ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies
Tokyo University of Foreign Studies
เกริ่นนำ
มีนักศึกษาญี่ปุ่นที่เรียนภาษาไทยมาถามผมว่า ถ้าจะอ่านวรรณกรรมเยาวชนของไทยที่มีเนื้อเรื่องสนุกเพื่อฝึกภาษาไทย ควรจะอ่านเรื่องอะไร เรื่องแรกที่ผมนึกได้และพูดออกไปคือ “ความสุขของกะทิ” แต่ปรากฏว่าเรื่องนี้ยาวและมีคำศัพท์ที่ยากเกินไปสำหรับผู้เรียนชั้นต้น พูดแล้วจึงต้องเปลี่ยนความคิด และลองนั่งทบทวนดู ปรากฏว่าตัวเองก็นึกวรรณกรรมเยาวชนประเภทเรื่องสั้นร่วมสมัยของไทยไม่ค่อยออก เท่าที่นึกได้คือนิทานพื้นบ้านหรือวรรณคดียาว ๆ ที่นำมาย่อเขียนใหม่ ซึ่งในฐานะสื่อการอ่านเพื่อเรียนภาษาไทยนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยเหมาะเพราะมีราชาศัพท์บ้าง เนื้อเรื่องซับซ้อนบ้าง
เมื่อพิจารณาดูว่าเรารู้น้อยเกินไปหรือไม่ บางส่วนก็อาจจะใช่ แต่ก็แอบเข้าข้างตัวเองว่าคงไม่ทั้งหมด และคิดว่าหลัก ๆ อาจเป็นเพราะเรามีวรรณกรรมเยาวชนของไทยที่ถือว่าเป็นตัวแทนไม่มากนัก เท่าที่เด็กไทยเองอ่านและรู้สึกว่าสนุก จดจำได้จนโต มักเป็นผลงานของต่างประเทศที่แปลเป็นไทย วันนั้น ผลสุดท้ายผมจึงแนะนำเรื่องสั้น “มอม” ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พร้อมกับบอกว่า “ก็เปิดพจนานุกรมเอาหน่อยนะ เพราะไม่ง่ายเสียทีเดียว แต่สั้นกว่าความสุขของกะทิ”
เมื่อหันมามองทางญี่ปุ่นจะพบว่ามีวรรณกรรมเยาวชนร่วมสมัย (ที่ไม่ใช่เรื่องโบราณหรือเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ) อยู่มากมาย บางเรื่องหากผู้ใหญ่อ่านอาจรู้สึกว่ามันไม่ค่อยตื่นเต้น แต่จากมุมมองของเด็กถือว่าช่วยเปิดโลกและปลูกฝังความรู้สึกบางอย่างได้ดี ในแง่นี้ นักเขียนของญี่ปุ่นคนหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อมากคือ “เค็นจิ มิยะซะวะ” (宮沢賢治;Miyazawa, Kenji; 1896-1933) ผู้สร้างผลงานวรรณกรรมเยาวชนไว้มากทั้งเรื่องสั้นและเรื่องยาว โดยนำเรื่องราวในธรรมชาติมาร้อยเรียงได้น่าติดตามโดยเฉพาะเกี่ยวกับสัตว์ บางครั้งเป็นแบบใส ๆ บางครั้งเป็นแบบหดหู่ หรือชวนให้คิด สร้างความสะเทือนอารมณ์ ผลงานของมิยะซะวะได้รับศึกษาวิจัยกว้างขวางและแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษาด้วย ภาษาไทยก็มีบ้าง แต่ไม่มากนัก
