xs
xsm
sm
md
lg

ใครคือผู้หญิงบนธนบัตร 5000 เยน ?

เผยแพร่:   โดย: โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์


ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies


เกริ่นนำ

ผู้หญิงกับการอ่านออกเขียนได้ถือว่าเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับหลายสังคมในช่วงสองร้อยปีมานี้ เมื่อการศึกษาแพร่หลายมากขึ้นและผู้หญิงมีโอกาสได้เรียนหนังสือ ก็เริ่มมีนักเขียนหญิงที่ถือว่าเป็นผู้บุกเบิกวงการวรรณกรรม ของไทยคือ “ดอกไม้สด” ซึ่งเป็นนามปากกาของ หม่อมหลวงบุปผา นิมมานเหมินท์ (พ.ศ. 2448 – 2506) ถ้าของญี่ปุ่น คือ คนที่มีภาพอยู่บนธนบัตรห้าพันเยนนั่นเอง
หม่อมหลวงบุปผา นิมมานเหมินท์
นักเขียนหญิงผู้นี้คือ อิชิโย ฮิงุชิ (樋口一葉;Higuchi, Ichiyo) เป็นนามปากกาของ นะสึ ฮิงุชิ (樋口 奈津; Higuchi, Natsu) เกิดเมื่อ พ.ศ. 2415 ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2439 อยู่ในสมัยเมจิซึ่งเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังปรับประเทศให้ทันสมัย และเป็นช่วงเดียวกับยุคพัฒนาขนานใหญ่ของไทยตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ฮิงุชิกับดอกไม้สดเป็นคนในยุคใกล้เคียงกัน แม้ฮิงุชิอายุสั้น เสียชีวิตด้วยวัณโรคปอดขณะที่อายุ 24 ปี แต่ในช่วงชีวิตได้ประพันธ์เรื่องสั้นไว้กว่า 20 เรื่อง และกลอนอีกกว่า 4,000 บท ถือเป็นนักเขียนสตรีที่ญี่ปุ่นยกย่องมากที่สุดในยุคทันสมัย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้มีภาพอยู่บนธนบัตร โดยเป็นผู้หญิงคนแรกที่มี “ภาพเหมือน” ปรากฏบนธนบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น
อิชิโย ฮิงุชิ
ผลงานของฮิงุชิเขียนด้วยภาษาที่ค่อนข้างโบราณ อ่านยากแม้แต่สำหรับคนญี่ปุ่น คนส่วนใหญ่จึงอ่านฉบับแปล เนื้อหามักถ่ายทอดเรื่องความรัก ครอบครัว และความขัดแย้งทางจิตใจของผู้หญิงในศตวรรษที่ 19 แต่ถึงแม้เวลาผ่านมานานกว่าร้อยปีแล้ว คนสมัยนี้ก็ยังเข้าถึงความรู้สึกร่วมเหล่านั้นได้ อย่างเรื่อง “ลูกคนนี้” (この子;Kono ko) ที่นำเสนอ อันที่จริงโครงเรื่องไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่สะท้อนให้เห็นชีวิตครอบครัวร้าวฉานที่มีลูกน้อยเกิดมาเป็นผู้ประสานรอยร้าวนั้นผ่านความรักที่ฝ่ายหญิงกับฝ่ายชายมอบให้แก่ลูก นอกจากสะท้อนชีวิตครอบครัวของคนญี่ปุ่นแล้ว คงช่วยคลายข้อสงสัยของหลายคนได้ว่าผู้หญิงที่อยู่บนธนบัตรญี่ปุ่นคนนั้นคือใครและเคยสร้างผลงานอะไรไว้

ลูกคนนี้


หากฉันเอ่ยปากว่า ลูกฉันช่างน่ารัก ใคร ๆ ก็คงหัวเราะกันยกใหญ่เป็นแน่ สำหรับเรื่องแบบนี้ แน่อยู่แล้ว...ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ย่อมไม่มีใครรังเกียจลูกตัวเองกันหรอก และมันคงฟังตลกสิ้นดีราวกับมีแต่ฉันคนเดียวที่ครอบครองสมบัติชิ้นสำคัญเช่นนั้น ดังนั้น ถ้อยคำที่ฟังดูเลยเถิดจึงไม่ออกจากปาก ทว่าภายในใจฉัน มันไม่ใช่เรื่องของความน่ารักน่าชังอะไรแบบนั้น แต่เป็นความรู้สึกขอบคุณที่มีให้แก่ลูก เป็นความรู้สึกชนิดที่แทบจะยกมือประณมแล้วก้มไหว้เลยทีเดียว

