สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้วครับ ครั้งที่แล้วพูดเรื่องความหนักอกหนักใจของคนทำงานในองค์กรบริษัทญี่ปุ่นในหลายๆ ประเด็นตัวอย่าง ที่พูดไปแล้วคือ กรณีอยากย้ายงานไปบริษัทคู่ค้าเพราะรู้สึกว่าเข้ากันได้ดีกว่า และเด็กจบใหม่เพิ่งเข้างานต้องทนกับระบบการทำงานในบริษัทญี่ปุ่น จะลาออกดีไหม แต่สำหรับวันนี้เป็นเรื่องของสาวๆ บ้างครับ
ตัวอย่างคำถามนะครับ
Q: ชื่อดวงใจ🌙 ( นามสมมุติ) สาวอายุ 24 ปี เพิ่งเรียนจบและเข้างานใหม่ ทำงานในตำแหน่งล่าม ที่บริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง อยากสอบถามเรื่อง セクハラ Seku Hara (→Sexual harassment)
สวัสดีค่ะ ฉันมีเรื่องกลุ้มใจ คือ เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ และได้เข้าทำงานเป็นที่แรก เกิดความกลุ้มใจเพราะมีคนญี่ปุ่นส่งไลน์หาวันละเป็นร้อยๆ ข้อความ ชวนไปทานอาหารบ้างอะไรบ้าง ถ้าไม่ใช่คนในบริษัทก็คงพูดว่าแรงๆ ไปแล้ว แต่นี่ทำงานที่เดียวกันแม้จะปฏิเสธแบบสุภาพไปแล้วก็ยังไม่หยุด แถมมีไลน์มาเยอะมากขึ้นบางวันหลายร้อยข้อความ บางทีก็ชวนไปทานข้าว ฉันจะไปทานข้าวด้วยสักครั้งดีไหม หรือควรจะต่อว่าต่อหน้าเลยดี หรือควรปรึกษาคนในบริษัท แต่ก็ลังเลใจว่าควรจะปรึกษาดีไหม จะเอาอย่างไรดี?

A: มาดูคำตอบของคำถามข้อนี้ครับ
🕸 ความเสี่ยง:🕳🕳🕳🕳
👺 ความลำบาก: 🕹🕹🕹🕹🕹++
ข้อนี้คงทำให้คุณดวงใจกลุ้มใจอยู่มากทีเดียว อย่างที่คุณดวงใจบอกว่า พวกลุงหัวงูที่มาทำแบบนี้ถ้าไม่ใช่คนในบริษัทก็คงโดนด่าไปแล้ว แต่นี่เป็นคนที่ต้องอยู่ในที่ทำงานเดียวกันจะด่าต่อหน้าเลยก็ยาก ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่าคนที่มาทำลุ่มล่ามนั้นอยู่ในตำแหน่งหรือสถานะใด มีพาวเวอร์มากแค่ไหน เรื่อง Seku Hara (→Sexual harassment) นี่ที่จริงบริษัทญี่ปุ่นห้ามกระทำนะครับ ถ้ามีใครทำอาจจะโดนไล่ออกจากงานได้เลยทีเดียว แถมเป็นเรื่องน่าอายปัจจุบันมีหลักสูตรอบรมให้พนักงานใหม่ต้องพึงระวังด้วย เรื่องนี้ผมเคยเล่าไปบ้างแล้ว มีลิงค์ที่เคยเขียนไว้ที่นี่ครับ "อะไรบ้างที่ญี่ปุ่นบอกว่าเป็นการคุกคามทางเพศ(Seku hara)"