อีกด้านหนึ่ง ขณะที่ปลายปีนี้ภาพยนตร์เรื่อง Wonder ของอเมริกาซึ่งสร้างจากนวนิยายเยาวชน “ชีวิตมหัศจรรย์ของออร์กัสต์” กำลังเป็นที่กล่าวขวัญ จึงนึกถึงผลงานเรื่องสั้นของมิยะซะวะที่มีสารใกล้เคียงกันคือเรื่อง “ดาวเหยี่ยวราตรี” (よだかの星;Yodaka no hoshi) กล่าวคือ ผู้ที่ถูกมองว่าอัปลักษณ์หรืออ่อนแอมักตกเป็นเหยื่อของการกีดกัน และในชีวิตจริงเราควรระวังให้มากว่าคำพูดหรือการกระทำของเราเป็นการดูแคลนความแตกต่างของผู้อื่นหรือไม่ ด้วยเนื้อหาแบบนี้ เรื่องสั้น “ดาวเหยี่ยวราตรี” จึงได้รับการบรรจุลงในหนังสือแบบเรียนของญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่แพร่หลายมาก และคนญี่ปุ่นถือว่าเป็นตัวแทนวรรณกรรมเยาวชนที่ดีเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น เนื้อเรื่องเป็นอย่างไร ลองอ่านกันดู (มีผู้ผลิตภาพเคลื่อนไหวและลงเสียงไว้ดังคลิปด้านล่างนี้)
ดาวเหยี่ยวราตรี
เหยี่ยวราตรีเป็นนกที่อัปลักษณ์จริง ๆ หน้ากระดำกระด่างเป็นหย่อม ๆ ราวกับเอาเต้าเจี้ยวมิโซะป้ายไว้ จะงอยปากออกป้าน ๆ กรีดไปถึงหู ขาช่างป้อแป้เสียจนเดินไม่ได้แม้ชั่วครู่ นกอื่น ๆ แค่มองหน้าเหยี่ยวราตรี ก็พากันรู้สึกแย่เสียแล้ว
อย่างนกตัวเล็กกว่าที่ช่างพูด จะพูดถึงเหยี่ยวราตรีในทางเสีย ๆ หาย ๆ ต่อหน้าไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม
“ประหลาด มาอีกแล้วน่ะ เฮอะ...มาดูเจ้านั่นกัน ช่างน่าอับอายสำหรับเพื่อนนกเสียจริงเชียว”
“แน่ะ ดูเอาเถอะ...ปากเทอะทะนั่น คงเป็นญาติกับพวกกบหรืออะไรเทือกนั้นแหง ๆ”
เป็นเสียอย่างนี้
โอ้...หากเป็นเหยี่ยวธรรมดา ๆ ที่มิใช่เหยี่ยวราตรี แค่เพียงได้ยินเสียงเท่านั้น พวกนกตัวเล็กครึ่ง ๆ กลาง ๆ เหล่านี้จะตัวสั่นสะท้าน หน้าถอดสี หดตัว หาที่หลบกันใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นด้านหลังของเงาใบไม้ ทว่าอันที่จริงแล้ว เหยี่ยวราตรีไม่ได้เป็นพี่น้องและไม่ใช่แม้แต่ญาติของเหยี่ยว แต่เป็นพี่ชายของนกกระเต็นผู้งดงามและนกฮัมมิงเบิร์ดผู้เป็นดั่งอัญมณีท่ามกลางหมู่นก นกฮัมมิงเบิร์ดกินน้ำหวานจากดอกไม้ นกกระเต็นกินปลา ส่วนเหยี่ยวราตรีจับแมลงเล็ก ๆ กิน นอกจากนี้ เนื่องจากมันไม่มีทั้งกรงเล็บและจะงอยปากแหลมคม จึงแน่ทีเดียวว่า ไม่ว่าจะเป็นนกที่อ่อนแอแค่ไหน ก็ไม่มีใครเกรงกลัวเหยี่ยวราตรี
