บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน...?"
แม้จะคิดว่าควรกลับห้องก่อนที่แม่เลี้ยงของเธอจะกลับจากเดินเล่น แต่มินะโกะก็ไม่อาจละจากเสียงดนตรีอันรื่นรมย์แก่ใจของเธอไปได้ สามสิบนาทีก็แล้ว สี่สิบนาทีก็แล้ว สาวน้อยนั่งอยู่ตรงนั้นจนเกือบหนึ่งชั่วโมง
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาปลุกมินะโกะให้ตื่นจากภวังค์อันสุนทรีย์
4
เบื้องแรกมินะโกะไม่ได้ใส่ใจกับเสียงฝีเท้าเท่าไรนัก คิดว่าสองสามีภรรยาชาวตะวันตกที่เดินสวนกันเมื่อครู่ก่อนอาจเดินผ่านมาทางนี้ แต่พอเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาทุกทีจนได้ยินเสียงพูดสองสามคำจึงจับได้ว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นไม่ใช่ภาษาต่างชาติ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นเสียงที่แสนจะคุ้นหูอีกด้วย สาวน้อยอุทานอยู่ในใจพลางหันไปเพ่งมองฝ่าความมืดไปทางต้นเสียง
เงาที่เธอเห็นเคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ของคน ๆ คนเดียว เขามากันสองคนและต่างสวมชุดกิโมโนลำลองพื้นขาวจึงมองเห็นค่อนข้างถนัด ตาของมินะโกะจับจ้องไปยังคนทั้งสองที่เดินใกล้เข้ามาทุกทีจนแทบไม่กระพริบ สิบวินาที ยี่สิบวินาที พอเห็นใบหน้าชัดเจนว่าเป็นใคร สาวน้อยก็เย็นวาบไปทั้งตัวราวถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบ
เพราะหญิงชายที่เดินแอบอิงแนบชิดเฉกเช่นคู่รักคู่สวาทที่ปรากฏชัดอยู่ในสายตาของสาวน้อย คือชายหนุ่มกับรุริโกะแม่เลี้ยงโฉมงามของมินะโกะนั่นเอง ถึงจะมืดแต่สาวน้อยก็จินตนาการได้ว่ามือซ้ายของแม่เลี้ยงกับมือขวาของชายหนุ่มจะต้องจับกันเอาไว้มั่นเฉกเช่นคู่รักคู่สวาทพึงกระทำ
มินะโกะเบิกตาโพลง ตัวสั่นเทาและใจเต้นระทึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว อยากให้แผ่นดินตรงหน้าแยกออกแล้วเขมือบเธอให้ตกจมลงไปให้รู้แล้วรู้รอดในอึดใจนั้น อยากกรีดเสียงร้อง อยากวิ่งหนีเตลิดไปให้ไกลสุดไกล แต่ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเมื่อรู้แน่แก่ใจว่าหากขยับตัวแม้เพียงน้อยนิด แม่เลี้ยงโฉมงามของเธอจะต้องรู้ตัว
มินะโกะนั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้สนาม บีบเนื้อบีบตัวหมายจะให้รอดสายตา กลั้นหายใจหมายไม่ให้เกิดเสียงผิดปกติ คอยให้หญิงชายทั้งคู่เดินผ่านไป ทว่า...ไม่รู้ว่าภูตผีตนใดชั่งจงใจกลั่นแกล้งมินะโกะเสียจริง เพราะคนทั้งสองดูเหมือนจะตรงดิ่งมายังที่ที่สาวน้อยนั่งตัวแข็งอยู่ อกใจยิ่งเต้นระรัวราวกับกลองที่ถูกขึงตึงและตีกระหน่ำจนแทบจะฉีกขาด เพียงแค่คิดว่าถ้าแม่เลี้ยงกับชายหนุ่มเห็นเข้าจะทำอย่างไร
คนทั้งสองเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คงไม่คาดฝันแม้แต่น้อยว่ามินะโกะจะมีนั่งบีบเนื้อบีบตัวอยู่คนเดียวในความมืดเช่นนี้ สาวน้อยถูกต้อนเข้าตาจนเข้าไปทุกที ใจหนึ่งก็อยากส่งเสียงทักออกไปก่อนที่แม่เลี้ยงกับคู่ของนางจะเห็นเธอก่อน แต่เสียงเจ้ากรรมกลับติดชะงักอยู่แค่ลำคอที่ตีบตัน และ ณ จุดสุดยอดแห่งวินาทีวิกฤตินั้นเอง คนทั้งสองที่ดูเหมือนกำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาหาเธอนั้นกลับจูงมือกันเลี้ยวไปทางขวาอย่างเฉียดฉิว แต่โชคไม่ได้เข้าข้างมินะโกะมากนัก เพราะพอเดินอ้อมหมู่ไม้ร่มครึ้มไปทางด้านโน้น ทั้งสองก็ชวนกันนั่งลงบนเก้าอี้สนามหันหลังชนกันกับ มินะโกะโดยมีต้นยืนต้นบังอยู่พอไม่ให้เห็นกัน