ปัจจุบันนี้อาจจะดีขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก ไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้นัก เมื่อก่อนตอนที่ผมเข้างานใหม่ๆ เคยได้ยินได้ฟังอยู่บ้าง ตัวอย่างที่คนญี่ปุ่นรุ่นก่อนที่เคยถูกกระทำ เช่น เวลาเดินใกล้ๆ กันก็จะมาแกล้งเบียด ให้ถูกเนื้อต้องตัว คุณป้าที่เล่าเรื่องให้ฟังสมัยยังสาวเป็นคนเอาจริง พอโดนกระทำเช่นนี้ก็นำความไปปรึกษาคนอื่นและคิดจะแก้แค้น แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นผลหรือไม่เพราะว่า คนที่กล้าทำพฤติกรรม Seku Hara ย่อมต้องมีตำแหน่งงานใหญ่และมีพาวเวอร์มากกว่าเรา แม้ปัจจุบันจะมีการอบรมให้พนักงานใหม่แต่คนเจเนอเรชั่นรุ่นอายุ 50 กว่าปีเป็นรุ่นก่อนอาจจะมีบางคนยังทำพฤติกรรม Seku Hara อยู่บ้างแถมมักจะมีตำแหน่งใหญ่ๆ ในองค์กรแล้วด้วย

ส่วนคำถามว่าจะทำอย่างไรดี
🐿ฉันจะไปทานข้าวด้วยสักครั้งดีไหม → ข้อนี้ตอบเลยว่าห้ามทำ นอกจากอันตรายต่อตนเองแล้วยังทำให้เขาคิดว่าเราเล่นด้วย
🐿หรือไม่ก็ต่อว่าต่อหน้าเลย → ข้อนี้ก็ไม่ต้องทำ เพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไร
🐿หรือควรปรึกษาคนในบริษัทดีแต่ก็ลังเลใจว่าควรจะปรึกษาดีไหม → ข้อนี้ถ้าจะปรึกษาก็พอได้แต่ต้องตะหนักว่าผลกระทบที่ตามมาจะดีหรือร้ายไม่รู้ และถึงจะปรึกษาอาจจะไม่ได้รับความช่วยเหลือที่สมเหตุสมผล ไม่รู้ว่าความดีจะชนะความเลวไหมในชีวิตจริง ถ้าในละครกลุ่มที่ชนะความเลวได้ทุกครั้งคงจะมีแค่พวกยอดมนุษย์คาเมนไรเดอร์ นะครับ
แล้วควรทำอย่างไร ถ้าเจอบ่อยๆ จนไม่มีทางอื่นแล้วมีคนบอกไว้ว่าคงต้องพิจารณาลาออกไปเอง เพราะพวกที่ทำพฤติกรรม Seku Hara อย่างที่บอกว่าส่วนใหญ่มีพาวเวอร์มากกว่าเรา และเป็นนิสัยเสียๆ ที่ลุงพวกนั้นมีในสันดานแล้ว ที่จริงความทะลึ่งกับสันดานผู้ชายนี่ก็เป็นของคู่กันโดยปกติอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยก่อนมาจนถึงปัจจุบันผู้ชายที่มีฐานะและมีอำนาจหน้าที่ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำพฤติกรรม Seku Hara กันเพราะว่า มีเงินไปซื้อบริการ หรือไม่ก็มีภรรยาน้อยไปเลย ที่ญี่ปุ่นมีคำว่า 英雄色を好む💪🏽 Eiyuu iro wo konomu ผู้ชายปกติที่ไม่เป็นโรคเสื่อมหรือไม่ใช่เกย์เนี่ยปกติจะมีสัญชาติญาณนักล่า มีความทะลึงลามกเป็นเรื่องปกติ ยิ่งคนที่มี เซ็กส์แอพพีล หรือเสน่ห์ดึงดูดทางเพศมากๆ จะมีพาวเวอร์เรื่องหน้าที่การงานด้วยนะ
