คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน ปีนี้ที่นิวยอร์กหนาวมาก อุณหภูมิติดลบต่อกันหลายวัน เวลาออกจากอะพาร์ตเมนต์ไปยังอาคารจอดรถทีไร ฉันต้องวิ่งตื๋อไปอย่างรวดเร็วเผื่อว่าร่างกายจะอุ่นขึ้นระหว่างฝ่าลมหนาวอันทารุณ นึกว่าจะหายหนาวเมื่อได้ขึ้นรถ แต่อยู่ในรถก็ยังหายใจออกมาเป็นควันขาว ๆ กระทั่งน้ำขวดที่วางในรถยังกลายเป็นน้ำแข็งทั้งขวดเลย เปิดฮีตเตอร์ก็มีแต่ลมเย็น ต้องรอหลายนาทีกว่าจะอุ่น ที่ญี่ปุ่นนั้นแม้จะหนาวอย่างไรก็ไม่ถึงขนาดนี้ค่ะ
บ้านเกิดสามีของฉันอยู่จังหวัดทางตอนเหนือของญี่ปุ่น มีหิมะตกทุกฤดูหนาว ฟังดูแล้วรู้สึกน่าจะหนาวมากใช่ไหมคะ แต่กระนั้นก็น่าแปลกที่ฉันไม่ยักรู้สึกหนาวอย่างเวลาอยู่ในกรุงโตเกียวทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิในกรุงโตเกียวสูงกว่า คนญี่ปุ่นบอกว่ากรุงโตเกียวหนาวด้วยลมตึกหรือลมที่พัดผ่านช่องว่างระหว่างตึกนั่นเอง เพราะฉะนั้นบางทีเดินผ่านหน้าตึกอยู่ดี ๆ พอผ่านช่องว่างที่ว่าก็หัวแทบปลิวตามลม ผมยุ่งไปหมด แถมยังหนาวจับใจ
ความหนาวที่ฉันกลัวที่สุดเวลาไปเยี่ยมบ้านเกิดสามีคือความหนาวภายในบ้าน แม้ว่าตามต่างจังหวัดหลายแห่งจะติดตั้งฮีตเตอร์แบบส่งผ่านความร้อนด้วยท่อน้ำร้อนไปยังภายใต้พื้นห้องนั่งเล่นให้อุ่นสบายทั่วทั้งห้องได้ แต่พอเปิดประตูออกจากห้องเท่านั้นแหละ ถ้าไม่ใส่รองเท้าแตะสำหรับเดินในบ้านก็แทบจะเต้นยามเท้าสัมผัสพื้นเย็นเจี๊ยบตามทางเดินเลยทีเดียว
ยิ่งห้องอาบน้ำนี่ฉันไม่อยากเข้าเลย พื้นห้องอาบน้ำปูด้วยกระเบื้อง แถมห้องก็อยู่ติดกับภายนอก และคุณแม่มักเปิดหน้าต่างแง้มไว้นิด ๆ ให้อากาศถ่ายเท เลยหนาวเป็นที่สุด เปิดฝักบัวให้แรงสุดก็ยังน้ำไหลค่อนข้างเอื่อย ห้องก็ค่อนข้างกว้าง หวังจะให้ห้องอาบน้ำอุ่นอย่างไรก็ได้แต่ฝัน อาบเสร็จก็เต้นอีกเพราะอากาศรอบด้านเย็น แต่ถ้าเป็นที่นิวยอร์กฉันจะลากฮีตเตอร์พัดลมเข้าไปเปิดด้วย พอให้ห้องอาบน้ำอุ่นไม่ให้ตัวสั่นงันงกมาก
คงเพราะคนที่เกิดและโตในจังหวัดที่มีหิมะตกทุกฤดูหนาวเคยชินกับความเย็นกระมัง ตอนที่คุณแม่สามีมาที่กรุงเทพ ฯ นั้น แม้จะอยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศที่เย็นอย่างไร ท่านก็ได้แต่ซับเหงื่อตลอดเวลา ไม่ต้องพูดถึงตอนออกไปข้างนอกซึ่งท่านได้แต่กางร่ม ดื่มน้ำ ซับเหงื่อไปตลอดทางจนแทบไม่ได้มองดูสถานที่เที่ยวรอบตัวเลย ส่วนสามีดูเหมือนจะไม่ขี้ร้อนมากเท่า คงเพราะมาอยู่กรุงโตเกียวหลายปีแล้ว