หากจะว่าไป ลูกของฉันคือเทพประจำตัวผู้คุ้มครองฉัน มีดวงหน้าแย้มยิ้มน่ารักอย่างนี้ และเริงเล่นอย่างไร้เดียงสาเช่นนี้ แต่หากจะพูดถึงความสำคัญของเรื่องราวที่ใบหน้าแย้มยิ้มอันไร้เดียงสานี้สอนฉันละก็ ฉันไม่อาจบรรยายได้หมดจดครบถ้วนด้วยคำพูดหรอก

ดวงหน้ายามที่เด็กคนนี้หลับพริ้มอย่างไร้เดียงสาอยู่บนฟูกนอนพลางกางมือทั้งสองออกข้างไหล่นั้น ทำให้แม้แต่คนใจแข็งสุดดื้อด้านอย่างฉันมีน้ำตาเอ่อคลอ ประหนึ่งผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ และไม่อาจแข็งใจพูดได้เลยว่าเด็กคนนี้ไม่น่ารัก

ปีที่แล้ว ตั้งแต่ย่างเข้าปลายปี เด็กส่งเสียงอุแว้แรกออกมาและเผยใบหน้าสีแดง ๆ ให้เห็นเป็นครั้งแรก ตอนนี้พอนึกถึงความรู้สึกของช่วงนั้น ฉันรู้สึกว่าน่าสมเพช ช่วงนั้นเนื่องจากฉันยังรู้สึกคล้ายกับหลงอยู่ในห้วงอวกาศ จึงคิดว่า โธ่...ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้คลอดออกมาแข็งแรงนะ ถ้าเจ้าเด็กนี่ตาย ๆ ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด พอคลอดเสร็จ ฉันก็จะได้กลับบ้านเกิดทันที อยู่กับสามีอย่างนี้ไม่ได้ช่วยรักษากายใจให้ดีขึ้นเลยแม้จนนิด เจ้าเด็กนี่ไฉนเกิดมาแข็งแรงกันเล่า ไม่เอานะ... ไม่เอา ไม่ว่าอย่างไรก็จะถูกผูกมัดเข้ากับความสัมพันธ์นี้ แล้วจากนี้ฉันจะใช้ชีวิตยาวนานต่อไปท่ามกลางสภาพไร้แสงสว่างใด ๆ กระนั้นหรือ ฉันคิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ เป็นต้นว่า ชีวิตประจำวันอันน่ารังเกียจ ชีวิตอันน่าสมเพช และรู้สึกเศร้าใจหนักหนา

ด้วยฉันเชื่อว่าตัวฉันไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่ดีเลย ไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย และเรื่องกระทบกระทั่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น อุบัติขึ้นตามอารมณ์ความรู้สึกของสามี ฉันจึงผูกใจเจ็บสามีเหลวไหล

ก่อนอื่น จะบอกให้รู้ว่า จวบจนถึงตอนนี้ฉันไม่เคยก่อความผิดบาปใด ๆ แม้แต่การมาที่นี่ก็เถอะ ฉันสู้อุตส่าห์ยอมแต่งงานเข้ามาตามคำผู้ใหญ่โดยไม่ปริปากบ่น แต่กลับเผชิญโชคชะตาเยี่ยงนี้ เทพเจ้าหรือไร...หรือมันเป็นอะไรกันเล่า...ที่ผลักฉันราวกับผลักคนตาบอดให้ร่วงลงสู่เหวฉะนี้ ฉันเคืองแค้นผู้นั้นอย่างจริงแท้ที่สุด ไพล่คิดไปว่าโลกนี้น่ารังเกียจ

เมื่อสามปีก่อน ฉันแต่งงานเข้ามา ตอนนั้นความสัมพันธ์ดำเนินไปด้วยดี สองคนต่างฝ่ายต่างไม่มีเรื่องบ่น ความคุ้นชินเป็นสิ่งเลวร้ายที่ดูเผิน ๆ คล้ายเป็นสิ่งดี แต่แล้วทั้งสองฝ่ายก็ออกลายเป็นความเอาแต่ใจตัวเป็นที่ปรากฏ