สาวน้อยโล่งใจที่รอดจากมุมอับออกมาได้อย่างเฉียดฉิว แต่ก็กลับว้าวุ่นใจขึ้นมาอีกเมื่อคิดว่าจะต้องได้ยินการสนทนาของแม่เลี้ยงกับชายหนุ่มที่เธอไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรู้อะไรทั้งสิ้น เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ต้องได้ยิน สิ่งที่ต้องรับรู้นั้นจะเขย่าขวัญตนเองเพียงไร การที่ทั้งสองเดินคลอเคลียกันเฉกเช่นคู่รักคู่พิศวาสนั้นขนาด หัวข้อสนทนาต้องไม่ใช่เรื่องสัพเพเหระแน่นอน มินะโกะไม่อย่างล่วงรู้ความลับของแม่เลี้ยง ไม่อยากรู้ความลับของผู้หญิงที่ตนเชื่อถือไว้วางใจและรักราวกับแม่แท้ ๆ คนนี้ มินะโกะประมาณไม่ถูกเลยว่าเธอปรารถนาเพียงไรที่จะให้ตาทั้งสองมืดบอดลงทันใด หูทั้งสองหนวกดับสนิทลงในทันใดนั้น และถ้าทำได้ก็อยากจะลุกขึ้นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปให้สุดไกล แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายกมือทั้งสองขึ้นปิดหูทั้งคู่ไว้ให้แน่น
ถึงไม่อยากได้ยินแต่จะห้ามเสียงที่ดังแว่วมาผ่านเข้าหูคงไม่ได้ อีกทั้งค่ำคืนอันเงียบสงัดเช่นนี้ยังไม่มีเสียงใด ๆ ที่จะมารบกวนเป็นอุปสรรคการได้ยินแม้แต่น้อย
5
ค่ำคืนอันเงียบสงบ เสียงสนทนาของแม่เลี้ยงกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรจนแทบจะยื่นมือถึงกันนั้น ดังชัดเจนเสียดแทงแก้วหูของมินะโกะอย่างยิ่ง
“คุณมิโนะรุ มีเรื่องอะไรสำคัญนักรึ จึงต้องพาดิฉันมาคุยในที่มืด ๆ อย่างนี้”
ถ้อยคำและสำเนียงของแม่เลี้ยงยามพูดกับชายหนุ่มนั้นต่างไปจากธรรมดานัก เหมือนการพูดของหญิงชั้นต่ำ เหมือนยามนางโลมเล้าโลมแขก เจ้าหล่อนขานนามของชายหนุ่มที่มินะโกะไม่เคยได้ยินสักครั้งเดียวด้วยความสนิทสนม ความว้าเหว่และความรันทดสะเทือนใจที่ถูกแม่เลี้ยงซึ่งเธอเคยไว้วางใจหักหลังอย่างปี้ป่น ทำให้มินะโกะรู้สึกเหมือนถูกมีดปลายแหลมจ้วงแทงเข้าที่หน้าอกจนหัวใจของสาวน้อยแหลกสลายเป็นเสี่ยง ๆ
ชายหนุ่มไม่ตอบได้แต่นิ่งเงียบไปสองสามนาที จนแม่เลี้ยงสาวต้องฉะอ้อนถาม
“ตอบเร็ว ๆ ได้ไหม นิ่งคิดอะไรรึคะ เราต้องรีบกลับแล้วนะเดี๋ยวมินะโกะเหงาแน่ บอกให้เดินพลางพูดไปพลางก็ไม่เอา มีเรื่องอะไรไหนบอกมาซิคะ ทำเล่นตัวแบบนี้ดิฉันหงุดหงิดมากเลยนะจะบอกให้”
มินะโกะตัวเย็นวาบเมื่อถูกออกชื่อ พร้อมกันนั้นถ้อยคำและสำเนียงออดอ้อนราวนางโลมยิ่งทำให้หัวใจของเธอมืดดำลงไปอีก
“นะคะ บอกดิฉันเร็ว ๆ อย่ามัวร่ำไรอยู่เลย เรื่องอะไรกันน้า”
เจ้าหล่อนทำเสียงเหมือนปลอบเด็กดื้อเมื่อคาดคั้นเป็นครั้งที่สาม
“พูดก็ได้ แต่คราวนี้ห้ามเฉไฉกลบเกลื่อนออกนอกเรื่องอีกนะครับ เพราะผมพูดจากใจจริง”
สำเนียงของชายหนุ่มหนักแน่นตรงกับคำพูด มินะโกะรู้สึกได้ถึงความเอาจริงเอาจังที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“ต๊าย พูดอะไรอย่างนั้น ดิฉันเคยเฉไฉกับคุณเมื่อไรกัน แหม...ไม่อยากเชียว คุณมิโนะรุเจ้าขา ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรดิฉันตั้งใจฟังอย่างเอาจริงเอาจังเสมอไม่ใช่รึเจ้าคะ”
นั่นคือจริตของนางโลมพราวเสน่ห์ที่มินะโกะฟังแล้วได้แต่ขนลุก
“ก็คุณนายทำอย่างนั้นทุกทีเลย ทำกับผมแบบนั้นทุกครั้ง ไม่ว่าผมจะพูดอะไรคุณนายเป็นต้องพาเฉไฉออกนอกเรื่องเสมอ เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ”
ชายหนุ่มระบายความขุ่นข้องใจ
“แหม ไม่เห็นจะต้องเคืองกันเลย เอาละดิฉันจะตามใจคุณทุกอย่าง จะทำตามที่คุณต้องการ พูดออกมาเลย”
คุณนายโฉมงามพูดจาหว่านล้อมราวกับชายหนุ่มเป็นเด็กเล็ก ๆ ท่าทีการคะยั้นคะยอของเจ้าหล่อนนั้นขนาด มินะโกะที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยก็ยังหน้าชาด้วยความอาย
ชายหนุ่มเงียบไปอีก
“พูดออกมาเร็ว ๆ ได้ไหม ดิฉันรออยู่น้า”
มินะโกะอดวาดภาพแม่เลี้ยงแนบปากเข้าไปจนชิดแก้มชายหนุ่มไม่ได้
“คุณรุริโกะ คุณน่าจะเข้าใจบ้างแล้วไม่ใช่รึว่าผมอยากจะบอกอะไร”
ชายหนุ่มเอ่ยถ้อยคำจากใจจริงออกมาได้ในที่สุด ทว่าถ้อยคำที่เขาพูดออกมานั้นแม้มินะโกะจะคาดไว้ล่วงหน้าบ้างแล้วแต่ก็ยังทำให้ความรู้สึกผิดหวังเอ่อล้นขึ้นมาเต็มอก สาวน้อยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจว่า แม่เลี้ยงโฉมงามของเธอจะตอบคำชายหนุ่มว่าอย่างไร
