xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนรอยมหันตภัยที่ญี่ปุ่นในความทรงจำ (1)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"

วันนี้เป็นวันครบรอบ 7 ปีนับจากวันที่เกิดแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น แต่ฉันยังจำเหตุการณ์และความรู้สึกในวันนั้นได้ดีเสมือนมันเพิ่งผ่านพ้นมาไม่นานนี้เอง

ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายของวันที่อากาศแจ่มใส ฉันกำลังง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์ที่ชั้นล่างของอาคารแห่งหนึ่ง อยู่ ๆ รอบตัวก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นทีละน้อย โดยปกติญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวอยู่เรื่อย ๆ เพียงแต่ส่วนมากจะสั่นสะเทือนน้อยมากจนไม่รู้สึก หรือไม่ก็ไม่รุนแรง เกิดขึ้นแว้บเดียวแล้วก็ผ่านพ้นไป แต่ครั้งนี้นอกจากจะไม่ยอมหยุดง่าย ๆ แล้วยังสั่นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนผิดปกติ ต่างคนต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความกังวล และแล้วผู้มีอำนาจสั่งการในที่นั้นก็บอกให้ทุกคนรีบออกไปจากตึกทันที

พวกเราคว้าเสื้อกันหนาวได้ก็รีบเผ่นกันออกมาตัวเปล่า ไม่ได้คิดจะเอาของมีค่าอะไรติดออกมาด้วย ทุกคนออกไปจากตึกแล้วก็มุ่งไปยังพื้นที่โล่งกลางแจ้งแห่งหนึ่ง รอบข้างสั่นสะเทือนอย่างน่ากลัว เสาไฟฟ้าที่ตอนแรกเพียงแค่สั่นไหวระริก ๆ เริ่มเหวี่ยงส่ายไปมา ทุกคนอยู่ในอาการประหวั่นพรั่นพรึงแต่ก็ได้แต่เงียบยืนมองเท่านั้น ผู้หญิงคนหนึ่งกลัวจนร้องไห้ออกมา ฉันรู้สึกเหมือนความเป็นและความตายกำลังจะเผยตัวในอีกไม่ช้านี้

เมื่อทุกสิ่งรอบข้างสงบลง และค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าปลอดภัย ทุกคนจึงกลับไปยังอาคาร ฉันไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงชวนตกอกตกใจกว่าที่เคย แต่เมื่อกลับไปนั่งที่คอมพิวเตอร์และดูข่าวทางอินเทอร์เน็ตก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อทราบว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับจังหวัดมิยางิ คลื่นสึนามิกวาดบ้านเรือนไปทั้งหลัง รถรา เสาไฟฟ้า และทุกสิ่งทุกอย่างให้กลืนไปกับระลอกคลื่นอันรวดเร็วและรุนแรง ภาพบ้านถล่ม เสาไฟฟ้าล้มชวนให้ใจกระหวัดนึกไปถึงภาพโดมิโนที่ล้มต่อ ๆ กัน ฉันนิ่งอึ้งมองภาพที่เห็นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

แต่ละคนเกิดความตระหนกและพยายามโทรศัพท์หาคนในครอบครัวและคนรู้จักเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย แต่โทรอย่างไรก็ไม่ติด คาดว่าเป็นเพราะคนทั่วประเทศกำลังใช้โทรศัพท์โดยพร้อมเพรียงกัน แต่ก็ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ตที่ทำให้ฉันสามารถติดต่อกับคนในครอบครัวได้ผ่านทาง MSN Messenger ซึ่งเป็นโปรแกรมแชทที่ได้รับความนิยมในเวลานั้น แม่ติดต่อมาจากเมืองไทย บอกว่าพยายามโทรหาเท่าไหร่ก็ไม่ติด กังวลแทบแย่ ฉันเองก็ไม่ทันคิดว่าสมัยนี้การข่าวอะไรไปไวมาก เมื่อออกข่าวที่ญี่ปุ่นก็มีข่าวออกอากาศไปทั่วโลกเช่นกัน