แต่พวกที่มาทำพฤติกรรม Seku Haraในที่ทำงานเนี่ยมองได้อีกอย่างว่าลุงพวกนั้นนอกจากนิสัยไม่ดีแล้วยังขี้งกขี้เหนียว แก้ไม่ได้ครับ เราคงต้องหนีออกไปเอง ซึ่งความจริงการที่เราจะต้องลาออกหนีปัญหาเช่นนี้ก็ไม่ใช่ความผิดเราสักหน่อย คนที่ทำพฤติกรรม Seku Hara นี่นิสัยไม่ดี เลย ที่มีคำถามตามมาว่าทำไมเราต้องลาออกเพราะสาเหตุจากการหนีลุงพวกนี้ เรื่องนี้ผมก็พอเข้าใจได้ แต่อย่างที่บอกว่าถ้าเราพูดไปก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเราจะได้รับการช่วยเหลือไหม และจะโดนลูกหลงอะไรอีกหรือไม่
ที่ผมเคยได้ฟังตัวอย่างเรื่อง พฤติกรรม Seku Hara มาบ้างผมก็ตกใจว่ามันมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ พอฟังหลายๆ เรื่องจึงทำให้นึกถึงกวีนิพนธ์เรื่องหนึ่งของคุณ 夏目漱石 Natsume Sōseki ซึ่งเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งแห่งยุคเมจิ 明治の文豪 Meiji no bungou

ก่อนอื่นเกริ่นประวัติของ Natsume Sōseki เขาเป็นนักเขียนที่ได้รับเกียรตินำรูปเขาขึ้นพิมพ์อยู่บนแบงค์พันเยนรุ่นเก่าครับ เป็นนักเขียนยอดเยี่ยมแห่งยุคสมัยเมจิ แม้ว่าถ้าเขายังมีอายุอยู่คงจะประมาณ 150 ปีได้ แต่หนังสือของคุณ Natsume Sōseki ยังคงมีชื่อเสียงมากแม้ในปัจจุบันนี้ เด็กมัธยมศึกษา และเด็กมหาวิทยาลัยก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับชีวประวัติของเขาด้วย นอกจากนั้นยังมีความสามารถทางศิลปะ เป็นนักเขียนพู่กันจีน เป็นจิตรกรและนักกวีไฮกุด้วยครับ
Natsume Sōseki เกิดที่เอโดะ หรือโตเกียวในปัจจุบัน เรียนจบคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ด้วยอันดับท๊อปๆ คะแนนดีมากๆ เคยเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แล้วจึงได้ทุนกระทรวงศึกษาธิการไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ จากนั้นท่านก็กลับมาเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยโตเกียว และเริ่มเขียนนวนิยายเป็นงานอดิเรกครับ ต่อมาชื่อเสียงของท่านโด่งดังมากจึงลาออกจากงานสอนและออกมาเป็นนักเขียนอย่างเต็มตัวให้กับหนังสือพิมพ์อาซาฮี ส่วนใหญ่เนื้อหาหลักของผลงานท่านจะเกี่ยวกับการต่อสู้ของคนธรรมดากับระบบเศรษฐกิจที่ตกต่ำหรือความสันโดดและความแปลกแยก บทประพันธ์ต่างๆ ล้วนมีความหมายลึกซึ้งกินใจมากครับ
หนังสือเรื่องหนึ่งที่เขาเขียนขึ้นมาในชื่อว่า 草枕 Kusamakura แปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า grass pillow หรือ หมอนหญ้า ชื่อเรื่องกับเนื้อหาไม่ค่อยตรงกันหรอก แต่บทความท่อนแรกของหนังสือนั้นโด่งดังมากๆ

山路(やまみち)を登りながら、かう考へた。
ระหว่างทางเดินขึ้นเขา, ผุดความคิดดังเช่นนี้..
