลัวซึมขึ้นมาและกจะจายตัวไปทั่วเสื้อนอนสีขาว ผ้าปูที่นอนสีขาว ผ้าห่มสีขาวจนแทบไม่เห็นสีเดิม
“ว้าย”
มินะโกะเห็นภาพนั่นเพียงแวบเดียวก็ซวนเซล้มลงไปนั่งแปะอยู่กับพื้น แม้จะตื่นตระหนกสุดขีดแต่ความเป็นห่วงแม่เลี้ยงก็ยังมีพลังเหนือกว่า เธอลุกขึ้นทรงตัวให้มั่นอีกครั้งแล้วผวาเข้าไปหาพลางร้องเสียงขรม
“คุณแม่...โธ่คุณแม่ อย่าเป็นอะไรไปนะคะ”
รุริโกะ ไม่แสดงอาการทุรนทุรายแม้บาดแผลจะสาหัสถึงชีวิต มือทั้งสองกุมบาดแผลที่สีข้างขวาไว้แน่น พยายามอดกลั้นความเจ็บปวดที่ราวกับร่างทั้งร่างจะแหลกรานออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่ง ขณะที่เลือดจากเนื้อกายที่บอบบางพรั่งผ่านซอกนิ้วออกมาไม่หยุด
มินะโกะเข้มแข็งขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถลกผ้าปูที่นอนของตนขึ้นมาฉีกออกเป็นแถบ ๆ เอามาทบกันหลายชั้นปิดปากแผลเอาไว้
“คุณแม่ทำใจดี ๆ นะคะ ดิฉันจะไปโทรเรียกหมอมาเดี๋ยวนี้”
มินะโกะตะโกนดัง ๆ ที่ข้างหู คนเจ็บขยับตัวเล็กน้อยแสดงว่าได้ยิน แก้มเนียนที่เคยผุดผ่องยองใยราวหินอ่อนบัดนี้ขาวซีด ตาที่เคยคมงามเป็นประกายก็ขุ่นมัว คิ้วโก่งงามเฉียงขึ้นไป และริมฝีปากที่เคยเปล่งคำคมบาดใจบัดนี้ซีดเป็นสีม่วงขึ้นเรื่อย ๆ
พอออกจากห้องนอนและวิ่งไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะห้องนั่งเล่น มินะโกะก็เห็นประตูห้องนอนของชายหนุ่มเปิดอยู่ และเตียงนั้นว่างเปล่า ดูเดียวดายอย่างน่าใจหาย บ่งบอกความเป็นจริงของโศกนาฏกรรมอันสุดแสนสยองขวัญครั้งนี้ให้มินะโกะรู้ซึ้งถึงแก่นใจ
2
ก่อนที่นายแพทย์มาถึง รุริโกะต่อสู้กับความเจ็บปวดแสนสาหัสอยู่ด้วยความอดทน แม้บาดแผลจะฉกรรจ์ถึงชีวิตแต่เธอก็ไม่กรีดเสียงร้องเอ็ดอึง ได้แต่ครางเสียงต่ำ ๆ อยู่ในลำคอ
คนที่ร้องไม่หยุดกลับเป็นมินะโกะ เธอเข้าไปเกาะอยู่กับแม่เลี้ยงไม่ยอมห่าง
“คุณแม่ คุณแม่เจ้าขา...ทำใจดี ๆ อย่าเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ”
มินะโกะได้แต่พร่ำพูดอยู่อย่างนั้นด้วยไม่รู้ว่าจะพูดจะทำอะไรถูก แล้วอยู่ ๆ รุริโกะก็ลืมตาขึ้นมองจ้องไปที่มินะโกะด้วยแววตาเป็นประกายประหลาด
“คุณแม่...คุณแม่”
มินะโกะเรียกเสียงปนสะอื้น
“มินะโกะ”
รุริโกะเปล่งเสียงออกมาด้วยพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่
“คุณ..แม่ คราวนี้...ถ้าจะไม่รอดเสียแล้ว”
รุริโกะเค้นเสียงออกมาได้ทีละคำเป็นห้วง ๆ