6
รุริโกะถามด้วยเสียงเรียบ ๆ เหมือนแกล้งยั่วชายหนุ่มเล่น
“เข้าใจหรือคะ เข้าใจอะไรกัน”
ขนาดมินะโกะฟังอยู่ไกล ๆ ยังรู้สึกได้ถึงความเสแสร้งแกล้งทำของรุริโกะ แล้วอย่างนี้ชายหนุ่มจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาได้อย่างไร อารมณ์ร้อนแรงสะท้อนออกมาเต็มเปี่ยมในถ้อยคำและน้ำเสียงของเขา
“ไม่เข้าใจหรือครับ หมายความว่าคุณไม่เข้าใจความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณอย่างนั้นซินะ ไม่รู้ว่าผมมีใจให้คุณ ไม่รู้ว่าผมรักและหลงใหลคุณเพียงใดอย่างนั้นซินะ”
ชายหนุ่มพูดเกือบเป็นเสียงตะโกนในตอนท้าย ถ้อยคำที่ดูเหมือนจากใจจริงของเขาทำเอาสาวน้อยที่ลอบฟังอยู่พลอยสะเทือนใจไปด้วย เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มผู้ที่เธอแอบมีใจด้วยนั้นมอบหัวใจรักของเขาให้แม่เลี้ยงเช่นนี้ มินะโกะอดใจสั่นและตัวสั่นไม่ได้ขณะรอคำตอบจากปากแม่เลี้ยง ราวกับนักโทษประหารขณะคอยฟังคำพิพากษาขั้นสุดท้าย คำตอบที่แม่เลี้ยงโฉมงามจะให้แก่ชายหนุ่มนั้นมีความสำคัญต่อมินะโกะมาก สาวน้อยระงับจิตระงับใจที่แหลกสลาย เงี่ยหูฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ทว่า รุริโกะไม่ตอบง่าย ๆ และระหว่างที่ไม่ได้รับคำตอบชายหนุ่มก็ยิ่งร้อนรน
“ไม่เข้าใจหรือครับ ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณไม่เข้าใจความรู้สึกของผม ไม่รู้ว่าผมคิดกับคุณยังไง ไม่รู้ใจผมที่พร้อมมอบกายถวายชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณ คุณจะบอกว่าไม่รู้ ไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือครับ”
ชายหนุ่มคาดคั้นเอาจริง ๆ เสียงที่สั่นไหวและสะดุดในบางช่วงสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของผู้พูดได้เป็นอย่างดี หัวใจดวงน้อยของมินะโกะพลอยถูกกดดันไปด้วย
ทว่ารุริโกะยังพูดด้วยเสียงเรียบสม่ำเสมอตามเดิม
“ดิฉันเข้าใจค่ะ”
ชายหนุ่มย่อมไม่พอใจกับคำตอบนี้แน่นอน
“เข้าใจค่ะ...ใช่คุณตอบแบบนี้เสมอ ครั้งหนึ่งผมเคยถามคุณอย่างนี้นี้ คุณก็ตอบว่าเข้าใจ แต่ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่ามันต่างกันอย่างไรระหว่างคำตอบที่ว่าเข้าใจกับไม่เข้าใจของคุณ ผมเห็นคุณตอบพวกผู้ชายหลาย ๆ คนที่มารายล้อมอยู่รอบ ๆ ทุกคนว่า “เข้าใจ” “เข้าใจ” เขาทั้งนั้น แต่ถ้าคุณจะตอบผมว่า “เข้าใจ” อย่างที่ตอบคนอื่นแบบนี้ ก็ไม่ต้องตอบดีกว่า ถ้าคุณเข้าใจความรู้สึกของผม ขอได้โปรดแสดงให้ผมเห็นเถิดว่าคุณเข้าใจจริง ๆ”
มินะโกะที่หลับตานิ่งฟังอยู่ห่าง ๆ รู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นร้อนแรงที่แฝงอยู่ในทุกถ้อยคำของผู้พูด
ไม่รู้ว่าแม่เลี้ยงของเธอซึ่งนั่งฟังอยู่ต่อหน้าต่อตาผู้พูดทำไมถึงสงบนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะสะทกสะท้าน ทั้ง ๆ ที่มินะโกะซึ่งแอบฟังอยู่ห่าง ๆ แท้ ๆ ยังใจแทบสลายไปกับคำตัดพ้อของชายหนุ่ม ยิ่งชายหนุ่มตื่นเต้นเพียงไรรุริโกะก็ยิ่งสงบนิ่งราวกับเห็นความตื่นเต้นร้อนรนของเขาเป็นเรื่องสนุก
“แสดงให้เห็นว่าเข้าใจหรือคะ เอ...ดิฉันต้องทำยังไงล่ะทีนี้”
รุริโกะพูดอย่างสนิทสนมและใส่จริต ชายหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีก
“ต้องทำยังไง...นั่นคุณถามผมหรือครับ” ชายหนุ่มถามด้วยเสียงขื่น ๆ “คุณเห็นผมเป็นของเล่นมาตั้งแต่ต้นหรือครับ คุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของผมมาตั้งแต่ต้นเลยหรือครับ คุณคิดอย่างไรกับอะไร ๆ ที่ผมพูดกับคุณ พูดให้คุณฟัง มันไม่สำคัญอะไรเลยอย่างนั้นหรือครับ”
อารมณ์ของชายหนุ่มร้อนแรงเหลือเกิน...ไฟรักกำลังโหมแรงอย่างน่ากลัวยิ่ง
7