ที่กรุงโตเกียวฤดูหนาวไม่ค่อยมีหิมะตก อย่างมากก็ปรอย ๆ พอตกลงสู่พื้นก็กลายเป็นน้ำละลายหายไป ฉันเคยเห็นหิมะตกเป็นครั้งแรกตอนไปเที่ยวฮอกไกโดสมัยวัยรุ่น ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนแล้ว เห็นอะไรขาว ๆ เหมือนเศษกระดาษทิชชู่ปลิวว่อนอยู่ในอากาศ พอเอามือรองดูก็เห็นลวดลายอันละเอียดยิบงดงามอย่างน่าอัศจรรย์ใจปรากฏอยู่ใน “เศษทิชชู่” นั้น ถึงได้รู้ว่ามันคือหิมะ แล้วฉันก็ยืนชื่นชมลวดลายของหิมะและความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอยู่พักใหญ่ก่อนจะเล่นอย่างเด็ก ๆ คือแหงนหน้าอ้าปากรอชิมหิมะ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างที่คิด เพราะสัมผัสของหิมะนั้นเบาบาง เข้าปากก็ละลายเหมือนได้น้ำมาหนึ่งหยดเล็ก ๆ ที่เหนือความคาดหมายคือฉันนึกว่าหิมะจะตกลงมาเป็นเม็ดกลม ๆ เหมือนที่เห็นในเพลงตอนจบของอิคคิวซัง ไม่ก็ในเรื่องโดราเอม่อนเสียอีก ไม่ยักดูสวยงามโรแมนติกอย่างที่คิด
คงเพราะหิมะไม่ตกในกรุงโตเกียว ฉันก็เลยเคยชินกับการซักผ้าเสร็จแล้วตากไว้ที่ราวแขวนตรงระเบียง แต่เวลาอากาศหนาวมาก ๆ เสื้อผ้าที่ยังมีความชื้นอยู่ก็พลอยแข็งตัวไปด้วย พอไปจับผ้าเช็ดตัวจะเห็นว่ากลายเป็นแผ่นแข็ง ๆ ไปเลย เวลาอย่างนี้จึงต้องตากเสื้อผ้าที่ซักแล้วไว้ในห้องอาบน้ำ คือแขวนไว้กับราวของม่านอ่างอาบน้ำแล้วเปิดพัดลมดูดอากาศ แต่ส่วนใหญ่มันก็ไม่ค่อยแห้ง ต้องเอาไดร์เป่าบ้าง หรือไม่ก็แขวนในห้องที่เปิดฮีตเตอร์ไว้
วันหนึ่งหิมะตกหนักในกรุงโตเกียว จำได้ว่าหลังจากวันนั้น ฉันไปทำงานแบบกลัวลื่นมากเพราะถนนเต็มไปด้วยหิมะที่กลายเป็นน้ำแข็ง เพื่อนร่วมงานบอกว่าเธอเดินซอยเท้ามายิบ ๆ เลยทีเดียว วันนั้นได้ข่าวว่ารถชนกันในกรุงโตเกียวถึงสามร้อยหรือสามพันคันนี่แหละค่ะ จำไม่ได้ถนัด คงเพราะความไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศ พอขับตามปกติอย่างทุกทีก็เลยลื่น ยิ่งรถจักรยานยนต์เวลาลื่นทีน่ากลัวมาก แค่เห็นคนขี่จักรยานยนต์ลื่นล้มตอนรถติดยังชวนเอาใจหายใจคว่ำ ฉันเดินอยู่ที่ทางเท้ากำลังจะขยับเท้าเข้าไปช่วย แต่นึก ๆ แล้วฉันคงไม่มีแรงยกจักรยานยนต์แน่ ๆ แถมพื้นก็ลื่นมาก อย่างมากก็คงพยายามยักแย่ยักยันแล้วพลอยลื่นลงไปทับเขาซ้ำเสียมากกว่า โชคดีที่มีผู้ชายสองคนเดินผ่านมาเห็นเข้าก็รีบเข้าไปช่วยเขาและยกจักรยานยนต์ขึ้นมาได้