“คุณแม่พูดอะไรอย่างนั้น ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่ไม่เป็นอะไร”
“ไม่หรอก คุณแม่รู้ตัวดี มินะโกะ...คุณแม่ขอโทษ”
พอเห็นใบหน้างามของแม่เลี้ยงกระตุกด้วยความเจ็บปวด มินะโกะก็ปล่อยโฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ แต่รุริโกะยังพูดต่อไป เสียงขาดเป็นห้วง ๆ ด้วยความอดทน
“คุณแม่อยากขอให้หนูทำอะไรอย่างหนึ่ง เวลาไปส่งโทรเลขแจ้งข่าวอยากให้ช่วยส่งไปที่โกเบด้วย”
“โกเบ...ส่งถึงใครที่โกเบคะ”มินะโกะถามทั้งน้ำตาด้วยความสงสัย
“คือ...คือ” คำเจ็บปวดเสียดแทงขึ้นอย่างรุนแรงจนรุริโกะต้องหยุด “คือ.คุณซุงิโนะ นะโอะยะ น่ะหนู คุณแม่อ่านพบในหนังสือพิมพ์ว่าเขากลับจากบอร์เนียวเมื่อต้นเดือน ตอนนี้น่าจะทำงานอยู่ที่บริษัทการค้านันโยที่โกเบ คุณแม่อยากเจอเขาสักครั้งหนึ่งก่อนตาย
รุริโกะหมดแรงหลังจากฝืนความเจ็บปวดทรมานพูดจบจบ
ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา รุริโกะทำราวกับว่าเธอได้ลืมคนรักไปแล้ว แต่ลึกลงไปในใจจริงนั้นยังคิดถึงเขาอยู่เสมอ และคงเฝ้าติดตามข่าวตลอดมา
หมอมาถึงเมื่อรุ่งสาง ระหว่างที่คอยอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงเลือดของรุริโกะออกมามากจนอยู่ในอาการหมดสติ หมอหนุ่มจากแผนกอายุรศาสตร์มาดูแผลด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก แล้วสรุปว่ารุริโกะถูกจ้างแทงทีเดียวด้วยมีดคมค่อนข้างมากที่สีข้างขวา ปากแผลไม่กว้างและลึกกว่าสามนิ้ว
“แผลสาหัสครับ ผมจะปฐมพยาบาลให้ชั้นหนึ่งก่อน กรุณาติดต่อเชิญนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาโดยด่วนเลยครับ อาการ ณ ขณะนี้ยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ตรงที่ถูกแทงเป็นบริเวณที่อาจเกิดอาการแทรกซ้อนได้ง่าย หมอบอกอะไรไม่ได้นะครับ”
หมอหนุ่มทำหน้ากังวล ส่วนมินะโกะผู้อ่อนเยาว์ต้องตกอยู่ในภาวะต้องรับผิดชอบงานสำคัญหนักหนาทั้ง ๆ กำลังเศร้าและตื่นตระหนก หนึ่งในความยากเย็นและอยากหนีไปให้พ้นก็คือ การที่ต้องตอบคำถามของตำรวจที่สวนกับหมอเข้ามายังที่เกิดเหตุ
มินะโกะไม่อาจตอบได้เมื่อถูกตำรวจถามว่า
“คนร้ายหนีไปหรือครับ”
“นักศึกษาชื่ออะโอะกิกับคุณแม่ของคุณมีความสัมพันธ์กันอย่างไร”
และตอบไม่ได้ด้วยว่า
“ช่วงไม่นานมีนี้มีเหตุการณ์อะไรบ้างไหมที่คิดว่าเป็นแรงจูงใจให้ก่อเหตุฆาตกรรมเช่นนี้”
มินะโกะตอบอะไรไม่ได้เลย รู้สึกหวาดกังวลคล้ายตนเองเป็นผู้ต้องหาที่กำลังถูกสอบปากคำคดีฆาตกรรมสยองขวัญ
3