อารมณ์ของชายหนุ่มทวีความร้อนแรงขึ้นตามลำดับจนมินะโกะทนซุ่มตัวฟังความอยู่ไม่ได้อีกต่อไป ความร้อนรุ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาจนผะผ่าวไปทั่วเรือนใจ เธอสิ้นหวังอย่างยิ่งเมื่อได้ประจักษ์ใจจริงของชายหนุ่ม แต่ในเวลาเดียวกันก็เห็นใจในความรักอันร้อนแรงที่เขามีต่อแม่เลี้ยงเธอ ระคนกับความเศร้าเสียใจเมื่อประจักษ์ความจริงว่าแม่เลี้ยงที่เธอเชื่อถือไว้วางใจมาตลอดนั้นไม่มีความจริงใจและเป็นคนไม่มีหัวใจ แค่ความรู้สึกหนึ่งเดียวในจำนวนนี้ก็พียงพอที่จะทำให้จิตใจของสาวน้อยจมดิ่งลึกลงไปในห้วงแห่งความมืดมนเสียแล้ว
การลอบฟังความลับของคนอื่นอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นการกระทำที่สร้างความทุกข์ใจให้แก่มินะโกะเป็นที่สุด มันทำให้สาวน้อยไม่อาจนั่งต่อไปได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว เธอขยับตัวลุกขึ้นหลายครั้งราวกับบนเก้าอี้มีเข็มคอยทิ่มแทง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะการที่อยู่ใกล้กันไม่กี่เมตรขนาดนั้นแค่เหยียบลงไปบนพื้นหญ้าอีกฝ่ายก็อาจได้ยิน แต่ถึงจะออกไปพ้นร่มเงาหมู่ไม้ได้สำเร็จก็ไม่ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาของคนทั้งสองไปได้
พอคิดว่าแม่เลี้ยงและชายหนุ่มจะตกใจและกระอักกระอ่วนเพียงไรเมื่อเห็นเธอ มินะโกะก็ต้องชะงักเท้าที่จะทรงตัวลุกขึ้นยืนเอาไว้ตามเดิม
รุริโกะไม่มีโอกาสรับรู้ความทุกข์ทรมานใจของมินะโกะเลยแม้แต่น้อย เธอพูดเสียงเรียบ ๆ ต่อไปว่า
“ก็ดิฉันบอกแล้วยังไงว่าเข้าใจ ดิฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือคะว่าดิฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณดีทีเดียว”
ชายหนุ่มรุกหนักยิ่งขึ้น
“จริงหรือครับ จริงหรือ คุณพูดจากใจจริงแน่นะ คงไม่ใช่พูดแต่ปากเท่านั้นหรอกนะครับ”
รุริโกะเงียบไปเมื่อโดนรุกขนาดนั้น ชายหนุ่มร้อนรนขึ้นมาอีก
“ถ้าพูดจากใจจริงละก็ แสดงอะไรที่เป็นหลักฐานให้ผมดูหน่อย แบบที่พูดแต่ปากนั้นผมได้ยินมาจนเบื่อแล้ว คุณพูดอย่างนั้นแต่ปากไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หนแล้ว ผมไม่ต้องการแค่คำพูดแต่ต้องการให้คุณแสดงหลักฐานว่าที่พูดนั้นเป็นการพูดออกมาจากใจจริง ถ้าคุณจริงใจกับผมก็อยากขอให้แสดงหลักฐานให้ผมดูด้วยเถิด”
รุริโกะไม่หวั่นไหวไม่ว่าชายหนุ่มจะเร่าร้อนหรือกระวนกระวายเพียงไร
“หลักฐานอะไรกัน ถ้าคุณไม่เชื่อคำพูดของดิฉันก็เป็นอันว่าจบ ดิฉันไม่ใช่เกอิชาหรืออะไรสักหน่อย จึงต้องมาเขียนหนังสือสัญญิงสัญญา
มินะโกะอายเมื่อได้ยินรุริโกะพูดด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำที่ห่างไกลจากความเป็นสุภาพสตรีชั้นสูงอย่างนั้น
“ผมบอกว่าหลักฐาน แต่ไม่ได้หมายความในรูปของวัตถุ ผมอยากได้คำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามของผมเมื่อวันก่อน ผมทนฟังคำตอบว่า “รอไปก่อน” อย่างเดียวไม่ไหวแล้วครับ”
“คำถามเมื่อวันก่อน อะไรหรือคะ”
รุริโกะถามด้วยเสียงใส่จริตรัญจวนใจเหมือนแกล้งแหย่อีกฝ่าย
“คุณ? คุณลืมไปแล้วหรือ”
รู้สึกว่าชายหนุ่มคงจะสับสนไม่น้อย
“เรื่องสำคัญขนาดนั้น ผมอุตส่าห์ขอร้องจะเป็นจะตาย แต่คุณกลับบอกว่าลืมแล้วอย่างนั้นรึ ผมพูดอีกครั้งหนึ่งก็ได้ คุณรุริโกะแต่งงานกับผมนะครับ”
พอได้ยินคำว่าแต่งงานอย่างไม่ได้คาดคิดมาก่อน มินะโกะรู้สึกสะเทือนใจอย่างรุนแรง ไม่นึกฝันเลยว่าชายหนุ่มจะจริงจังกับแม่เลี้ยงของเธอจนกระทั่งตัดสินใจขอแต่งงานแล้วอย่างนี้
“เรื่องนั้น ดิฉันตอบคุณชัดเจนแล้วไม่ใช่รึ”
รุริโกะรับฟังคำที่ชายหนุ่มให้ความสำคัญอย่างเอกอุนั้นด้วยท่าทีเรื่อย ๆ ตามเคย
“ผมไม่พอใจกับคำตอบนั้นเสียแล้ว”
คำตอบที่ชัดเจนแล้วของแม่เลี้ยงมีใจความว่าอย่างไร...มินะโกะคิดไปทางร้าย ขณะเงี่ยหูนิ่งฟังความต่อไป
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน...?"