智に働けば角が立つ。情に棹させば流される。意地を通せば窮屈だ。兎角に人の世は住みにくい。
ใช้โลจิกใช้เหตุผลอ้างอิงมาหักล้างกันมากไป ความสัมพันธ์แย่ลง ..ใช้อารมณ์มากเกินไปความสัมพันธ์แย่ลง ..ใช้ความดื้อแพ่งเข้าหากันเพิ่มความอึดอัด ..อย่างไรก็ตามการเป็นอยู่ของมนุษย์นั้นช่างยากเย็น
住みにくさが高じると、安い所へ引き越したくなる。どこへ越しても住みにくいと悟つた時、詩が生れて、畫が出來る。
ยิ่งรู้ว่าความเป็นจริงของมนุษย์นั้นยากเย็น ยิ่งยากเย็นมากเท่าไหร่ ..ยิ่งอยากหลีกหนีไปอยู่ในถิ่นที่สบาย ..แต่ไม่ว่าจะย้ายไป ณ ที่แห่งใดก็ไม่เคยสบาย ..จึงเป็นบ่อเกิดแห่งบทกวี จึงเกิดเป็นบทความ
名文過ぎて涙が出て来る。。。(*゚д ゚*) เป็นบทความที่ดีมาก ผมอ่านแล้วซึ้งใจร้องไห้
ทำไมคนญี่ปุ่นชอบบทความท่อนนี้ เพราะสามารถสะท้อนชีวิตของ Natsume Sōseki ออกมาได้ดี ไม่รู้ว่านักเขียนยอดเยี่ยมนั้นมีความสุขจริงหรือไม่ ตอนที่ได้ทุนรัฐบาลไปศึกษาที่ต่างประเทศเหมือนจะเริ่มมีปัญหาทางจิตใจ โดนดูถูกเรื่องสถานะทางสังคม โดนเหยียดเชื้อชาติ คนญี่ปุ่นตัวเล็กเทียบกับชาวฝรั่งต่างชาติไม่ได้เลย ช่วงที่อยู่ต่างประเทศมีคนแนะนำให้กลับประเทศญี่ปุ่นไปเสียดีกว่า เมื่อกลับมาแล้วทำงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ แต่ถูกนักเรียนวิจารณ์ว่าครูคนเก่าดีกว่า ขอให้ครูคนเก่ากลับมาสอนได้ไหม จากนั้นปัญหาทางจิตใจที่สะสมมานานหลายเรื่อง ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอไปด้วย เมื่อเขียนหนังสือให้หนังสือพิมพ์อาซาฮี เรื่อง I Am a Cat 吾輩は猫である ชื่อเสียงโด่งดังขึ้น จึงลาออกมาเป็นนักเขียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนตกใจมากเพราะกล้าลาออกมาได้อย่างไร นี่มันตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นนะ เขาตอบว่า "ถ้าทำงานกับบริษัทหนังสือพิมพ์ ที่เป็นองค์กรเพื่อหาผลประโยชน์ทาง 商売 business ที่เคยทำงานกับมหาวิทยาลัยก็ไม่ต่างกัน"

จากนั้นเป็นต้นมาจึงเป็นนักเขียน แม้ว่าตัวเขาจะมีปัญหาทางจิตใจ ทว่าหนังสือและผลงานของเขานั้นเยี่ยมยอดมาก ทั้งภาษาและใจความ Natsume Sōseki มีคุณงามความดีและชื่อเสียงมาก จนมหาวิทยาลัยโตเกียวประกาศมอบปริญญาเอกด้านวรรณกรรมให้ แต่เขาไม่รับครับผม เพราะบอกว่า "ของไม่มีประโยชน์ จะเอาไปทำอะไร"
ดังนั้นเมื่อพูดเรื่อง พฤติกรรม Seku Hara ผมเลยนึกถึงบทความดังกล่าวข้างต้น ที่บอกว่าชีวิตนั้นยากเย็น จึงเกิดเป็นบทกวี... และแล้วกวีที่ผมคิดขึ้นมาก็คือ
セクハラの 相談受けて 暫定政府統治下
SekuHara no