เช้าแล้ว วันนี้เป็นเช้าวันกลางฤดูร้อนอีกวันหนึ่งที่ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงจ้าสะท้อนป่าเขาของฮาโกเน่ แต่รุริโกะยังนอนหมดสติอยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากันราวกับมีเส้นใยเพียงบาง ๆ เท่านั้นที่ยึดโยงชีวิตเอาไว้
ราวบ่ายสองโมงกว่า ๆ ของวันนั้น ดร.คนโด ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งเคยรักษาบาดแผลของมินะโกะก็เดินทางมาถึงหลังจากที่ได้รับโทรเลขด่วนจากมินะโกะ และลงมือรักษาทันทีแต่รุริโกะก็ยังไม่ฟื้นคืนสติ
ช่วงนั้นรุริโกะเริ่มมีไข้สูงและเพ้อเป็นพัก ๆ และในคำเพ้อนั้นมินะโกะได้ยินแม่เลี้ยงของเธอเรียกหานะโอะยะหลายครั้ง
ท่านพ่อของรุริโกะเดินทางมาถึงในตอนเย็น ความที่ไม่พอใจกับการใช้ชีวิตอย่างผู้หญิงที่เป็นอิสระเสรีของลูกสาว ทำให้ท่านไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย และไม่ได้พบหน้ากันเกือบปีเห็นจะได้ แต่พอมาเห็นรุริโกะนอนนิ่งไม่ไหวติงในสภาพของคนที่ความตายกำลังคืบใกล้เข้ามาทุกที ท่านผู้สูงศักดิ์ก็น้ำตาไหลพราก และเมื่อคิดว่าการที่รุริโกะต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้เป็นความรับผิดชอบของตนเกือบเต็มร้อย มือที่เอื้อมไปสัมผัสหน้าผากลูกสาวจึงสั่นเทา
มินะโกะส่งโทรเลขถึงโคอิจิ พี่ชายของรุริโกะด้วย แต่รออยู่จนค่ำก็ยังไม่มีจึงคิดว่าอาจไม่ได้อยู่ที่โตเกียวก็ได้ รอบ ๆ เตียงของรุริโกะ คึกคักขึ้นเมื่อทนายหน้าหอและพวกคนรับใช้พากันรีบเดินทางมาจากโตเกียวเมื่อได้ข่าวร้าย แต่ ยิ่งเวลาผ่านไป มินะโกะก็ยิ่งใจหายเมื่อคิดว่าตนกำลังจะสูญเสียแม่...สูญเสียรุริโกะที่เธอรักด้วยใจจริงเสมือนดังแม่และพี่สาวทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผูกพันทางสายเลือด
เกือบสี่ทุ่ม รุริโกะคงจะหลับเพราะไม่มีเสียงเพ้อ ห้องทั้งห้องจึงเงียบสงัดทำให้รู้สึกอึดอัด ทุกคนในห้องได้เสียงใครมาเคาะประตูด้านระเบียงทางเดินเบา หญิงรับใช้คนหนึ่งจึงออกไปดูแล้วกลับมาบอกมินะโกะว่า
“คุณหนูเจ้าขา ผู้จัดการโรงแรมบอกว่าอยากขอพบสักครู่หนึ่งเจ้าค่ะ”
มินะโกะจึงเดินออกไปพบผู้จัดการที่ประตู
“เชิญทางนี้ครับ”
พอมินะโกะเดินตามออกไปที่ระเบียงตามคำเชิญด้วยความรู้สึกหวาด ๆ ผู้จัดการก็พูดด้วยเสียงกระซิบว่า