แม้จะคิดว่าควรกลับห้องก่อนที่แม่เลี้ยงของเธอจะกลับจากเดินเล่น แต่มินะโกะก็ไม่อาจละจากเสียงดนตรีอันรื่นรมย์แก่ใจของเธอไปได้ สามสิบนาทีก็แล้ว สี่สิบนาทีก็แล้ว สาวน้อยนั่งอยู่ตรงนั้นจนเกือบหนึ่งชั่วโมง
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาปลุกมินะโกะให้ตื่นจากภวังค์อันสุนทรีย์
4
เบื้องแรกมินะโกะไม่ได้ใส่ใจกับเสียงฝีเท้าเท่าไรนัก คิดว่าสองสามีภรรยาชาวตะวันตกที่เดินสวนกันเมื่อครู่ก่อนอาจเดินผ่านมาทางนี้ แต่พอเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาทุกทีจนได้ยินเสียงพูดสองสามคำจึงจับได้ว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นไม่ใช่ภาษาต่างชาติ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นเสียงที่แสนจะคุ้นหูอีกด้วย สาวน้อยอุทานอยู่ในใจพลางหันไปเพ่งมองฝ่าความมืดไปทางต้นเสียง
เงาที่เธอเห็นเคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ของคน ๆ คนเดียว เขามากันสองคนและต่างสวมชุดกิโมโนลำลองพื้นขาวจึงมองเห็นค่อนข้างถนัด ตาของมินะโกะจับจ้องไปยังคนทั้งสองที่เดินใกล้เข้ามาทุกทีจนแทบไม่กระพริบ สิบวินาที ยี่สิบวินาที พอเห็นใบหน้าชัดเจนว่าเป็นใคร สาวน้อยก็เย็นวาบไปทั้งตัวราวถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบ
เพราะหญิงชายที่เดินแอบอิงแนบชิดเฉกเช่นคู่รักคู่สวาทที่ปรากฏชัดอยู่ในสายตาของสาวน้อย คือชายหนุ่มกับรุริโกะแม่เลี้ยงโฉมงามของมินะโกะนั่นเอง ถึงจะมืดแต่สาวน้อยก็จินตนาการได้ว่ามือซ้ายของแม่เลี้ยงกับมือขวาของชายหนุ่มจะต้องจับกันเอาไว้มั่นเฉกเช่นคู่รักคู่สวาทพึงกระทำ
มินะโกะเบิกตาโพลง ตัวสั่นเทาและใจเต้นระทึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว อยากให้แผ่นดินตรงหน้าแยกออกแล้วเขมือบเธอให้ตกจมลงไปให้รู้แล้วรู้รอดในอึดใจนั้น อยากกรีดเสียงร้อง อยากวิ่งหนีเตลิดไปให้ไกลสุดไกล แต่ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเมื่อรู้แน่แก่ใจว่าหากขยับตัวแม้เพียงน้อยนิด แม่เลี้ยงโฉมงามของเธอจะต้องรู้ตัว
มินะโกะนั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้สนาม บีบเนื้อบีบตัวหมายจะให้รอดสายตา กลั้นหายใจหมายไม่ให้เกิดเสียงผิดปกติ คอยให้หญิงชายทั้งคู่เดินผ่านไป ทว่า...ไม่รู้ว่าภูตผีตนใดชั่งจงใจกลั่นแกล้งมินะโกะเสียจริง เพราะคนทั้งสองดูเหมือนจะตรงดิ่งมายังที่ที่สาวน้อยนั่งตัวแข็งอยู่ อกใจยิ่งเต้นระรัวราวกับกลองที่ถูกขึงตึงและตีกระหน่ำจนแทบจะฉีกขาด เพียงแค่คิดว่าถ้าแม่เลี้ยงกับชายหนุ่มเห็นเข้าจะทำอย่างไร
คนทั้งสองเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คงไม่คาดฝันแม้แต่น้อยว่ามินะโกะจะมีนั่งบีบเนื้อบีบตัวอยู่คนเดียวในความมืดเช่นนี้ สาวน้อยถูกต้อนเข้าตาจนเข้าไปทุกที ใจหนึ่งก็อยากส่งเสียงทักออกไปก่อนที่แม่เลี้ยงกับคู่ของนางจะเห็นเธอก่อน แต่เสียงเจ้ากรรมกลับติดชะงักอยู่แค่ลำคอที่ตีบตัน และ ณ จุดสุดยอดแห่งวินาทีวิกฤตินั้นเอง คนทั้งสองที่ดูเหมือนกำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาหาเธอนั้นกลับจูงมือกันเลี้ยวไปทางขวาอย่างเฉียดฉิว แต่โชคไม่ได้เข้าข้างมินะโกะมากนัก เพราะพอเดินอ้อมหมู่ไม้ร่มครึ้มไปทางด้านโน้น ทั้งสองก็ชวนกันนั่งลงบนเก้าอี้สนามหันหลังชนกันกับ มินะโกะโดยมีต้นยืนต้นบังอยู่พอไม่ให้เห็นกัน