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อ “เหยี่ยว” ที่ติดตัวอยู่อาจดูเหมือนเป็นเรื่องน่าแปลก แต่ก็มีเหตุผลที่ทำให้เป็นแบบนี้อยู่ด้วย ประการหนึ่งคือ ปีกของมันแข็งแกร่งยิ่งนัก อย่างเช่นยามเหินฟ้าตัดสายลม จะแลดูราวกับเหยี่ยวทั่วไปเลยทีเดียว และอีกประการหนึ่งคือ เสียงร้องกรีดแหลมฟังละม้ายกับเหยี่ยวที่ไหนสักแห่ง
แน่นอนว่า เหยี่ยวรู้สึกขัดใจและรังเกียจเรื่องนี้มาก และเพราะแบบนี้เอง พอมองแค่หน้าของเหยี่ยวราตรี เหยี่ยวก็จะชันบ่า ขู่เข็ญว่าให้ไปเปลี่ยนชื่อเสียเร็ว ๆ...ไปเปลี่ยนชื่อเสีย
เย็นวันหนึ่ง ในที่สุดเหยี่ยวก็ไปแถว ๆ รังของเหยี่ยวราตรี
“เฮ้ย...อยู่หรือเปล่า นี่แกยังไม่เปลี่ยนชื่อหรือไง แกนี่หน้าไม่อายเหลือเกินนะ แกกับฉันน่ะ...ลักษณะมันต่างกันเยอะ อย่างฉันบินบนท้องฟ้าสีครามไปไหน ๆ ก็ได้ทั้งนั้น ส่วนแก ถ้าไม่ใช่วันที่ฟ้าครึ้มแสงสลัว หรือถ้าไม่ใช่กลางคืนก็ไม่ออกมา ไหนดูจะงอยปากของฉัน แล้วลองเทียบกับของแกดูดี ๆ ซะสิ เป็นไง”
“คุณเหยี่ยว ฉันเปลี่ยนชื่อไม่ได้หรอกจ้ะ ชื่อของฉันไม่ใช่ฉันหรอกที่ตั้งขึ้นมาเอง เทพเจ้าประทานมาจ้ะ”
“อย่ามามั่ว ถ้าเป็นชื่อฉันละก็ คงพูดได้ว่าเทพเจ้าประทานมา แต่ถ้าเป็นชื่อแก ถ้าจะว่าไปคือยืมมาจากชื่อฉันกับเวลากลางคืนทั้งสองคำ ดีละ...เอาคืนมานะ”
“คุณเหยี่ยว ฉันทำไม่ได้หรอกจ้ะ”
“ต้องได้ ฉันจะบอกชื่อดี ๆ ให้ ชื่อ ‘อิชิโซ’ อิชิโซยังไงล่ะ ฟังดูดีออกใช่ไหม แล้วตอนที่จะเปลี่ยนชื่อน่ะ ต้องทำพิธีประกาศการเปลี่ยนชื่อซะด้วย เข้าใจใช่ไหม เรื่องที่บอกน่ะ... แล้วก็เอาป้ายที่เขียนว่าอิชิโซแขวนคอ พร้อมกับแจ้งด้วยคำพูดว่าจากนี้ไปแกชื่ออิชิโซ วนไปคำนับตามที่ของทุก ๆ คน”
“เรื่องอย่างนั้น ฉันไม่อาจทำได้จริง ๆ จ้ะ”
“ไม่ ต้องได้ ทำซะนะ ถ้าจนถึงเช้าวันมะรืนแล้วแกยังไม่ทำอย่างนั้นละก็ เดี๋ยวฉันจะจับฆ่าทันที สำเหนียกไว้สิว่า ฉันจะจับฆ่าเสียให้ตาย”
“แต่ว่า อย่างนั้นมันไม่เหลือวิสัยเกินไปหรือจ๊ะ ถ้าจะให้ฉันทำขนาดนั้นละก็ ให้ฉันตายเสียยังดีกว่า ฆ่าฉันเสียตอนนี้เลยสิ”
“เออน่า ลองคิดดูให้ดีซะก่อนซี ชื่ออิชิโซก็ไม่ใช่ชื่อที่เลวร้ายอะไร”