“ขอโทษครับที่มารบกวนตอนกำลังยุ่ง คือผมได้รับโทรศัพท์จากเมืองฮาโกเมื่อกี้นี้เองว่า พบศพคน ๆ หนึ่งลอยขึ้นมาบนทะเลสาบอะชิเมื่อเย็นนี้ เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบสองยี่สิบสาม ท่าทางเป็นนักศึกษา และเมื่อตรวจดูจดหมายสั่งเสียหลายฉบับที่ทิ้งไว้ในเรือ ก็พบว่าคนเขียนชื่ออะโอะกิ และเขียนที่โรงแรมฟุจิยะนี้เอง
พอฟังมาถึงตรงนี้ มินะโกะรู้สึกเหมือนพื้นระเบียงที่เธอยืนอยู่ยุบฮวบลงไป ผู้จัดการตกใจและรีบจับไหล่ขวาของเธอเอาไว้ได้ทัน
“ตายละ...ทำใจดี ๆ ครับ”
มินะโกะรวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อทรงตัวอยู่ให้ได้ แต่ก็เพียงไม่กี่วินาทีก็รู้สึกคล้ายเพดานกับพื้นเริ่มหมุนคว้าง
“ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ ผมตั้งใจจะมาถามตำบลที่อยู่ของคุณอะโอะกิที่โตเกียวเท่านั้น”
มินะโกะบอกให้ตามที่เขาต้องการด้วยเสียงสั่นเครือ ผู้จัดการรู้สึกผิด เขาขอโทษเธอซ้ำหลายครั้งก่อนขอตัวกลับไป
ความโหดร้ายของชีวิตทำลายจิตใจอ่อนไหวของสาวน้อยจนแหลกสลายไม่มีชิ้นดี เมื่อกลับเข้าไปในห้องใบหน้าของเธอจึงซีดขาวไม่ผิดกับรุริโกะผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
พอดีกับตอนนั้นรุริโกะตื่นจากหลับอันยาวนาน เธอมองมาที่มินะโกะเหมือนกับจะบอกอะไรด้วยสายตาของคนที่กำลังคะนึงหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
“คุณแม่ รู้สึกตัวแล้วหรือคะ”
มินะโกะถามเสียงดังที่ข้างหูด้วยความรู้สึกแจ่มใสขึ้นมาบ้าง
“มินะโกะ ยัง...ยังหรือคะ”
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
1
มินะโกะสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย แต่น่าแปลก...ทำไมเสียงร้องครวญครางยังไม่สิ้น เสียงครางอย่างคนที่กำลังเจ็บปวดทรมานอย่างที่สุดไม่ได้หยุดไปพร้อมกับความฝัน
“อือ...อือ...โอย...”
มินะโกะเริ่มได้ยินเสียงครางใกล้หูเข้ามาเรื่อย ๆ ประสาทรับรู้ยิ่งชัดเจนขึ้นเพียงใดเสียงครางก็เริ่มดังชัดขึ้นเพียงนั้น
“โอย...โอย”
พอมินะโกะตื่นเต็มที่ในที่สุด เธอก็ต้องเย็นวาบไปทั้งตัวเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบ
“โอย...โอย”
เสียงครางราวถูกบีบเค้นออกมาจากลำคอดังอยู่ใกล้ ๆ ตัวเธอนี่เอง
“คุณแม่”
มินะโกะกรีดร้องสุดเสียง
“คุณแม่...คุณแม่”
มินะโกะกรีดร้องไม่หยุดเหมือนเด็กน้อยที่กำลังเสียขวัญเรียกหาแม่
ไม่มีเสียงตอบจาก “แม่”
มีแต่เสียงครางต่ำลึกที่ถูกเค้นผ่านลำคอออกมาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวเป็นที่สุด ท่ามกลางความมืดมิดภายในห้อง
“คุณแม่เจ้าขา”