สาวน้อยโล่งใจที่รอดจากมุมอับออกมาได้อย่างเฉียดฉิว แต่ก็กลับว้าวุ่นใจขึ้นมาอีกเมื่อคิดว่าจะต้องได้ยินการสนทนาของแม่เลี้ยงกับชายหนุ่มที่เธอไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรู้อะไรทั้งสิ้น เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ต้องได้ยิน สิ่งที่ต้องรับรู้นั้นจะเขย่าขวัญตนเองเพียงไร การที่ทั้งสองเดินคลอเคลียกันเฉกเช่นคู่รักคู่พิศวาสนั้นขนาด หัวข้อสนทนาต้องไม่ใช่เรื่องสัพเพเหระแน่นอน มินะโกะไม่อย่างล่วงรู้ความลับของแม่เลี้ยง ไม่อยากรู้ความลับของผู้หญิงที่ตนเชื่อถือไว้วางใจและรักราวกับแม่แท้ ๆ คนนี้ มินะโกะประมาณไม่ถูกเลยว่าเธอปรารถนาเพียงไรที่จะให้ตาทั้งสองมืดบอดลงทันใด หูทั้งสองหนวกดับสนิทลงในทันใดนั้น และถ้าทำได้ก็อยากจะลุกขึ้นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปให้สุดไกล แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายกมือทั้งสองขึ้นปิดหูทั้งคู่ไว้ให้แน่น
ถึงไม่อยากได้ยินแต่จะห้ามเสียงที่ดังแว่วมาผ่านเข้าหูคงไม่ได้ อีกทั้งค่ำคืนอันเงียบสงัดเช่นนี้ยังไม่มีเสียงใด ๆ ที่จะมารบกวนเป็นอุปสรรคการได้ยินแม้แต่น้อย
5
ค่ำคืนอันเงียบสงบ เสียงสนทนาของแม่เลี้ยงกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรจนแทบจะยื่นมือถึงกันนั้น ดังชัดเจนเสียดแทงแก้วหูของมินะโกะอย่างยิ่ง
“คุณมิโนะรุ มีเรื่องอะไรสำคัญนักรึ จึงต้องพาดิฉันมาคุยในที่มืด ๆ อย่างนี้”
ถ้อยคำและสำเนียงของแม่เลี้ยงยามพูดกับชายหนุ่มนั้นต่างไปจากธรรมดานัก เหมือนการพูดของหญิงชั้นต่ำ เหมือนยามนางโลมเล้าโลมแขก เจ้าหล่อนขานนามของชายหนุ่มที่มินะโกะไม่เคยได้ยินสักครั้งเดียวด้วยความสนิทสนม ความว้าเหว่และความรันทดสะเทือนใจที่ถูกแม่เลี้ยงซึ่งเธอเคยไว้วางใจหักหลังอย่างปี้ป่น ทำให้มินะโกะรู้สึกเหมือนถูกมีดปลายแหลมจ้วงแทงเข้าที่หน้าอกจนหัวใจของสาวน้อยแหลกสลายเป็นเสี่ยง ๆ
ชายหนุ่มไม่ตอบได้แต่นิ่งเงียบไปสองสามนาที จนแม่เลี้ยงสาวต้องฉะอ้อนถาม
“ตอบเร็ว ๆ ได้ไหม นิ่งคิดอะไรรึคะ เราต้องรีบกลับแล้วนะเดี๋ยวมินะโกะเหงาแน่ บอกให้เดินพลางพูดไปพลางก็ไม่เอา มีเรื่องอะไรไหนบอกมาซิคะ ทำเล่นตัวแบบนี้ดิฉันหงุดหงิดมากเลยนะจะบอกให้”
มินะโกะตัวเย็นวาบเมื่อถูกออกชื่อ พร้อมกันนั้นถ้อยคำและสำเนียงออดอ้อนราวนางโลมยิ่งทำให้หัวใจของเธอมืดดำลงไปอีก
“นะคะ บอกดิฉันเร็ว ๆ อย่ามัวร่ำไรอยู่เลย เรื่องอะไรกันน้า”
เจ้าหล่อนทำเสียงเหมือนปลอบเด็กดื้อเมื่อคาดคั้นเป็นครั้งที่สาม
“พูดก็ได้ แต่คราวนี้ห้ามเฉไฉกลบเกลื่อนออกนอกเรื่องอีกนะครับ เพราะผมพูดจากใจจริง”
สำเนียงของชายหนุ่มหนักแน่นตรงกับคำพูด มินะโกะรู้สึกได้ถึงความเอาจริงเอาจังที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“ต๊าย พูดอะไรอย่างนั้น ดิฉันเคยเฉไฉกับคุณเมื่อไรกัน แหม...ไม่อยากเชียว คุณมิโนะรุเจ้าขา ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรดิฉันตั้งใจฟังอย่างเอาจริงเอาจังเสมอไม่ใช่รึเจ้าคะ”
นั่นคือจริตของนางโลมพราวเสน่ห์ที่มินะโกะฟังแล้วได้แต่ขนลุก
“ก็คุณนายทำอย่างนั้นทุกทีเลย ทำกับผมแบบนั้นทุกครั้ง ไม่ว่าผมจะพูดอะไรคุณนายเป็นต้องพาเฉไฉออกนอกเรื่องเสมอ เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ”
ชายหนุ่มระบายความขุ่นข้องใจ
“แหม ไม่เห็นจะต้องเคืองกันเลย เอาละดิฉันจะตามใจคุณทุกอย่าง จะทำตามที่คุณต้องการ พูดออกมาเลย”
คุณนายโฉมงามพูดจาหว่านล้อมราวกับชายหนุ่มเป็นเด็กเล็ก ๆ ท่าทีการคะยั้นคะยอของเจ้าหล่อนนั้นขนาด มินะโกะที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยก็ยังหน้าชาด้วยความอาย
ชายหนุ่มเงียบไปอีก
“พูดออกมาเร็ว ๆ ได้ไหม ดิฉันรออยู่น้า”
มินะโกะอดวาดภาพแม่เลี้ยงแนบปากเข้าไปจนชิดแก้มชายหนุ่มไม่ได้
“คุณรุริโกะ คุณน่าจะเข้าใจบ้างแล้วไม่ใช่รึว่าผมอยากจะบอกอะไร”
ชายหนุ่มเอ่ยถ้อยคำจากใจจริงออกมาได้ในที่สุด ทว่าถ้อยคำที่เขาพูดออกมานั้นแม้มินะโกะจะคาดไว้ล่วงหน้าบ้างแล้วแต่ก็ยังทำให้ความรู้สึกผิดหวังเอ่อล้นขึ้นมาเต็มอก สาวน้อยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจว่า แม่เลี้ยงโฉมงามของเธอจะตอบคำชายหนุ่มว่าอย่างไร
