xs
xsm
sm
md
lg

เสื้อผ้าหน้าผม - ความดูดีของคนญี่ปุ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"

เคยมีคนไทยตั้งข้อสังเกตว่าคนญี่ปุ่นแต่งตัวดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ใช่ว่าแต่งตัวดีเฉพาะเสื้อผ้าแต่ลากรองเท้าแตะฟลิบฟลอบเดินเที่ยวกลางกรุง แม้ว่าฉันจะไม่เคยได้ยินเรื่องมารยาทของการแต่งตัวออกนอกบ้านของคนญี่ปุ่นมาก่อน แต่พอสังเกตดูแล้วก็น่าจะจริงเพราะไม่ค่อยจะเห็นคนญี่ปุ่นแต่งตัวรุ่มร่ามกันสักเท่าไหร่นัก

ฉันเห็นสาวญี่ปุ่นหน้าเนียนใสดูดีตลอดวัน เคยถามเพื่อนชาวญี่ปุ่นว่าทำไมสาวญี่ปุ่นถึงได้ดูหน้าใสสวยงามกันไปหมดอย่างนี้ เพื่อนหญิงชาวญี่ปุ่นพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า “เพราะแต่งหน้าเก่ง”  ฉันก็งงไปพักหนึ่ง บอกว่า “เอ๋ แต่เขาดูเหมือนไม่แต่งหน้าเลยนะ หน้าตาธรรมชาติมาก”  เพื่อน ๆ ก็ยังพูดแบบเดิมว่าเป็นเพราะการแต่งหน้า จะว่าไปแล้วก็อาจจะเป็นเพราะการแต่งหน้าจริง ๆ ก็ได้ ฉันมักเห็นสาวญี่ปุ่นเติมเครื่องสำอางกันอยู่บ่อย ๆ และตามห้องน้ำในห้างสรรพสินค้าที่ญี่ปุ่นหลายแห่งก็มีบริเวณที่จัดไว้สำหรับแต่งหน้าโดยเฉพาะแยกออกมาจากพื้นที่ล้างมือ บางแห่งแทบจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งด้วยซ้ำ และมีเก้าอี้นั่งสำหรับเป็นคน ๆ ไป เป็นเพราะเขาไม่อยากให้ไปเกะกะคนที่จะล้างมือ หรือว่าเข้าใจความต้องการของผู้หญิงญี่ปุ่นเลยจัดให้พร้อมก็ไม่แน่ใจ
ภาพจาก https://thepage.jp/
แม้สาวในกรุงโตเกียวจะแต่งหน้าให้ดูใส ๆ อ่อนวัยเสมือนไม่ได้แต่งหน้า แต่พอไปต่างจังหวัดจะสังเกตว่าสาว ๆ ที่ไม่ค่อยแต่งหน้าจะมีหน้าตาอีกแบบ แม้จะไม่ได้สวยเช้ง แต่ก็ดูสดใสสมวัย เป็นธรรมชาติ และน่ามอง ยิ่งถ้าแต่งชุดยูคาตะซึ่งเป็นชุดสำหรับหน้าร้อนแบบญี่ปุ่นแล้วไม่แต่งหน้าจะดูชวนมองกว่าสาว ๆ ที่แต่งหน้าจัดหรือสวมเครื่องประดับให้ดูหรูหราเสียอีก ฉันว่าคนอายุน้อยผิวสวยอยู่แล้ว แต่พอไปแต่งหน้าทับก็กลายเป็นการปกปิดไม่ให้เห็นส่วนที่ดีที่สุดไปเสีย ผู้หญิงเรานี้แปลก ตอนเป็นเด็กสาวอยากสวยก็เลยแต่งหน้า แต่เครื่องสำอางมันก็ทำลายผิวไปเรื่อย ๆ พออายุมากขึ้น ผิวเสียแล้วกลับอยากมีเบบี้เฟซเหมือนตอนสาว ๆ ไปแทน นับว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้ใช้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดให้คุ้มค่า