มินะโกะทนกลิ้งตัวลงจากเตียงเพราะทนนอนเฉยอยู่ไม่ได้อีกต่อไป
เตียงของแม่เลี้ยงอยู่ใกล้กันแค่มือเอื้อม และพอมินะโกะเอื้อมมือที่กำลังสั่นเทาไปแตะที่ขอบเตียง มือของเธอก็สำผัสกับของเหลวเหนอะ ๆ และอุ่นจัด
“คุณแม่” มินะโกะกรีดเสียงสั่นสะท้าน พร้อมกับเลื่อนมือไปที่หน้าอกของแม่เลี้ยง และรู้สึกได้ว่าร่างงามนั้นบิดไปมาเล็กน้อย
“คุณแม่...คุณแม่เป็นอะไรไปคะ”
มิใยที่มินะโกะจะพยายามส่งเสียงถามจนดังกังวานไปทั่วห้อง แต่คำตอบที่ได้รับมีเพียงเสียงครางต่่ำลึกไม่หยุด
“คุณแม่...คุณแม่เจ้าคะ ทำใจดี ๆ ไว้” มินะโกะแผดเสียงดังเหมือนเสียสติ
ในที่สุดแม่เลี้ยงก็เค้นคำพูดออกมาเป็นห้วง ๆ ด้วยความยากเย็นเหลือเกิน
“เปิดไฟ...เปิดไฟ”
สิ่งแรกที่คนบาดเจ็บเจียนตายต้องการคือแสงสว่าง
มินะโกะผลุดลุกขึ้นและปราดไปที่ดวงไฟ แต่ด้วยความละล้าละลังมือจึงคว้าไม่พบดั่งใจในทันที
แสงไฟไม่สว่างนักแต่ก็พอส่องให้เห็นภาพสยองขวัญกระจ่างชัดขึ้นตรงหน้า แม่เลี้ยงของเธอนอนจมกองเลือดอยู่บนเตียง เลือดที่เห็นเป็นสีแดงคล้ำในเงาสลัวซึมขึ้นมาและกจะจายตัวไปทั่วเสื้อนอนสีขาว ผ้าปูที่นอนสีขาว ผ้าห่มสีขาวจนแทบไม่เห็นสีเดิม
“ว้าย”
มินะโกะเห็นภาพนั่นเพียงแวบเดียวก็ซวนเซล้มลงไปนั่งแปะอยู่กับพื้น แม้จะตื่นตระหนกสุดขีดแต่ความเป็นห่วงแม่เลี้ยงก็ยังมีพลังเหนือกว่า เธอลุกขึ้นทรงตัวให้มั่นอีกครั้งแล้วผวาเข้าไปหาพลางร้องเสียงขรม
“คุณแม่...โธ่คุณแม่ อย่าเป็นอะไรไปนะคะ”
รุริโกะ ไม่แสดงอาการทุรนทุรายแม้บาดแผลจะสาหัสถึงชีวิต มือทั้งสองกุมบาดแผลที่สีข้างขวาไว้แน่น พยายามอดกลั้นความเจ็บปวดที่ราวกับร่างทั้งร่างจะแหลกรานออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่ง ขณะที่เลือดจากเนื้อกายที่บอบบางพรั่งผ่านซอกนิ้วออกมาไม่หยุด
มินะโกะเข้มแข็งขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถลกผ้าปูที่นอนของตนขึ้นมาฉีกออกเป็นแถบ ๆ เอามาทบกันหลายชั้นปิดปากแผลเอาไว้
“คุณแม่ทำใจดี ๆ นะคะ ดิฉันจะไปโทรเรียกหมอมาเดี๋ยวนี้”
มินะโกะตะโกนดัง ๆ ที่ข้างหู คนเจ็บขยับตัวเล็กน้อยแสดงว่าได้ยิน แก้มเนียนที่เคยผุดผ่องยองใยราวหินอ่อนบัดนี้ขาวซีด ตาที่เคยคมงามเป็นประกายก็ขุ่นมัว คิ้วโก่งงามเฉียงขึ้นไป และริมฝีปากที่เคยเปล่งคำคมบาดใจบัดนี้ซีดเป็นสีม่วงขึ้นเรื่อย ๆ