เหยี่ยวกางปีกกว้างออกเต็มเหยียด แล้วบินกลับรังของตน
ส่วนเหยี่ยวราตรีหลับตาแน่นแล้วคิด
ทำไมฉันถึงได้ถูกทุกคนรังเกียจหนอ คงเพราะหน้าของฉันเหมือนมีเต้าเจี้ยวมิโซะป้ายอยู่ และปากก็ถากรั้น แต่ว่านั่น...มาจนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่เคยทำเรื่องไม่ดีสักอย่าง
แล้วไหนยัง...เฮ้อ...คราวนี้จะให้เอาป้ายแขวนคอเอย ให้บอกว่าชื่ออิชิโซเอย ช่างเป็นเรื่องทรมานความรู้สึกเหลือเกิน
แถวนั้นมืดสลัวลงแล้ว เหยี่ยวราตรีบินออกจากรัง เมฆคล้อยต่ำ ส่องแสงดั่งกลั่นแกล้ง เหยี่ยวราตรีบินวนไปบนท้องฟ้าอย่างเงียบเชียบประหนึ่งจะเฉียดสัมผัสหมู่เมฆ
ทันใดนั้น เหยี่ยวราตรีก็อ้าปากกว้าง เหยียดปีกตรง บินตัดขวางท้องฟ้าดุจลูกธนู แล้วแมลงตัวเล็กตัวน้อยไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัวก็เข้าไปในลำคอนั้น
ขณะที่ตัวปิ่มจะแตะดิน ก็ร่อนขวับขึ้นฟ้าอีก เมฆกลายเป็นสีเทาแล้ว ที่ภูเขาฟากกระโน้นเกิดไฟป่าแดงฉาน
ยามเหยี่ยวราตรีบินอย่างอาจหาญนั้น ดูราวกับท้องฟ้าถูกตัดออกเป็นสองส่วน ด้วงตัวหนึ่งเข้าไปในคอของเหยี่ยวราตรี มันดิ้นอย่างรุนแรง เหยี่ยวราตรีกลืนมันลงไปทันที แต่ตอนนั้นกลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมฆมืดสนิทแล้ว มีแต่ทางตะวันออกเท่านั้นที่ไฟป่ายังคงส่องแสงแดงฉานดูน่าสะพรึงกลัว เหยี่ยวราตรีเหินขึ้นฟ้าอีก ตอนที่กำลังรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ในอกนั้น ด้วงอีกตัวก็เข้าสู่คอเหยี่ยวราตรีอีก มันได้แต่ข่วนลำคอของเหยี่ยวราตรีและดิ้นพล่าน เหยี่ยวราตรีฝืนกลืนมันลงไป แต่ตอนนั้น ในหัวอกรู้สึกเสียดแทงขึ้นโดยพลัน เหยี่ยวราตรีส่งเสียงร้องดังออกมา ขณะที่ร้องก็บินฉวัดเฉวียนแหวกฟ้า
“โธ่ ทุกคืน พวกแมลงเล็ก ๆ อย่างตัวด้วงถูกฉันฆ่าไปมากมาย แล้วตัวฉันแค่หนึ่งเดียว คราวนี้จะถูกเหยี่ยวฆ่า มันช่างเจ็บปวดอย่างนี้นี่เอง เฮ้อ...ทรมาน ทรมาน ฉันจะไม่กินแมลงแล้ว จะยอมอดตาย ไม่สิ...กว่าจะถึงตอนนั้น เหยี่ยวคงฆ่าฉันไปเสียก่อนแล้ว ไม่สิ กว่าจะถึงตอนนั้น ฉันต้องไปยังฟ้าฟากกระโน้นที่ไกลแสนไกล”