Soudan ukete
Zantei seifu touchika
เมื่อได้ฟังคำปรึกษาเกี่ยวกับ Seku Hara พลันนึกถึงการปกครองประเทศแบบชั่วคราว
"泰だけに他意はない "
"Thai dakeni Tai wa nai"
ไทยเท่านั้นที่ไม่มีไท
(ความหมายของ Tai ตัวหลังในภาษาญี่ปุ่นนี้แปลว่า ไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง )
ที่อ่านว่า Thai dakeni Tai wa nai เป็นการเล่นเสียงของคำ 泰 or 他意 คือ 泰 Thai และ 他意Tai ( ตัวนี้แปลว่า ไม่มีเจตนาแฝง )
วันนี้สวัสดีครับ 🙏
ตัวอย่างคำถามนะครับ
Q: ชื่อดวงใจ🌙 ( นามสมมุติ) สาวอายุ 24 ปี เพิ่งเรียนจบและเข้างานใหม่ ทำงานในตำแหน่งล่าม ที่บริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง อยากสอบถามเรื่อง セクハラ Seku Hara (→Sexual harassment)
สวัสดีค่ะ ฉันมีเรื่องกลุ้มใจ คือ เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ และได้เข้าทำงานเป็นที่แรก เกิดความกลุ้มใจเพราะมีคนญี่ปุ่นส่งไลน์หาวันละเป็นร้อยๆ ข้อความ ชวนไปทานอาหารบ้างอะไรบ้าง ถ้าไม่ใช่คนในบริษัทก็คงพูดว่าแรงๆ ไปแล้ว แต่นี่ทำงานที่เดียวกันแม้จะปฏิเสธแบบสุภาพไปแล้วก็ยังไม่หยุด แถมมีไลน์มาเยอะมากขึ้นบางวันหลายร้อยข้อความ บางทีก็ชวนไปทานข้าว ฉันจะไปทานข้าวด้วยสักครั้งดีไหม หรือควรจะต่อว่าต่อหน้าเลยดี หรือควรปรึกษาคนในบริษัท แต่ก็ลังเลใจว่าควรจะปรึกษาดีไหม จะเอาอย่างไรดี?
A: มาดูคำตอบของคำถามข้อนี้ครับ
🕸 ความเสี่ยง:🕳🕳🕳🕳
👺 ความลำบาก: 🕹🕹🕹🕹🕹++
ข้อนี้คงทำให้คุณดวงใจกลุ้มใจอยู่มากทีเดียว อย่างที่คุณดวงใจบอกว่า พวกลุงหัวงูที่มาทำแบบนี้ถ้าไม่ใช่คนในบริษัทก็คงโดนด่าไปแล้ว แต่นี่เป็นคนที่ต้องอยู่ในที่ทำงานเดียวกันจะด่าต่อหน้าเลยก็ยาก ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่าคนที่มาทำลุ่มล่ามนั้นอยู่ในตำแหน่งหรือสถานะใด มีพาวเวอร์มากแค่ไหน เรื่อง Seku Hara (→Sexual harassment) นี่ที่จริงบริษัทญี่ปุ่นห้ามกระทำนะครับ ถ้ามีใครทำอาจจะโดนไล่ออกจากงานได้เลยทีเดียว แถมเป็นเรื่องน่าอายปัจจุบันมีหลักสูตรอบรมให้พนักงานใหม่ต้องพึงระวังด้วย เรื่องนี้ผมเคยเล่าไปบ้างแล้ว มีลิงค์ที่เคยเขียนไว้ที่นี่ครับ "อะไรบ้างที่ญี่ปุ่นบอกว่าเป็นการคุกคามทางเพศ(Seku hara)"