พอออกจากห้องนอนและวิ่งไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะห้องนั่งเล่น มินะโกะก็เห็นประตูห้องนอนของชายหนุ่มเปิดอยู่ และเตียงนั้นว่างเปล่า ดูเดียวดายอย่างน่าใจหาย บ่งบอกความเป็นจริงของโศกนาฏกรรมอันสุดแสนสยองขวัญครั้งนี้ให้มินะโกะรู้ซึ้งถึงแก่นใจ
2
ก่อนที่นายแพทย์มาถึง รุริโกะต่อสู้กับความเจ็บปวดแสนสาหัสอยู่ด้วยความอดทน แม้บาดแผลจะฉกรรจ์ถึงชีวิตแต่เธอก็ไม่กรีดเสียงร้องเอ็ดอึง ได้แต่ครางเสียงต่ำ ๆ อยู่ในลำคอ
คนที่ร้องไม่หยุดกลับเป็นมินะโกะ เธอเข้าไปเกาะอยู่กับแม่เลี้ยงไม่ยอมห่าง
“คุณแม่ คุณแม่เจ้าขา...ทำใจดี ๆ อย่าเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ”
มินะโกะได้แต่พร่ำพูดอยู่อย่างนั้นด้วยไม่รู้ว่าจะพูดจะทำอะไรถูก แล้วอยู่ ๆ รุริโกะก็ลืมตาขึ้นมองจ้องไปที่มินะโกะด้วยแววตาเป็นประกายประหลาด
“คุณแม่...คุณแม่”
มินะโกะเรียกเสียงปนสะอื้น
“มินะโกะ”
รุริโกะเปล่งเสียงออกมาด้วยพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่
“คุณ..แม่ คราวนี้...ถ้าจะไม่รอดเสียแล้ว”
รุริโกะเค้นเสียงออกมาได้ทีละคำเป็นห้วง ๆ
“คุณแม่พูดอะไรอย่างนั้น ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่ไม่เป็นอะไร”
“ไม่หรอก คุณแม่รู้ตัวดี มินะโกะ...คุณแม่ขอโทษ”
พอเห็นใบหน้างามของแม่เลี้ยงกระตุกด้วยความเจ็บปวด มินะโกะก็ปล่อยโฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ แต่รุริโกะยังพูดต่อไป เสียงขาดเป็นห้วง ๆ ด้วยความอดทน
“คุณแม่อยากขอให้หนูทำอะไรอย่างหนึ่ง เวลาไปส่งโทรเลขแจ้งข่าวอยากให้ช่วยส่งไปที่โกเบด้วย”
“โกเบ...ส่งถึงใครที่โกเบคะ”มินะโกะถามทั้งน้ำตาด้วยความสงสัย
“คือ...คือ” คำเจ็บปวดเสียดแทงขึ้นอย่างรุนแรงจนรุริโกะต้องหยุด “คือ.คุณซุงิโนะ นะโอะยะ น่ะหนู คุณแม่อ่านพบในหนังสือพิมพ์ว่าเขากลับจากบอร์เนียวเมื่อต้นเดือน ตอนนี้น่าจะทำงานอยู่ที่บริษัทการค้านันโยที่โกเบ คุณแม่อยากเจอเขาสักครั้งหนึ่งก่อนตาย
รุริโกะหมดแรงหลังจากฝืนความเจ็บปวดทรมานพูดจบจบ
ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา รุริโกะทำราวกับว่าเธอได้ลืมคนรักไปแล้ว แต่ลึกลงไปในใจจริงนั้นยังคิดถึงเขาอยู่เสมอ และคงเฝ้าติดตามข่าวตลอดมา
หมอมาถึงเมื่อรุ่งสาง ระหว่างที่คอยอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงเลือดของรุริโกะออกมามากจนอยู่ในอาการหมดสติ หมอหนุ่มจากแผนกอายุรศาสตร์มาดูแผลด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก แล้วสรุปว่ารุริโกะถูกจ้างแทงทีเดียวด้วยมีดคมค่อนข้างมากที่สีข้างขวา ปากแผลไม่กว้างและลึกกว่าสามนิ้ว