ไฟป่าค่อย ๆ ลามไปเรื่อยราวกับสายน้ำไหล เมฆแลดูลุกโชนเป็นสีแดง เหยี่ยวราตรีบินตรงไปยังที่อยู่ของนกกระเต็นผู้เป็นน้องชาย พอดีนกกระเต็นที่สวยงามซึ่งตื่นขึ้นมาและกำลังมองดูไฟป่าที่ไหม้อยู่ไกล ๆ เห็นเหยี่ยวราตรีลงมา จึงพูดว่า
“พี่ชาย สวัสดีครับ มีธุระอะไรด่วนหรือครับ”
“เปล่าหรอก คราวหน้าฉันจะไปที่ไกล ๆ ก่อนไปก็เลยแวะมาหานายเสียหน่อย”
“พี่ชาย อย่าไปนะครับ ไม่งั้น น้องคงจะอยู่ตัวเดียวตามลำพังน่ะสิ”
“ก็...ยังไงเสียก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ วันนี้อย่าพูดอะไรอีกเลยนะ นายเองก็เถอะ อย่าจับปลาเล่นนอกเหนือจากเวลาที่จำเป็นต้องจับจริง ๆ จะได้ไหม นะ...ลาก่อน”
“พี่ชาย เป็นอะไรไป เอ่อ...รออีกเดี๋ยวสิ”
“ไม่ละ จะอยู่ต่อไปอีกนานแค่ไหนก็เหมือนกันแหละ ฝากส่งความระลึกถึงให้ฮัมมิงเบิร์ดด้วยนะ”
เหยี่ยวราตรีกลับบ้านของตัวเองพลางร้องไห้ไปด้วย ค่ำคืนสั้น ๆ แห่งฤดูร้อนจวนจะเบิกฟ้าสู่วันใหม่แล้ว
เหยี่ยวราตรีเก็บกวาดภายในรังอย่างเรียบร้อย จัดปีกและขนทั่วตัวให้สวยงาม และบินออกจากรังไปอีก
หมอกคลายตัว พระอาทิตย์ไต่ฟ้าจากทิศตะวันออกพอดี เหยี่ยวราตรีทนฝ่าแสงจ้าจนเนื้อตัวสั่นเทา และบินออกไปทางนั้นราวกับลูกธนู
“คุณดวงอาทิตย์ คุณดวงอาทิตย์ ช่วยพาฉันไปยังที่ของคุณหน่อยเถิด จะเผาไหม้จนตายก็ไม่เป็นไร ถึงแม้ฉันมีรูปร่างอัปลักษณ์อย่างนี้ แต่ตอนเผาไหม้คงจะให้แสงเล็ก ๆ ได้บ้าง ช่วยพาฉันไปทีเถิด”
ไม่ว่าไปไกลแค่ไหน พระอาทิตย์ก็ไม่ใกล้เข้ามาเลย แต่กลับค่อย ๆ เล็กลงและไกลห่างออกไป พร้อมทั้งเอ่ยว่า
“เจ้าเป็นเหยี่ยวราตรีนี่นา อืม...เข้าใจแล้ว คงทรมานมากสิ คราวหน้า บินขึ้นฟ้าแล้วไปขอร้องดวงดาวดูสิ ก็เจ้าไม่ใช่นกกลางวันนี่นะ”
เหยี่ยวราตรีคำนับพระอาทิตย์ไปหนึ่งที แต่แล้วอยู่ ๆ ก็ตัวสั่นเทิ้ม ร่วงลงสู่พื้นหญ้าบนท้องทุ่งในที่สุด และรู้สึกเหมือนฝันไป บางช่วงเหมือนร่างกายเหินขึ้นไประหว่างดวงดาวสีแดงสีเหลืองไม่หยุดหย่อน บางช่วงถูกลมหอบลอยไปไหนต่อไหน แล้วก็มีเหยี่ยวมาจับ
จู่ ๆ ก็มีสิ่งเย็น ๆ ตกลงที่หน้า เหยี่ยวราตรีลืมตาขึ้น น้ำค้างจากใบของต้นซางอ่อนต้นหนึ่งหยดลงมานั่นเอง ตอนนี้กลายเป็นเวลากลางคืนโดยสนิทแล้ว ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินคล้ำ ดวงดาวกะพริบแสงโดยทั่ว