ปัจจุบันนี้อาจจะดีขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก ไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้นัก เมื่อก่อนตอนที่ผมเข้างานใหม่ๆ เคยได้ยินได้ฟังอยู่บ้าง ตัวอย่างที่คนญี่ปุ่นรุ่นก่อนที่เคยถูกกระทำ เช่น เวลาเดินใกล้ๆ กันก็จะมาแกล้งเบียด ให้ถูกเนื้อต้องตัว คุณป้าที่เล่าเรื่องให้ฟังสมัยยังสาวเป็นคนเอาจริง พอโดนกระทำเช่นนี้ก็นำความไปปรึกษาคนอื่นและคิดจะแก้แค้น แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นผลหรือไม่เพราะว่า คนที่กล้าทำพฤติกรรม Seku Hara ย่อมต้องมีตำแหน่งงานใหญ่และมีพาวเวอร์มากกว่าเรา แม้ปัจจุบันจะมีการอบรมให้พนักงานใหม่แต่คนเจเนอเรชั่นรุ่นอายุ 50 กว่าปีเป็นรุ่นก่อนอาจจะมีบางคนยังทำพฤติกรรม Seku Hara อยู่บ้างแถมมักจะมีตำแหน่งใหญ่ๆ ในองค์กรแล้วด้วย
ส่วนคำถามว่าจะทำอย่างไรดี
🐿ฉันจะไปทานข้าวด้วยสักครั้งดีไหม → ข้อนี้ตอบเลยว่าห้ามทำ นอกจากอันตรายต่อตนเองแล้วยังทำให้เขาคิดว่าเราเล่นด้วย
🐿หรือไม่ก็ต่อว่าต่อหน้าเลย → ข้อนี้ก็ไม่ต้องทำ เพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไร
🐿หรือควรปรึกษาคนในบริษัทดีแต่ก็ลังเลใจว่าควรจะปรึกษาดีไหม → ข้อนี้ถ้าจะปรึกษาก็พอได้แต่ต้องตะหนักว่าผลกระทบที่ตามมาจะดีหรือร้ายไม่รู้ และถึงจะปรึกษาอาจจะไม่ได้รับความช่วยเหลือที่สมเหตุสมผล ไม่รู้ว่าความดีจะชนะความเลวไหมในชีวิตจริง ถ้าในละครกลุ่มที่ชนะความเลวได้ทุกครั้งคงจะมีแค่พวกยอดมนุษย์คาเมนไรเดอร์ นะครับ
แล้วควรทำอย่างไร ถ้าเจอบ่อยๆ จนไม่มีทางอื่นแล้วมีคนบอกไว้ว่าคงต้องพิจารณาลาออกไปเอง เพราะพวกที่ทำพฤติกรรม Seku Hara อย่างที่บอกว่าส่วนใหญ่มีพาวเวอร์มากกว่าเรา และเป็นนิสัยเสียๆ ที่ลุงพวกนั้นมีในสันดานแล้ว ที่จริงความทะลึ่งกับสันดานผู้ชายนี่ก็เป็นของคู่กันโดยปกติอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยก่อนมาจนถึงปัจจุบันผู้ชายที่มีฐานะและมีอำนาจหน้าที่ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำพฤติกรรม Seku Hara กันเพราะว่า มีเงินไปซื้อบริการ หรือไม่ก็มีภรรยาน้อยไปเลย ที่ญี่ปุ่นมีคำว่า 英雄色を好む💪🏽 Eiyuu iro wo konomu ผู้ชายปกติที่ไม่เป็นโรคเสื่อมหรือไม่ใช่เกย์เนี่ยปกติจะมีสัญชาติญาณนักล่า มีความทะลึงลามกเป็นเรื่องปกติ ยิ่งคนที่มี เซ็กส์แอพพีล หรือเสน่ห์ดึงดูดทางเพศมากๆ จะมีพาวเวอร์เรื่องหน้าที่การงานด้วยนะ