“แผลสาหัสครับ ผมจะปฐมพยาบาลให้ชั้นหนึ่งก่อน กรุณาติดต่อเชิญนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาโดยด่วนเลยครับ อาการ ณ ขณะนี้ยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ตรงที่ถูกแทงเป็นบริเวณที่อาจเกิดอาการแทรกซ้อนได้ง่าย หมอบอกอะไรไม่ได้นะครับ”
หมอหนุ่มทำหน้ากังวล ส่วนมินะโกะผู้อ่อนเยาว์ต้องตกอยู่ในภาวะต้องรับผิดชอบงานสำคัญหนักหนาทั้ง ๆ กำลังเศร้าและตื่นตระหนก หนึ่งในความยากเย็นและอยากหนีไปให้พ้นก็คือ การที่ต้องตอบคำถามของตำรวจที่สวนกับหมอเข้ามายังที่เกิดเหตุ
มินะโกะไม่อาจตอบได้เมื่อถูกตำรวจถามว่า
“คนร้ายหนีไปหรือครับ”
“นักศึกษาชื่ออะโอะกิกับคุณแม่ของคุณมีความสัมพันธ์กันอย่างไร”
และตอบไม่ได้ด้วยว่า
“ช่วงไม่นานมีนี้มีเหตุการณ์อะไรบ้างไหมที่คิดว่าเป็นแรงจูงใจให้ก่อเหตุฆาตกรรมเช่นนี้”
มินะโกะตอบอะไรไม่ได้เลย รู้สึกหวาดกังวลคล้ายตนเองเป็นผู้ต้องหาที่กำลังถูกสอบปากคำคดีฆาตกรรมสยองขวัญ
3
เช้าแล้ว วันนี้เป็นเช้าวันกลางฤดูร้อนอีกวันหนึ่งที่ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงจ้าสะท้อนป่าเขาของฮาโกเน่ แต่รุริโกะยังนอนหมดสติอยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากันราวกับมีเส้นใยเพียงบาง ๆ เท่านั้นที่ยึดโยงชีวิตเอาไว้
ราวบ่ายสองโมงกว่า ๆ ของวันนั้น ดร.คนโด ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งเคยรักษาบาดแผลของมินะโกะก็เดินทางมาถึงหลังจากที่ได้รับโทรเลขด่วนจากมินะโกะ และลงมือรักษาทันทีแต่รุริโกะก็ยังไม่ฟื้นคืนสติ
ช่วงนั้นรุริโกะเริ่มมีไข้สูงและเพ้อเป็นพัก ๆ และในคำเพ้อนั้นมินะโกะได้ยินแม่เลี้ยงของเธอเรียกหานะโอะยะหลายครั้ง
ท่านพ่อของรุริโกะเดินทางมาถึงในตอนเย็น ความที่ไม่พอใจกับการใช้ชีวิตอย่างผู้หญิงที่เป็นอิสระเสรีของลูกสาว ทำให้ท่านไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย และไม่ได้พบหน้ากันเกือบปีเห็นจะได้ แต่พอมาเห็นรุริโกะนอนนิ่งไม่ไหวติงในสภาพของคนที่ความตายกำลังคืบใกล้เข้ามาทุกที ท่านผู้สูงศักดิ์ก็น้ำตาไหลพราก และเมื่อคิดว่าการที่รุริโกะต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้เป็นความรับผิดชอบของตนเกือบเต็มร้อย มือที่เอื้อมไปสัมผัสหน้าผากลูกสาวจึงสั่นเทา