ไม่ทันไรฉันก็ยุ่มย่ามเรื่องของสามี ไต่ถามแม้แต่สิ่งที่เขากระทำตอนอยู่นอกบ้าน ครั้นบ่นแบบเคือง ๆ ว่าฉันรู้สึกตงิด ๆ ว่าคุณทำอะไรนอกบ้านปิดบังฉัน ไม่เล่าให้ฟัง มันเป็นการคิดปิดบังอำพรางบางสิ่งอยู่นะ เขาก็จะพูดว่าเรื่องปิดบังซ่อนเร้นอย่างนั้นน่ะไม่ได้ทำหรอก ก็เล่าให้ฟังทุกเรื่องแล้วไม่ใช่ดอกหรือ และเขาจะยิ้ม ๆ ไม่ใคร่ใส่ใจพูดกับฉัน เห็นได้ชัดว่าเขาปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ โธ่...หัวจิตหัวใจของฉันทนไม่ไหวแล้ว

พอสงสัยอย่างหนึ่ง ก็พานสงสัยไปถึงสิบถึงยี่สิบ เช้าเย็นฉันพร่ำคิดว่านั่นไงโกหกอีกแล้ว ครั้นเป็นเช่นนั้น ก็ออกจะหมกมุ่นวุ่นวายกับอาการที่ดูแปลก ๆ และไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถคิดอ่านเรื่องอะไรต่ออะไรได้แจ่มแจ้ง

ช่องว่างของหัวใจระหว่างสามีกับฉันมีแต่ค่อย ๆ ถ่างกว้างมากขึ้น ในช่องนั้นเมฆหมอกค่อย ๆ เคลือบคลุมหนาทึบยิ่งขึ้น ต่างคนต่างไม่เข้าใจความในใจของอีกฝ่าย บัดนี้พอย้อนคิดดูก็รู้สึกว่า ตอนนั้นฉันเป็นฝ่ายหาความ ท่าทีของฉันไม่ดีเอง เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน และความประพฤติแบบผิด ๆ ของฉันคือสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปในทางไม่ดี ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ฉันรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

ตอนที่ความสัมพันธ์ย่ำแย่หนัก ต่างฝ่ายต่างบาดหมางกันอย่างรุนแรง ยามสามีจะออกไปข้างนอก ถ้าฉันไม่ถามว่าจะไปไหน สามีก็จะไม่เอ่ยบอกว่าตัวเองจะไปไหน ระหว่างที่สามีไม่อยู่บ้าน ถึงแม้มีคนมาหาเพื่อส่งข่าวและไม่ว่าจะเป็นธุระเร่งด่วนขนาดไหน ฉันก็ไม่เคยเปิดผนึกข้อความออกดู แค่ประทับตรารับไว้ให้เสร็จ ๆ แล้วไล่ไป และโยนบันทึกข้อความไปกองอย่างไม่แยแส ทำตัวเสมือนหนึ่งตุ๊กตาไม้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่มีไว้เฝ้าบ้านเลยทีเดียว

สามีของฉันทนไม่ไหว ช่วงที่มีการทุ่มเถียงกันภายในบ้านก็แล้วไป แต่พอกลายสภาพเป็นการเขม้นมองกันโดยไม่พูดอะไรนี่สิ สิ่งที่เรียกว่าบ้านอันมีหลังคา เพดาน และกำแพง กลับให้ความรู้สึกราวกับนอนอยู่กลางแจ้ง รู้สึกแม้กระทั่งว่าทุกคราวที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้า เหมือนเปียกโชกด้วยน้ำค้างกลางดึก เย็นเยียบ น่าสมเพช และน่าแปลกที่น้ำตาอันล้นไหลของฉันไม่กลายเป็นน้ำแข็ง ด้วยเหตุที่ฉันแต่งงานกับคนที่ไม่ค่อยพูดอย่างสามีของฉัน นี่คงเป็นเรื่องผิดพลาดเป็นแน่แท้ ไอ้การที่จะปล่อยให้เรื่องผิดพลาดดำเนินไปอย่างนี้และใช้ชีวิตอย่างไร้ความหมายไปตลอด ฉันคิดว่ามันช่างน่าสมเพชจริง ๆ และไม่ได้พยายามเปลี่ยนความคิดของตัวเอง เอาแต่คิดเพ่งโทษคนอื่น