วันหนึ่งในฤดูร้อน ฉันไปเที่ยวบ้านเพื่อนคนไทยโดยที่ไม่ได้แต่งหน้าออกจากบ้านเพราะเครื่องสำอางหลุดง่ายมาก เห็นเพื่อนแต่งหน้าก็ถามเพื่อนว่าปกติอยู่บ้านก็แต่งหน้าหรือ เธอบอกว่าเมื่อก่อนเธอก็ไม่แต่งหน้า และถ้าออกจากบ้านนิด ๆ หน่อย ๆ เช่นไปซื้อกับข้าวใกล้ ๆ บ้านก็ไม่แต่งเหมือนกัน แต่เพื่อนบ้านของเธอซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นบอกว่าการแต่งหน้าถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง ต้องแต่งไว้เพื่อให้ดูสุภาพต่อผู้พบเห็น มิน่าละ คุณป้าวัย 70 ของเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่ฉันเคยไปเยี่ยมอยู่เนือง ๆ เวลาจะออกจากบ้านทีหนึ่ง แม้ว่าจะไปแค่โรงพยาบาลหรือซื้อกับข้าวก็ต้องแต่งหน้าทาปากแดง

ฉันแอบคิดเล่น ๆ ว่านี่ถ้าเพื่อนบ้านชาวญี่ปุ่นที่บอกว่าการแต่งหน้าเป็นเรื่องของมารยาท มาเห็นคนไทยใส่ชุดนอนไปจ่ายตลาดตอนเช้า ๆ หรือเห็นคนเดินออกจากบ้านในสภาพแกนม้วนผมดัดยังคาศีรษะเต็มไปหมด เธอจะว่าอย่างไรกันนะ

แม้จะบอกว่าการแต่งหน้าเป็นเรื่องมารยาท แต่ฉันก็เห็นเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นของฉันสองคนไม่เคยแต่งหน้ามาทำงานเลย และก็ไม่เห็นเป็นเรื่องผิดสังเกตแต่อย่างใดด้วยซ้ำทั้ง ๆ ที่งานของพวกเราต้องพบปะผู้คนอย่างเป็นทางการอยู่เสมอ เธอสองคนก็ดูดีในแบบฉบับของพวกเธอที่เป็นตัวของตัวเอง
ภาพจาก http://robamimireport.com
หลายปีก่อนตอนอยู่เมืองไทยยังไม่ได้ย้ายไปอยู่ญี่ปุ่น ฉันมักแต่งตัวด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์ยาว 4 ส่วน รองเท้าแตะมีสายรัดข้อคล้าย ๆ แบบผู้ชาย และสะพายเป้ข้างสีดำที่ซื้อมาจากตลาดนัด ซึ่งแบบนี้มันเดินเหินคล่องตัวสบายดีโดยเฉพาะเวลาที่ต้องไปรอรถเมล์หรือต้องยืนเดินนาน ๆ

แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งฉันไปข้างนอก กลับมาถึงบ้านตอนค่ำ ๆ ก็พบว่าตัวเองลืมเอากุญแจบ้านมา และไม่ได้พกมือถือติดตัวด้วย จึงกดกริ่งเรียกคนในบ้าน แต่กริ่งเจ้ากรรมดันประสิทธิภาพต่ำเลยไม่มีใครได้ยิน ฉันก็เลยตัดสินใจจะปีนรั้วเข้าบ้านแทน ระหว่างกำลังปีนอยู่นั่นเอง คุณลุงคนหนึ่งเดินผ่านมา ถามว่า “นั่นหนูกำลังทำอะไร” ฉันก็บอกว่าลืมกุญแจเลยเข้าบ้านไม่ได้ คุณลุงผู้แสนดีจึงช่วยให้ฉันปีนเข้าบ้านได้โดยสะดวกโยธิน แต่สุดท้ายประตูบ้านก็ล็อคเสียอีก ทุบประตูก็แล้ว เอาหินปากระจกก็แล้ว ไม่มีใครได้ยิน ฉันก็คิดว่าจะใช้วิธีไหนอีกดี นึกได้ว่าทำไมไม่ไปขอยืมโทรศัพท์ป้อมยามโทรเข้าบ้าน (น่าจะคิดได้ตั้งแต่แรกนะ) เลยต้องปีนออกมาใหม่วิ่งไปป้อมยาม คุณ รปภ. ใจดีส่งมือถือให้เลย ฉันโทรเสร็จ ยกมือไหว้ขอบคุณ รปภ. และรีบกลับบ้านมาเจอแม่ยืนรออยู่แล้ว