ราวยี่สิบกว่าปีก่อนก็เคยมีหิมะตกหนักอย่างเป็นประวัติการณ์ในกรุงโตเกียว คราวนั้นฉันไปเที่ยวกับทัวร์และกำลังจะไปดิสนีย์แลนด์ เราออกจากที่พักราวแปดโมงเช้า รถติดแทบไม่ขยับ คนขับรถต้องไปหาโซ่มาพันล้อรถไว้แล้วขับไปทีละนิด ๆ กว่าจะถึงดิสนีย์แลนด์ก็เกือบค่ำ เครื่องเล่นแต่ละอย่างไม่มีใครรอเข้าแถว ไปถึงก็ได้เล่นเลย แต่ก็จำอะไรไม่ค่อยได้นอกจากว่าหนาวเข้ากระดูกดำ ก็แปลกว่าดิสนีย์แลนด์ยังเปิดตามปกติในสภาพอากาศอย่างนั้น ถ้าเป็นนิวยอร์ก หากหิมะตกหนักขนาดนี้ทางการมักจะประกาศว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน และขอให้แต่ละคนไม่ออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็นเพราะอันตราย และถ้าเกิดอุบัติเหตุก็จะวุ่นวายมาก
ฉันเคยต้องไปทำงานในฮอกไกโดในฤดูหนาวติดกันตลอดสองสัปดาห์ งานที่เราทำนั้นค่อนข้างท้าทายและหนักเพราะมีรายละเอียดเยอะ มีความเปลี่ยนแปลงวันต่อวัน และต้องตื่นตัวตลอดเวลา นอกจากต้องวางแผนล่วงหน้าแล้วยังต้องพร้อมรับสถานการณ์เฉพาะหน้าด้วย ทั้งเครียดทั้งเหนื่อย ส่วนใหญ่จะได้นอนกันไม่ค่อยพอ เพื่อนร่วมงานฉันถึงได้ขอให้ซื้อเครื่องดื่มชูกำลังไว้ให้ทีมงานด้วย เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเปรยว่ามีงานแบบนี้ทีไรทุกคนหน้าตาดูไม่ได้ ส่วนเธอเองจะเป็นช่วงสิวขึ้นเป็นพิเศษ
แต่ถึงงานจะหนักแต่ก็สนุกไม่น้อยเลยค่ะ แม้อยากจะร้องกรี๊ดทุกครั้งที่รู้ว่าตัวเองมีชื่ออยู่ในโผว่าต้องไปทำงานทริปนี้เพราะกลัวสิวขึ้น แต่ฉันก็โชคดีที่เจอความสนุกในงานที่ตัวเองทำ แถมมีเพื่อนร่วมงานที่ทำงานกันเก่งมาก ทุกคนรู้หน้าที่และทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างฉับไว ประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ หัวหน้าทีมก็คุยง่าย ฉันชอบและภูมิใจในทีมนี้มาก คิดถึงอยู่เป็นประจำ
น่าแปลกนะคะที่ในขณะที่เรามีงานที่รับผิดชอบอยู่เต็มที่ แม้จะเหนื่อยแค่ไหนแต่สมองและร่างกายของคนเราก็ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ เหมือนมีอะดรีนาลินฉีดอยู่ตลอดเวลา แต่พอวันสุดท้ายได้กลับบ้านนี้จะรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงสุดขีด พอกลับถึงกรุงโตเกียว ขึ้นรถไฟได้ก็อยากสลบเต็มแก่ พอถึงสถานีใกล้บ้านก็พอดีหิวข้าวเหลือทนจึงแวะรับประทานสึเคเม็ง (บะหมี่ลวกจิ้มซุปอุ่น ๆ) ปกติฉันรับประทานขนาดทั่วไป แต่วันนั้นสั่งแบบเพิ่มเส้น รับประทานไปแทบศีรษะทิ่มลงชามไปด้วยความเหนื่อยจนอยากจะเอาตะเกียบมายันคางไว้ไม่ให้หน้าทิ่ม