6
รุริโกะถามด้วยเสียงเรียบ ๆ เหมือนแกล้งยั่วชายหนุ่มเล่น
“เข้าใจหรือคะ เข้าใจอะไรกัน”
ขนาดมินะโกะฟังอยู่ไกล ๆ ยังรู้สึกได้ถึงความเสแสร้งแกล้งทำของรุริโกะ แล้วอย่างนี้ชายหนุ่มจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาได้อย่างไร อารมณ์ร้อนแรงสะท้อนออกมาเต็มเปี่ยมในถ้อยคำและน้ำเสียงของเขา
“ไม่เข้าใจหรือครับ หมายความว่าคุณไม่เข้าใจความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณอย่างนั้นซินะ ไม่รู้ว่าผมมีใจให้คุณ ไม่รู้ว่าผมรักและหลงใหลคุณเพียงใดอย่างนั้นซินะ”
ชายหนุ่มพูดเกือบเป็นเสียงตะโกนในตอนท้าย ถ้อยคำที่ดูเหมือนจากใจจริงของเขาทำเอาสาวน้อยที่ลอบฟังอยู่พลอยสะเทือนใจไปด้วย เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มผู้ที่เธอแอบมีใจด้วยนั้นมอบหัวใจรักของเขาให้แม่เลี้ยงเช่นนี้ มินะโกะอดใจสั่นและตัวสั่นไม่ได้ขณะรอคำตอบจากปากแม่เลี้ยง ราวกับนักโทษประหารขณะคอยฟังคำพิพากษาขั้นสุดท้าย คำตอบที่แม่เลี้ยงโฉมงามจะให้แก่ชายหนุ่มนั้นมีความสำคัญต่อมินะโกะมาก สาวน้อยระงับจิตระงับใจที่แหลกสลาย เงี่ยหูฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ทว่า รุริโกะไม่ตอบง่าย ๆ และระหว่างที่ไม่ได้รับคำตอบชายหนุ่มก็ยิ่งร้อนรน
“ไม่เข้าใจหรือครับ ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณไม่เข้าใจความรู้สึกของผม ไม่รู้ว่าผมคิดกับคุณยังไง ไม่รู้ใจผมที่พร้อมมอบกายถวายชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณ คุณจะบอกว่าไม่รู้ ไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือครับ”
ชายหนุ่มคาดคั้นเอาจริง ๆ เสียงที่สั่นไหวและสะดุดในบางช่วงสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของผู้พูดได้เป็นอย่างดี หัวใจดวงน้อยของมินะโกะพลอยถูกกดดันไปด้วย
ทว่ารุริโกะยังพูดด้วยเสียงเรียบสม่ำเสมอตามเดิม
“ดิฉันเข้าใจค่ะ”
ชายหนุ่มย่อมไม่พอใจกับคำตอบนี้แน่นอน
“เข้าใจค่ะ...ใช่คุณตอบแบบนี้เสมอ ครั้งหนึ่งผมเคยถามคุณอย่างนี้นี้ คุณก็ตอบว่าเข้าใจ แต่ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่ามันต่างกันอย่างไรระหว่างคำตอบที่ว่าเข้าใจกับไม่เข้าใจของคุณ ผมเห็นคุณตอบพวกผู้ชายหลาย ๆ คนที่มารายล้อมอยู่รอบ ๆ ทุกคนว่า “เข้าใจ” “เข้าใจ” เขาทั้งนั้น แต่ถ้าคุณจะตอบผมว่า “เข้าใจ” อย่างที่ตอบคนอื่นแบบนี้ ก็ไม่ต้องตอบดีกว่า ถ้าคุณเข้าใจความรู้สึกของผม ขอได้โปรดแสดงให้ผมเห็นเถิดว่าคุณเข้าใจจริง ๆ”
มินะโกะที่หลับตานิ่งฟังอยู่ห่าง ๆ รู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นร้อนแรงที่แฝงอยู่ในทุกถ้อยคำของผู้พูด
ไม่รู้ว่าแม่เลี้ยงของเธอซึ่งนั่งฟังอยู่ต่อหน้าต่อตาผู้พูดทำไมถึงสงบนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะสะทกสะท้าน ทั้ง ๆ ที่มินะโกะซึ่งแอบฟังอยู่ห่าง ๆ แท้ ๆ ยังใจแทบสลายไปกับคำตัดพ้อของชายหนุ่ม ยิ่งชายหนุ่มตื่นเต้นเพียงไรรุริโกะก็ยิ่งสงบนิ่งราวกับเห็นความตื่นเต้นร้อนรนของเขาเป็นเรื่องสนุก
“แสดงให้เห็นว่าเข้าใจหรือคะ เอ...ดิฉันต้องทำยังไงล่ะทีนี้”
รุริโกะพูดอย่างสนิทสนมและใส่จริต ชายหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีก
“ต้องทำยังไง...นั่นคุณถามผมหรือครับ” ชายหนุ่มถามด้วยเสียงขื่น ๆ “คุณเห็นผมเป็นของเล่นมาตั้งแต่ต้นหรือครับ คุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของผมมาตั้งแต่ต้นเลยหรือครับ คุณคิดอย่างไรกับอะไร ๆ ที่ผมพูดกับคุณ พูดให้คุณฟัง มันไม่สำคัญอะไรเลยอย่างนั้นหรือครับ”
อารมณ์ของชายหนุ่มร้อนแรงเหลือเกิน...ไฟรักกำลังโหมแรงอย่างน่ากลัวยิ่ง
7