เหยี่ยวราตรีบินขึ้นฟ้า คืนนี้ก็เช่นกัน ไฟป่าแดงฉาน มันบินวนเข้าไปในแสงสว่างเล็ก ๆ ของไฟนั่นกับแสงเย็น ๆ ของดวงดาว จากนั้นก็บินวนอีกรอบหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจเด็ดเดี่ยว บินตรงไปทางกลุ่มดาวนายพรานที่สวยงามบนฟ้าทางทิศตะวันตก พลางร้องตะโกน
“คุณดวงดาว คุณดวงดาวสีฟ้าจางแห่งทิศตะวันตก ช่วยพาฉันไปยังที่ของคุณทีเถิด จะเผาไหม้จนตายก็ไม่เป็นไร”
กลุ่มดาวนายพรานร้องเพลงปลุกใจต่อโดยมิได้แยแสเหยี่ยวราตรีแม้แต่น้อย เหยี่ยวราตรีทำท่าจะร้องไห้ มันร่วงลงอย่างอ่อนแรง ท้ายสุดก็ลงสู่เบื้องล่าง แล้วบินวนอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะบินตรงไปทางกลุ่มดาวสุนัขใหญ่ทางใต้ พลางร้องตะโกน
“คุณดวงดาว คุณดวงดาวสีฟ้าแห่งทิศใต้ ช่วยพาฉันไปยังที่ของคุณทีเถิด จะเผาไหม้จนตายก็ไม่เป็นไร”
กลุ่มดาวสุนัขใหญ่กะพริบแสงสวยงามเป็นสีฟ้า สีม่วง สีเหลืองไม่ว่างเว้น และเอ่ย “อย่าพูดอะไรโง่ ๆ น่า อย่างเจ้าน่ะเป็นใครกันเล่า เป็นแค่นกไม่ใช่รึ การมาถึงที่นี่ด้วยปีกของเจ้าน่ะ มันใช้เวลาเป็นร้อยล้านปี ล้านล้านปี ร้อยล้านล้านปี” ว่าแล้วก็เบือนหน้าไปทางอื่นอีก
เหยี่ยวราตรีผิดหวัง ร่วงลงอย่างอ่อนแรง บินวนขึ้นอีกสองรอบ แล้วตัดสินใจเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง บินตรงสู่กลุ่มดาวหมีใหญ่ทางเหนือ พลางร้องตะโกน
“ท่านดวงดาวสีฟ้าแห่งทิศเหนือ ช่วยพาฉันไปยังที่ของท่านทีเถิด”
กลุ่มดาวหมีใหญ่เอ่ยเบา ๆ ว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาคิดอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ไปสงบสติอารมณ์มาหน่อยสิไป๊ ในช่วงเวลาอย่างนั้นน่ะ ไปมุดลงทะเลที่มีภูเขาน้ำแข็งซะ หรือถ้าไม่มีทะเลอยู่ใกล้ ๆ ก็ไปมุดลงน้ำในแก้วที่มีน้ำแข็งลอยเสียจะดีที่สุด”
เหยี่ยวราตรีผิดหวัง ร่วงลงอย่างอ่อนแรง บินวนบนฟ้าอีกสี่รอบ แล้วร้องตะโกนสู่กลุ่มดาวนกอินทรีที่เพิ่งขึ้นจากทิศตะวันออกทางฝั่งตรงข้ามของทางช้างเผือกตอนนี้
“ท่านดวงดาวสีขาวแห่งทิศตะวันออก ช่วยพาฉันไปยังที่ของท่านด้วยเถิด จะเผาไหม้จนตายก็ไม่เป็นไร”
กลุ่มดาวนกอินทรีเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ไม่มีทาง จะเป็นจะตายยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสิ้น จะเป็นดวงดาวได้ก็ต้องอยู่ในชั้นเทียบเท่ากัน ไม่งั้นไม่ได้ แล้วไหนยังต้องใช้เงินมากมายอีกด้วย”