ขณะที่คิดเรื่องไร้แก่นสารอย่างนั้น สำหรับภรรยาที่ทำแต่เรื่องไร้แก่นสาร ไม่ว่าจะเป็นคนวิเศษวิโสขนาดไหน ย่อมไม่สามารถหันหน้าเข้าหากันได้ด้วยความรู้สึกเปี่ยมรัก

สามีทนไม่ได้ ลุกขึ้นยืนโดยพลัน แล้วออกจากบ้านไป ที่หมายที่เขาไปไม่ว่าเมื่อไรก็อาจจะแถว ๆ ที่มีโคมศาลเจ้าหรือไปที่ร้านเกอิชา ฉันรู้สึกเจ็บใจกับการกระทำเหล่านั้นและคั่งแค้นจัด ว่ากันตามจริงแล้ว การเอาอกเอาใจของฉันไม่ดี ทำให้สามีรู้สึกว่าภายในบ้านไม่สบอารมณ์และทนอยู่ไม่ได้ จึงออกไปเที่ยวข้างนอก ฉันทำอย่างนี้และทำให้สามีกลายเป็นคนเสเพล แล้วสามีผู้เสเพลก็กลายเป็นคนเหลวไหลอยู่ไม่ติดบ้านไปโดยสิ้นเชิง

เสียงพูดก็ห้วน กักขฬะ แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ว่ากราดสาวใช้กระเจิดกระเจิง เขาปรายหางตาเขม้นมองหน้าฉันและไม่เอ่ยถ้อยคำใดสักคำ ถ้าว่าถึงลักษณะฉุนเฉียวเช่นนี้ ใบหน้าของสามีฉันตอนนี้ไร้ความอ่อนโยนใด ๆ เป็นใบหน้าที่น่ากลัวและจองเวร เมื่อเขาโกรธจัด ฉันอยู่ข้างเขา แต่บรรดาคนรับใช้ต่างทนไม่ได้ และเปลี่ยนสาวรับใช้เดือนละสองคนเป็นว่าเล่น ในเมื่อคนใช้ออก ข้าวของในบ้านก็หายบ้าง พังบ้าง เกิดความเสียหายมากมาย ทำไมถึงได้มีแต่คนไร้มนุษยธรรมมารวมกันอยู่อย่างนี้นะ หรือสังคมโดยรวมไร้ซึ่งมนุษยธรรมกันหนอ หรือว่ามีอะไรจ้องจะทำให้ฉันเศร้าหมองอยู่คนเดียว คนรอบตัวฉันทุกคนถึงได้กลายเป็นคนไร้มนุษยธรรมกันไปหมด จะหันขวาหรือหันซ้าย ก็ไร้ใบหน้าอันเป็นที่พึ่งได้

ดีที่สามีฉันไม่ตัดสินใจเด็ดขาดพูดเรื่องหย่าร้างขึ้นมา และเก็บฉันไว้อย่างที่ฉันเป็น แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อาจเป็นไปได้ว่า สามีชิงชังฉันมากเสียจนคิดจะจับฉันใส่กรงให้ทุรนทุรายไปตลอดดีกว่าจะหย่าเสียง่าย ๆ เรื่องแบบนั้นฉันไม่รู้หรอก ทว่าตอนนี้ฉันไม่มีความพยาบาทอันใด ไม่มีเรื่องเคืองแค้นสามี เพราะการถูกทำให้ทุรนทุรายแบบนั้น ทำให้การตั้งตารอความสุขสมหวังเป็นเรื่องสนุก การที่ฉันได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างคงเพราะผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมากระมัง

ตอนนี้มีแต่สาวใช้ดี ๆ มารวมกันอยู่ พวกหล่อนพูดถึงสิ่งที่ยอดเยี่ยมและสื่อความรู้สึกขอบคุณ อย่างเช่น “ไม่มีใครดีต่อคนรับใช้อย่างกับนายหญิงของที่นี่เลย” ทั้งหมดนี้เพราะฉันเริ่มเข้าใจแจ่มชัดแล้วว่า ความไม่ร่วมมือของทุกคนนั้นคือภาพสะท้อนท่าทีของฉันเอง สังคมไม่มีคนชั่วช้าที่จะเที่ยวไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่นโดยไม่เลือก และเทพเจ้าก็ไม่ส่งความเดือดร้อนมาสู่คนที่ไม่ได้สร้างความชั่วแม้แต่เสี้ยวหนึ่งตั้งแต่หัวจรดเท้าหรอก แม้แต่คนอย่างฉันซึ่งเป็นคนที่มีความคิดผิด ๆ ไปเสียทุกเรื่องกับสิ่งรอบตัวและเป็นคนมีปัญหาผู้ไร้ซึ่งความผาสุกแม้สักเรื่อง ก็ยังได้รับเจ้าหนูน้อยผู้น่ารักและงดงามคนนี้เป็นที่แน่ชัด เพราะฉันไม่เคยเจตนาทำผิด

ทั้งความคิดของสามีและความคิดของฉันที่เหมือนกันได้นั้น หลัก ๆ แล้วเป็นเพราะเด็กคนนี้นี่แหละสอนให้ ฉันเคยกอดแกแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ใช่ลูกพ่อ แต่เป็นลูกแม่เพียงคนเดียว ไม่ว่าจะไปไหน แม่จะไม่มีวันปล่อยเจ้าทิ้งไว้โดยเด็ดขาด เจ้าเป็นลูกของแม่นะ” พูดแล้ว ฉันก็หอมแก้ม แกไม่ตอบคำใด และเผยใบหน้ายิ้มแย้มที่ทำให้ฉันปลาบปลื้มแทบละลาย ใบหน้ายิ้มหัวแลดูน่ารัก ไม่ใช่ลูกของสามีผู้ไร้หัวจิตหัวใจอย่างแน่นอน เมื่อปักใจว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของฉันคนเดียว สามีก็กลับมาจากข้างนอก สามีผู้ครองสีหน้าไม่สบอารมณ์คนนั้นไปนั่งข้าง ๆ หมอนของเด็กคนนี้ แล้วยกมือขึ้นทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ เป็นกังหันลมให้ดูบ้าง ส่ายมือฟึ่บ ๆ ให้ดูบ้าง พลางพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นเพียงคนเดียวในบ้านนี้ที่ช่วยปลอบโยนพ่อ”

ฉันมองดูเขาถูแก้มที่มีหนวดขึ้นดกกับลูก ลูกจะร้องไห้ไหม กลัวไหม แต่แล้วลูกกลับทำหน้าท่าทางดีใจยิ่ง และยิ้มออกมา ใบหน้ายิ้มแย้มที่ปรากฏให้ฉันเห็นนั้น คือใบหน้าที่เคยฉายให้ฉันเห็นมาก่อนแล้วมิใช่ดอกหรือ

วันหนึ่ง ขณะที่สามีฉันกำลังดัดหนวด เขาถามว่า ฉันคิดว่าลูกน่ารักเหมือนกันหรือไม่ พอฉันตอบเรียบ ๆ ว่า แน่นอนอยู่แล้ว เขาพูดแกมหยอกเย้าซึ่งต่างจากยามปกติว่า ถ้าอย่างนั้น เธอเองก็น่ารักเหมือนกัน แล้วหัวเราะดังด้วยเสียงสูง ๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าใบหน้านั้นช่างเหมือนกับลักษณะใบหน้าของลูกคนนี้ยิ่งนัก ครั้นฉันได้เห็นดังนั้น จึงคิดว่าในเมื่อฉันคิดว่าลูกคนนี้น่ารัก เหตุไฉนจึงเกลียดชังสามีฉันเล่า ถ้าฉันทำดีต่อเขา เขาย่อมทำดีต่อฉัน

ถึงแม้มีคำกล่าวอยู่ว่า “ให้เด็กสามขวบสอนข้ามน้ำตื้น” แต่ผู้ที่สอนชีวิตฉันทั้งชีวิตคือทารกที่ยังพูดอะไรไม่ได้เลยสักคำ

**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.mgronline.com



กำลังโหลดความคิดเห็น