แน่นอนว่าเมื่อเกิดแผ่นดินไหว การจราจรก็เป็นอัมพาตตามไปด้วย เมื่อขึ้นรถเมล์ก็ไม่ได้ รถไฟก็ไม่ได้ ฉันจึงต้องเดินกลับบ้าน โชคดีว่าบ้านฉันอยู่ในระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตรจึงสามารถเดินกลับได้ แต่สมัยนั้นฉันยังไม่คุ้นเคยกับการเดินไกลในคราวเดียวจึงรู้สึกว่าทรหดมาก ระหว่างทางก็มีผู้คนในชุดทำงานที่เดินกลับบ้านกันมากมาย ฉันรู้สึกโชคดีที่ตัวเองชอบใส่รองเท้าที่เดินสบาย จึงไม่โดนรองเท้ากัดหรือเจ็บเท้าระหว่างเดิน

แม้ผู้คนจะยังอยู่ในอาการหน้าดำคร่ำเครียดและสับสน ร้านรวงมากมายปิดให้บริการ แต่จำได้ว่ามีร้านราเม็งร้านหนึ่งที่คนแน่นมาก (คงเพราะร้านอื่นไม่เปิด) และคนทำก็ตั้งหน้าตั้งตาต้อนรับลูกค้าและทำราเม็งให้อย่างขยันขันแข็ง ใช่ว่าเกิดเหตุแล้วพลอยเป็นกระต่ายตื่นตูมมิเป็นอันทำอะไร ฉันเห็นแล้วก็รู้สึกชื่นชม

เมื่อไปถึงหน้าอะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง ฉันก็ต้องเดินขึ้นบันไดเอาเพราะเขาห้ามใช้ลิฟต์เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ฉันเดินมาไกลแล้วยังต้องเดินขึ้นบันไดต่อไปจนถึงชั้นสิบสอง ก็ยังดีว่าตึกนี้ไม่สูงระฟ้า หรือห้องฉันอยู่สูงเกินไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคงหอบแฮ่ก ๆ อยู่กลางทางนั้นเอง

ฉันเห็นภาพข้าวของหล่น เฟอร์นิเจอร์ล้มระเนระนาดมาแล้วจากในอินเทอร์เน็ต จึงพอจะนึกสภาพได้ว่าเมื่อถึงบ้านแล้วคงต้องทำใจ กระนั้นก็ยังอดตกใจไม่ได้เมื่อเห็นตู้หนังสือสูงสองเมตรสองใบล้มฟาดใส่เตียงพร้อมหนังสือที่กระจัดกระจายเต็มห้อง นึกสยองว่าถ้าเกิดล้มใส่ตอนกลางคืนที่กำลังนอนหลับอยู่คงได้บาดเจ็บแน่ จากนั้นมาเราก็เลยซื้ออุปกรณ์ยึดด้านบนสุดของตู้ไว้กับเพดานเพื่อยันไว้ไม่ให้ล้มเวลาเกิดแผ่นดินไหว อุปกรณ์แบบนี้มีขายทั่วไปและใช้กันในหลายครัวเรือนเพราะญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวบ่อย ๆ

สามีฉันที่เดินกลับมาถึงบ้านก่อนก็พยายามจะจัดเก็บอะไรเท่าที่ได้ของเขาไป ฉันมัวแต่สนใจตู้หนังสือใหญ่ที่ล้มไม่เป็นท่า พอนึกขึ้นได้ว่าแล้วตู้หนังสือใบเล็กอีกใบที่จัดด้านบนเป็นหิ้งพระล่ะ ป่านนี้พระพุทธรูปไม่ล้มหล่นลงมาอยู่กับพื้นหรอกหรือ พอลุกไปดูก็เห็นพระพุทธรูปและพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับมานั้นยังอยู่กับที่บนชั้นหนังสือเรียบร้อยเป็นปกติดี ฉันก็นึกดีใจว่าสามีจัดขึ้นเก็บให้ แต่สามีบอกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

พอฉันเดินไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าหนังสือร่วงหล่นจากตู้ใบนั้นแค่บางเล่ม กรอบรูปบางอันร่วงหล่นไปบ้าง แต่ที่น่าอัศจรรย์คือเส้นเกศาของครูบาอาจารย์ที่ใส่อยู่ในผอบสองใบไว้นั้นเดิมทีอยู่วางอยู่ค่อนข้างปริ่มขอบตู้ และเนื่องจากมีน้ำหนักเบาแถมตู้หนังสือก็ฉาบไว้เรียบลื่นด้วย ถ้าเกิดแรงสั่นสะเทือนน่าจะร่วงหล่นก่อนสิ่งอื่นได้อย่างง่ายดาย แต่แจกันดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังผอบนั้นกลับล้มตะแคงลงมาโดยยังคาอยู่บนตู้หนังสือในขณะที่ผอบสองใบดูเหมือนจะพร้อมใจกันเคลื่อนตัวออกไปด้านข้างเปิดทางให้แจกันล้มโดยที่ผอบไม่โดนล้มใส่ ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ

ฉันถามสามีว่าที่ทำงานเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาเล่าว่าเนื่องจากเขาทำงานอยู่บนตึกสูง จึงรู้สึกว่าตึกส่ายโยกไปมา ทั้งนี้ อาคารหลายแห่งที่ญี่ปุ่นนั้นมีโครงสร้างอาคารที่มีความยืดหยุ่นเหมือนสปริง คือเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนอาคารจะส่ายไปมาตามการไหวและไม่ทำให้เกิดความเสียหายมาก แต่ถ้าโครงสร้างอาคารเป็นแนวตรงดิ่งทื่อ ๆ เลย เมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนมากจะแตกหักและพังทลายได้ง่าย

วันนั้นแก๊สก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน คงเพราะเป็นระบบป้องกันอัคคีภัยเวลาเกิดแผ่นดินไหว วันนั้นจึงไม่มีน้ำอุ่นอาบ และอากาศก็ยังหนาว แต่ด้วยความที่เป็นคนไทยกระมัง อย่างไรก็ทนไม่ค่อยจะไหวถ้าไม่ได้อาบน้ำ ฉันจึงยอมอาบน้ำเย็นแทน เมื่อประกอบอาหารด้วยแก๊สไม่ได้ เราก็หาอะไรตามแต่จะมีเหลือในบ้านรับประทานรองท้องเอา และก็นอนท่ามกลางห้องที่หนังสือยังกระจัดกระจายเพราะเราหมดแรงจะลุกขึ้นมาจัดบ้านหลังเหนื่อยจากทำงานมาทั้งวันและเดินมาไกล แถมยังอยู่ในบรรยากาศอันรู้สึกไม่ปลอดภัยอีกต่างหาก

ตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงรอบแรก หลายคนรู้สึกเหมือนรอบข้างสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา บางคราวก็จริง แต่บางคราวก็เหมือนร่างกายจะตีความไปเองว่ายังเกิดแผ่นดินไหวอยู่ ในความเป็นจริงแล้วเกิดอาฟเตอร์ช็อคขึ้นหลายครั้ง แต่คงเพราะเกิดถี่ บางคราวจึงรู้สึกว่าแผ่นดินไหวอีกแล้ว และมักได้ยินคนถามกันไปกันมาว่าตอนนี้แผ่นดินไหวอยู่ไหม หรือตัวคนถามรู้สึกไปเอง

ช่วงนั้นมีอาสาสมัครแห่กันไปช่วยเหลือจังหวัดที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสึนามิกันเยอะมากทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนชาวอังกฤษของฉันระดมรับของบริจาคจากเพื่อนและคนรู้จัก จากนั้นก็เช่ารถบรรทุกและขับไปส่งของถึงที่ เพื่อนชาวออสเตรเลียไปช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน และเพื่อนชาวอเมริกันอีกคนไปมอบของถึงบริเวณใกล้เขตที่เสี่ยงอันตรายจากรังสี ที่รั่วไหลออกมาจากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จังหวัดฟุคุชิมะหลังแผ่นดินไหวและสึนามิ โดยเธอต้องทิ้งเสื้อโค้ทหลังออกจากบริเวณนั้นเพื่อไม่ให้ติดรังสีกลับมาด้วย หลังจากอาสาสมัครแห่กันไปเยอะมากจากทุกทิศทุกทาง ทางการญี่ปุ่นก็ได้ขอร้องว่าอย่าต่างคนต่างแห่กันไปเองเพราะจะเกิดความวุ่นวายสับสน มีอาสาสมัครล้นเกินความจำเป็น และเกินความสามารถที่จะรองรับได้

มหันตภัยครั้งนี้ส่งผลในวงกว้าง และญี่ปุ่นได้เรียนรู้หลายอย่างจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สัปดาห์หน้าจะเล่าให้ฟังต่อค่ะ.



"ซาระซัง" สาวไทยที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.



กำลังโหลดความคิดเห็น