แต่พวกที่มาทำพฤติกรรม Seku Haraในที่ทำงานเนี่ยมองได้อีกอย่างว่าลุงพวกนั้นนอกจากนิสัยไม่ดีแล้วยังขี้งกขี้เหนียว แก้ไม่ได้ครับ เราคงต้องหนีออกไปเอง ซึ่งความจริงการที่เราจะต้องลาออกหนีปัญหาเช่นนี้ก็ไม่ใช่ความผิดเราสักหน่อย คนที่ทำพฤติกรรม Seku Hara นี่นิสัยไม่ดี เลย ที่มีคำถามตามมาว่าทำไมเราต้องลาออกเพราะสาเหตุจากการหนีลุงพวกนี้ เรื่องนี้ผมก็พอเข้าใจได้ แต่อย่างที่บอกว่าถ้าเราพูดไปก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเราจะได้รับการช่วยเหลือไหม และจะโดนลูกหลงอะไรอีกหรือไม่
ที่ผมเคยได้ฟังตัวอย่างเรื่อง พฤติกรรม Seku Hara มาบ้างผมก็ตกใจว่ามันมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ พอฟังหลายๆ เรื่องจึงทำให้นึกถึงกวีนิพนธ์เรื่องหนึ่งของคุณ 夏目漱石 Natsume Sōseki ซึ่งเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งแห่งยุคเมจิ 明治の文豪 Meiji no bungou
ก่อนอื่นเกริ่นประวัติของ Natsume Sōseki เขาเป็นนักเขียนที่ได้รับเกียรตินำรูปเขาขึ้นพิมพ์อยู่บนแบงค์พันเยนรุ่นเก่าครับ เป็นนักเขียนยอดเยี่ยมแห่งยุคสมัยเมจิ แม้ว่าถ้าเขายังมีอายุอยู่คงจะประมาณ 150 ปีได้ แต่หนังสือของคุณ Natsume Sōseki ยังคงมีชื่อเสียงมากแม้ในปัจจุบันนี้ เด็กมัธยมศึกษา และเด็กมหาวิทยาลัยก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับชีวประวัติของเขาด้วย นอกจากนั้นยังมีความสามารถทางศิลปะ เป็นนักเขียนพู่กันจีน เป็นจิตรกรและนักกวีไฮกุด้วยครับ
Natsume Sōseki เกิดที่เอโดะ หรือโตเกียวในปัจจุบัน เรียนจบคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ด้วยอันดับท๊อปๆ คะแนนดีมากๆ เคยเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แล้วจึงได้ทุนกระทรวงศึกษาธิการไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ จากนั้นท่านก็กลับมาเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยโตเกียว และเริ่มเขียนนวนิยายเป็นงานอดิเรกครับ ต่อมาชื่อเสียงของท่านโด่งดังมากจึงลาออกจากงานสอนและออกมาเป็นนักเขียนอย่างเต็มตัวให้กับหนังสือพิมพ์อาซาฮี ส่วนใหญ่เนื้อหาหลักของผลงานท่านจะเกี่ยวกับการต่อสู้ของคนธรรมดากับระบบเศรษฐกิจที่ตกต่ำหรือความสันโดดและความแปลกแยก บทประพันธ์ต่างๆ ล้วนมีความหมายลึกซึ้งกินใจมากครับ
หนังสือเรื่องหนึ่งที่เขาเขียนขึ้นมาในชื่อว่า 草枕 Kusamakura แปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า grass pillow หรือ หมอนหญ้า ชื่อเรื่องกับเนื้อหาไม่ค่อยตรงกันหรอก แต่บทความท่อนแรกของหนังสือนั้นโด่งดังมากๆ
山路(やまみち)を登りながら、かう考へた。
ระหว่างทางเดินขึ้นเขา, ผุดความคิดดังเช่นนี้..