เหยี่ยวราตรีหมดเรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว มันหุบปีก ร่วงลงสู่พื้นล่าง ทันใดนั้น ที่ระยะสูงจากพื้นราวหนึ่งศอกตอนที่ขาอันอ่อนแรงคู่นั้นเกือบจะแตะพื้นดิน เหยี่ยวราตรีก็บินขึ้นสู่ฟ้าราวกับลูกไฟส่งสัญญาณ ไปจนถึงประมาณกลางท้องฟ้า มันส่ายตัวพึ่บพั่บและชันขนเฉกเช่นตอนที่เหยี่ยวจะจู่โจมหมี
มันกรีดร้องตะโกนเสียงสูงดังคิชิ คิชิ คิชิ คิชิ คิชิ เสียงนั้นฟังเหมือนเสียงเหยี่ยว นกตัวอื่น ๆ ที่หลับใหลอยู่ในทุ่งและป่าต่างลืมตาโพลง ตัวสั่นสะท้าน มองอย่างสงสัยบนฟ้าเกลื่อนดาว
เหยี่ยวราตรีบินตรงขึ้นสู่ฟ้า ไปเรื่อย ๆ สู่ที่ใดก็ไม่รู้ ไปเรื่อย ๆ สู่ที่ใดก็สุดหยั่งรู้ ไฟป่าแลดูเหมือนมีขนาดแค่ก้นบุหรี่ เหยี่ยวราตรีไต่ขึ้นไป ไต่ขึ้นไป
ความหนาวเหน็บทำให้ลมหายใจแข็งเยือกเป็นสีขาว ด้วยอากาศบางลงจึงต้องยิ่งกระพือปีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดหย่อน แม้กระนั้นก็ตาม ขนาดของดวงดาวก็ไม่ต่างจากเมื่อครู่เลย ลมหายใจเข้าออกเหมือนหีบเป่าลมสำหรับติดไฟ ความหนาวและน้ำค้างแข็งบาดเหยี่ยวราตรีราวกับใบมีด ปีกของมันชาไปหมด ตาที่นองไปด้วยน้ำตาเบิกมองดูท้องฟ้าอีกครั้ง ใช่แล้ว นี่คือวาระสุดท้ายของมัน เป็นวาระสุดท้ายของเหยี่ยวราตรีไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังร่วงหล่นหรือเปล่า ไต่ขึ้นไปหรือเปล่า กลับหัวกลับหางหรือเปล่า หรือว่ากำลังมุ่งไปข้างบนหรือเปล่า ทว่าในหัวอก มันรู้สึกผ่อนคลาย จะงอยปากอันใหญ่ที่มีเลือดติดอยู่โง้งสู่ด้านข้าง ใช่แน่แล้ว มันกำลังยิ้มน้อย ๆ
ครั้นผ่านไปครู่หนึ่ง เหยี่ยวราตรีก็ลืมตาแจ่มชัด มองดูร่างกายตน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแสงสีฟ้างามดั่งไฟฟอสฟอรัส เผาไหม้อยู่เงียบ ๆ
ถัดไปเล็กน้อยคือกลุ่มดาวค้างคาว ถัดไปอีกหน่อยทางด้านหลังคือแสงสีฟ้าจางของทางช้างเผือก
แล้วดาวเหยี่ยวราตรีก็ลุกโชนต่อมา ต่อให้นานแสนนานเท่าใดก็ยังลุกโชน แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงลุกโชน
**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.mgronline.com