ฉันเห็นหิมะมาสองสัปดาห์จนขยาดเต็มทีแล้ว โชคร้ายที่วันนั้นหิมะก็ดันตกหนักในกรุงโตเกียวเช่นกันทำให้การจราจรเป็นอัมพาตหลายจุด รวมทั้งรถโดยสารก็มีแต่ผู้คนอยากใช้บริการ แต่ทั้งรถเมล์และรถแท็กซี่ก็มีจำนวนไม่พอกับผู้โดยสาร คนเข้าคิวกันยาวเหยียดไปหมด รอไปก็เสียเวลาเปล่า ฉันจึงจำใจเดินกลับบ้านแม้ว่าจะอยากนั่งรถเมล์กลับบ้านเต็มแก่ก็ตามที ฉันยังอยู่ในชุดทำงาน คือสวมสูทกระโปรงภายใต้เสื้อโค้ท และสวมรองเท้าส้นสูง ลากกระเป๋าเดินทางลุยหิมะกองหนาเตอะกลับบ้านอย่างทุลักทุเล รองเท้าเต็มไปด้วยหิมะเย็นเฉียบ ทั้งเปียกทั้งหนาว ฉันจำได้ว่าตัวเองเดินร้องไห้ไปตลอดทาง ถึงบ้านก็รีบแช่น้ำอุ่น อาบน้ำเสร็จแล้วเข้านอนสลบไปเลยทั้งที่ยังเป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ
เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ เห็นหิมะแต่ในการ์ตูนบ้างในโทรทัศน์บ้าง ก็นึกอยากเล่นหิมะ อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร พอโตแล้วเจอบ่อยเข้าก็รู้ว่าหิมะตกไม่ใช่เรื่องสนุกสักเท่าไหร่ เพราะมักเดือดร้อนเสียมากกว่า เว้นแต่เวลาไปเล่นสกีกับเพื่อน ๆ ตอนที่มีหิมะเพิ่งตกใหม่ ๆ หนาหนุ่ม ไม่ต้องกลัวล้มหรือลื่นบนหิมะที่กลายเป็นน้ำแข็ง หรือไม่ก็รู้สึกสนุกตอนได้ยินว่าใครทำอะไรแผลง ๆ เวลาหิมะตกหนัก
อย่างตอนเกิดพายุหิมะที่นิวยอร์กเมื่อสองปีก่อน ก็มียูทูปเบอร์ชื่อดังคนหนึ่งที่นึกครึ้มเล่นสโนว์บอร์ดกลางเมืองโดยยึดตัวเองไว้กับรถให้แล่นไปทั่วเมืองเป็นที่ชอบใจของผู้คน ก่อนจะโดนรถตำรวจไล่ตาม เขาจึงหยุด และเดินไปหาตำรวจแต่โดยดี ตำรวจบอกว่า “มีคนเขาแจ้งเรื่องคุณ พวกผมเลยแกล้งทำเป็นว่ามาตักเตือนน่ะ” เขาตอบอย่างยินดีว่า “พวกคุณแจ๋วไปเลย”.... แหม คนที่นี่เขามีอารมณ์ขันกันดีนะคะ
ส่วนเมืองไทยก็ร้อนเหลือเกิน ถ้าแบ่งความร้อนความหนาวกันหารสองได้คงดีไม่น้อยทีเดียว พบกันใหม่อาทิตย์หน้า สวัสดีค่ะ.
"ซาระซัง" สาวไทยที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.