智に働けば角が立つ。情に棹させば流される。意地を通せば窮屈だ。兎角に人の世は住みにくい。
ใช้โลจิกใช้เหตุผลอ้างอิงมาหักล้างกันมากไป ความสัมพันธ์แย่ลง ..ใช้อารมณ์มากเกินไปความสัมพันธ์แย่ลง ..ใช้ความดื้อแพ่งเข้าหากันเพิ่มความอึดอัด ..อย่างไรก็ตามการเป็นอยู่ของมนุษย์นั้นช่างยากเย็น
住みにくさが高じると、安い所へ引き越したくなる。どこへ越しても住みにくいと悟つた時、詩が生れて、畫が出來る。
ยิ่งรู้ว่าความเป็นจริงของมนุษย์นั้นยากเย็น ยิ่งยากเย็นมากเท่าไหร่ ..ยิ่งอยากหลีกหนีไปอยู่ในถิ่นที่สบาย ..แต่ไม่ว่าจะย้ายไป ณ ที่แห่งใดก็ไม่เคยสบาย ..จึงเป็นบ่อเกิดแห่งบทกวี จึงเกิดเป็นบทความ
名文過ぎて涙が出て来る。。。(*゚д ゚*) เป็นบทความที่ดีมาก ผมอ่านแล้วซึ้งใจร้องไห้
ทำไมคนญี่ปุ่นชอบบทความท่อนนี้ เพราะสามารถสะท้อนชีวิตของ Natsume Sōseki ออกมาได้ดี ไม่รู้ว่านักเขียนยอดเยี่ยมนั้นมีความสุขจริงหรือไม่ ตอนที่ได้ทุนรัฐบาลไปศึกษาที่ต่างประเทศเหมือนจะเริ่มมีปัญหาทางจิตใจ โดนดูถูกเรื่องสถานะทางสังคม โดนเหยียดเชื้อชาติ คนญี่ปุ่นตัวเล็กเทียบกับชาวฝรั่งต่างชาติไม่ได้เลย ช่วงที่อยู่ต่างประเทศมีคนแนะนำให้กลับประเทศญี่ปุ่นไปเสียดีกว่า เมื่อกลับมาแล้วทำงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ แต่ถูกนักเรียนวิจารณ์ว่าครูคนเก่าดีกว่า ขอให้ครูคนเก่ากลับมาสอนได้ไหม จากนั้นปัญหาทางจิตใจที่สะสมมานานหลายเรื่อง ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอไปด้วย เมื่อเขียนหนังสือให้หนังสือพิมพ์อาซาฮี เรื่อง I Am a Cat 吾輩は猫である ชื่อเสียงโด่งดังขึ้น จึงลาออกมาเป็นนักเขียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนตกใจมากเพราะกล้าลาออกมาได้อย่างไร นี่มันตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นนะ เขาตอบว่า "ถ้าทำงานกับบริษัทหนังสือพิมพ์ ที่เป็นองค์กรเพื่อหาผลประโยชน์ทาง 商売 business ที่เคยทำงานกับมหาวิทยาลัยก็ไม่ต่างกัน"
จากนั้นเป็นต้นมาจึงเป็นนักเขียน แม้ว่าตัวเขาจะมีปัญหาทางจิตใจ ทว่าหนังสือและผลงานของเขานั้นเยี่ยมยอดมาก ทั้งภาษาและใจความ Natsume Sōseki มีคุณงามความดีและชื่อเสียงมาก จนมหาวิทยาลัยโตเกียวประกาศมอบปริญญาเอกด้านวรรณกรรมให้ แต่เขาไม่รับครับผม เพราะบอกว่า "ของไม่มีประโยชน์ จะเอาไปทำอะไร"
ดังนั้นเมื่อพูดเรื่อง พฤติกรรม Seku Hara ผมเลยนึกถึงบทความดังกล่าวข้างต้น ที่บอกว่าชีวิตนั้นยากเย็น จึงเกิดเป็นบทกวี... และแล้วกวีที่ผมคิดขึ้นมาก็คือ
セクハラの 相談受けて 暫定政府統治下
SekuHara no
Soudan ukete
Zantei seifu touchika
เมื่อได้ฟังคำปรึกษาเกี่ยวกับ Seku Hara พลันนึกถึงการปกครองประเทศแบบชั่วคราว
"泰だけに他意はない "
"Thai dakeni Tai wa nai"
ไทยเท่านั้นที่ไม่มีไท
(ความหมายของ Tai ตัวหลังในภาษาญี่ปุ่นนี้แปลว่า ไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง )
ที่อ่านว่า Thai dakeni Tai wa nai เป็นการเล่นเสียงของคำ 泰 or 他意 คือ 泰 Thai และ 他意Tai ( ตัวนี้แปลว่า ไม่มีเจตนาแฝง )
วันนี้สวัสดีครับ 🙏