อารมณ์ของชายหนุ่มทวีความร้อนแรงขึ้นตามลำดับจนมินะโกะทนซุ่มตัวฟังความอยู่ไม่ได้อีกต่อไป ความร้อนรุ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาจนผะผ่าวไปทั่วเรือนใจ เธอสิ้นหวังอย่างยิ่งเมื่อได้ประจักษ์ใจจริงของชายหนุ่ม แต่ในเวลาเดียวกันก็เห็นใจในความรักอันร้อนแรงที่เขามีต่อแม่เลี้ยงเธอ ระคนกับความเศร้าเสียใจเมื่อประจักษ์ความจริงว่าแม่เลี้ยงที่เธอเชื่อถือไว้วางใจมาตลอดนั้นไม่มีความจริงใจและเป็นคนไม่มีหัวใจ แค่ความรู้สึกหนึ่งเดียวในจำนวนนี้ก็พียงพอที่จะทำให้จิตใจของสาวน้อยจมดิ่งลึกลงไปในห้วงแห่งความมืดมนเสียแล้ว
การลอบฟังความลับของคนอื่นอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นการกระทำที่สร้างความทุกข์ใจให้แก่มินะโกะเป็นที่สุด มันทำให้สาวน้อยไม่อาจนั่งต่อไปได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว เธอขยับตัวลุกขึ้นหลายครั้งราวกับบนเก้าอี้มีเข็มคอยทิ่มแทง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะการที่อยู่ใกล้กันไม่กี่เมตรขนาดนั้นแค่เหยียบลงไปบนพื้นหญ้าอีกฝ่ายก็อาจได้ยิน แต่ถึงจะออกไปพ้นร่มเงาหมู่ไม้ได้สำเร็จก็ไม่ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาของคนทั้งสองไปได้
พอคิดว่าแม่เลี้ยงและชายหนุ่มจะตกใจและกระอักกระอ่วนเพียงไรเมื่อเห็นเธอ มินะโกะก็ต้องชะงักเท้าที่จะทรงตัวลุกขึ้นยืนเอาไว้ตามเดิม
รุริโกะไม่มีโอกาสรับรู้ความทุกข์ทรมานใจของมินะโกะเลยแม้แต่น้อย เธอพูดเสียงเรียบ ๆ ต่อไปว่า
“ก็ดิฉันบอกแล้วยังไงว่าเข้าใจ ดิฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือคะว่าดิฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณดีทีเดียว”
ชายหนุ่มรุกหนักยิ่งขึ้น
“จริงหรือครับ จริงหรือ คุณพูดจากใจจริงแน่นะ คงไม่ใช่พูดแต่ปากเท่านั้นหรอกนะครับ”
รุริโกะเงียบไปเมื่อโดนรุกขนาดนั้น ชายหนุ่มร้อนรนขึ้นมาอีก
“ถ้าพูดจากใจจริงละก็ แสดงอะไรที่เป็นหลักฐานให้ผมดูหน่อย แบบที่พูดแต่ปากนั้นผมได้ยินมาจนเบื่อแล้ว คุณพูดอย่างนั้นแต่ปากไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หนแล้ว ผมไม่ต้องการแค่คำพูดแต่ต้องการให้คุณแสดงหลักฐานว่าที่พูดนั้นเป็นการพูดออกมาจากใจจริง ถ้าคุณจริงใจกับผมก็อยากขอให้แสดงหลักฐานให้ผมดูด้วยเถิด”
รุริโกะไม่หวั่นไหวไม่ว่าชายหนุ่มจะเร่าร้อนหรือกระวนกระวายเพียงไร
“หลักฐานอะไรกัน ถ้าคุณไม่เชื่อคำพูดของดิฉันก็เป็นอันว่าจบ ดิฉันไม่ใช่เกอิชาหรืออะไรสักหน่อย จึงต้องมาเขียนหนังสือสัญญิงสัญญา
มินะโกะอายเมื่อได้ยินรุริโกะพูดด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำที่ห่างไกลจากความเป็นสุภาพสตรีชั้นสูงอย่างนั้น
“ผมบอกว่าหลักฐาน แต่ไม่ได้หมายความในรูปของวัตถุ ผมอยากได้คำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามของผมเมื่อวันก่อน ผมทนฟังคำตอบว่า “รอไปก่อน” อย่างเดียวไม่ไหวแล้วครับ”
“คำถามเมื่อวันก่อน อะไรหรือคะ”
รุริโกะถามด้วยเสียงใส่จริตรัญจวนใจเหมือนแกล้งแหย่อีกฝ่าย
“คุณ? คุณลืมไปแล้วหรือ”
รู้สึกว่าชายหนุ่มคงจะสับสนไม่น้อย
“เรื่องสำคัญขนาดนั้น ผมอุตส่าห์ขอร้องจะเป็นจะตาย แต่คุณกลับบอกว่าลืมแล้วอย่างนั้นรึ ผมพูดอีกครั้งหนึ่งก็ได้ คุณรุริโกะแต่งงานกับผมนะครับ”
พอได้ยินคำว่าแต่งงานอย่างไม่ได้คาดคิดมาก่อน มินะโกะรู้สึกสะเทือนใจอย่างรุนแรง ไม่นึกฝันเลยว่าชายหนุ่มจะจริงจังกับแม่เลี้ยงของเธอจนกระทั่งตัดสินใจขอแต่งงานแล้วอย่างนี้
“เรื่องนั้น ดิฉันตอบคุณชัดเจนแล้วไม่ใช่รึ”
รุริโกะรับฟังคำที่ชายหนุ่มให้ความสำคัญอย่างเอกอุนั้นด้วยท่าทีเรื่อย ๆ ตามเคย
“ผมไม่พอใจกับคำตอบนั้นเสียแล้ว”
คำตอบที่ชัดเจนแล้วของแม่เลี้ยงมีใจความว่าอย่างไร...มินะโกะคิดไปทางร้าย ขณะเงี่ยหูนิ่งฟังความต่อไป