มินะโกะส่งโทรเลขถึงโคอิจิ พี่ชายของรุริโกะด้วย แต่รออยู่จนค่ำก็ยังไม่มีจึงคิดว่าอาจไม่ได้อยู่ที่โตเกียวก็ได้ รอบ ๆ เตียงของรุริโกะ คึกคักขึ้นเมื่อทนายหน้าหอและพวกคนรับใช้พากันรีบเดินทางมาจากโตเกียวเมื่อได้ข่าวร้าย แต่ ยิ่งเวลาผ่านไป มินะโกะก็ยิ่งใจหายเมื่อคิดว่าตนกำลังจะสูญเสียแม่...สูญเสียรุริโกะที่เธอรักด้วยใจจริงเสมือนดังแม่และพี่สาวทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผูกพันทางสายเลือด
เกือบสี่ทุ่ม รุริโกะคงจะหลับเพราะไม่มีเสียงเพ้อ ห้องทั้งห้องจึงเงียบสงัดทำให้รู้สึกอึดอัด ทุกคนในห้องได้เสียงใครมาเคาะประตูด้านระเบียงทางเดินเบา หญิงรับใช้คนหนึ่งจึงออกไปดูแล้วกลับมาบอกมินะโกะว่า
“คุณหนูเจ้าขา ผู้จัดการโรงแรมบอกว่าอยากขอพบสักครู่หนึ่งเจ้าค่ะ”
มินะโกะจึงเดินออกไปพบผู้จัดการที่ประตู
“เชิญทางนี้ครับ”
พอมินะโกะเดินตามออกไปที่ระเบียงตามคำเชิญด้วยความรู้สึกหวาด ๆ ผู้จัดการก็พูดด้วยเสียงกระซิบว่า
“ขอโทษครับที่มารบกวนตอนกำลังยุ่ง คือผมได้รับโทรศัพท์จากเมืองฮาโกเมื่อกี้นี้เองว่า พบศพคน ๆ หนึ่งลอยขึ้นมาบนทะเลสาบอะชิเมื่อเย็นนี้ เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบสองยี่สิบสาม ท่าทางเป็นนักศึกษา และเมื่อตรวจดูจดหมายสั่งเสียหลายฉบับที่ทิ้งไว้ในเรือ ก็พบว่าคนเขียนชื่ออะโอะกิ และเขียนที่โรงแรมฟุจิยะนี้เอง
พอฟังมาถึงตรงนี้ มินะโกะรู้สึกเหมือนพื้นระเบียงที่เธอยืนอยู่ยุบฮวบลงไป ผู้จัดการตกใจและรีบจับไหล่ขวาของเธอเอาไว้ได้ทัน
“ตายละ...ทำใจดี ๆ ครับ”
มินะโกะรวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อทรงตัวอยู่ให้ได้ แต่ก็เพียงไม่กี่วินาทีก็รู้สึกคล้ายเพดานกับพื้นเริ่มหมุนคว้าง
“ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ ผมตั้งใจจะมาถามตำบลที่อยู่ของคุณอะโอะกิที่โตเกียวเท่านั้น”
มินะโกะบอกให้ตามที่เขาต้องการด้วยเสียงสั่นเครือ ผู้จัดการรู้สึกผิด เขาขอโทษเธอซ้ำหลายครั้งก่อนขอตัวกลับไป
ความโหดร้ายของชีวิตทำลายจิตใจอ่อนไหวของสาวน้อยจนแหลกสลายไม่มีชิ้นดี เมื่อกลับเข้าไปในห้องใบหน้าของเธอจึงซีดขาวไม่ผิดกับรุริโกะผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
พอดีกับตอนนั้นรุริโกะตื่นจากหลับอันยาวนาน เธอมองมาที่มินะโกะเหมือนกับจะบอกอะไรด้วยสายตาของคนที่กำลังคะนึงหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
“คุณแม่ รู้สึกตัวแล้วหรือคะ”
มินะโกะถามเสียงดังที่ข้างหูด้วยความรู้สึกแจ่มใสขึ้นมาบ้าง
“มินะโกะ ยัง...ยังหรือคะ”