หลายวันต่อมาคุณลุงที่ช่วยฉันปีนเข้าบ้านเจอแม่ฉันก็ร้องทัก “วันก่อนคนงานบ้านคุณเขาลืมกุญแจเลยเข้าบ้านไม่ได้แน่ะ” แม่ฟังแล้วทั้งอยากร้องไห้และหัวเราะไปพร้อม ๆ กัน “ไม่ใช่นะ! นั่นลูกฉัน!” แล้วแม่ก็ตำหนิคุณลุงว่าไม่ควรจะไปช่วยคนอื่นที่ไม่รู้จักกันแบบนั้นเพราะหากเป็นหัวขโมยขึ้นมาจะทำอย่างไร เสร็จแล้วพอแม่เข้าบ้านก็ดุฉันไปขำไปว่าเป็นเพราะฉันชอบแต่งตัวปอน ๆ แท้ ๆ เลยเชียว

แต่หลังจากนั้นฉันก็คงแต่งตัว “ดีขึ้น” ไปเองเพราะต้องย้ายไปอยู่กรุงโตเกียว อาจจะเป็นความโชคดีของฉันที่เพื่อนร่วมงานแต่งตัวดูดีกันหมด ฉันเลยพลอยได้รับอานิสงส์ให้หันมาแต่งตัวให้ดีกว่าเดิมไปด้วย จะว่าไปแล้วชาวญี่ปุ่นในกรุงโตเกียวที่แต่งตัวกันเต็มที่มีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ บางคนใส่หมวกแฟชั่นแม้ว่าจะอยู่ในที่ร่มหรือไม่มีแดดออกทั้งหญิงชาย บางทีชุดหนึ่ง ๆ ต้องประกอบด้วยเสื้อบาง ๆ หลายชั้นใส่ซ้อนกัน รองเท้าก็เป็นแบบที่ไม่ใส่กันทั่วไป ผมเผ้าดูแล้วเดาได้ว่าน่าจะใช้เจลแต่งผมและเวลาอีกไม่น้อยกว่าจะเสร็จ ผู้ชายที่ชอบแต่งตัวมักไว้ผมหน้าม้าดูแล้วเหมือนหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูนผู้หญิง ถ้าเป็นคนหนุ่มก็ดูไม่แปลก แต่จะแปลกก็ตรงที่ชายวัยกลางคนญี่ปุ่นที่ดูเจ้าสำอางก็พลอยไว้ผมหน้าม้ากันไปด้วย คงเพื่อให้ดูไม่แก่ แต่ฉันดูแล้วขัดตา(และใจ)พิกล
ภาพจาก https://www.cntraveler.com
หลังจากนั้นพอฉันย้ายมาอยู่สหรัฐฯ ช่วงแรก ๆ ก็แต่งตัวตามความเคยชินเหมือนตอนอยู่ญี่ปุ่น เพื่อนคนไทยที่เคยอยู่ญี่ปุ่นเห็นฉันแล้วก็ร้องว่าแต่งตัวแบบคนญี่ปุ่นเลย ฉันมองดูตัวเองแล้วก็งงว่ามันดูเป็นญี่ปุ่นอย่างไร นึกว่าตัวเองแต่งตัวตามปกติเสียอีก ตอนนั้นฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องแต่งตัวอย่างไรถึงจะดูเป็นปกติทั่วไปสำหรับคนอเมริกัน พออยู่ไปนาน ๆ จนชินฉันก็แต่งตัวเข้ากับคนที่นี่ไปโดยปริยาย

มานึกดูแล้ว ตอนอยู่ญี่ปุ่นฉันจะคิดเสมอว่าจะเอาเสื้อผ้ามาจับเข้าชุดกันอย่างไรให้ดูดี ใส่กระโปรงเป็นเรื่องปกติเวลาออกไปเจอใครข้างนอก แต่พอมาอยู่สหรัฐฯ ฉันแทบไม่ได้หยิบกระโปรงมาสวมเลย ถ้าสวมเสียทีคนก็ถามว่าจะไปไหน (คล้าย ๆ บ้านเราในช่วงหนึ่งที่ผู้หญิงไม่ค่อยสวมกระโปรง) คนมักติดภาพว่านิวยอร์กน่าจะเป็นเมืองที่แฟชั่นล้ำยุค แต่คนอเมริกันจริง ๆ แต่งตัวกันง่าย ๆ ไม่คิดเยอะ ไม่ค่อยติดแฟชั่น ต่างคนต่างแต่ง สไตล์ไม่เหมือนกันเลย จะหรูเสียทีก็ตามโอกาส หรือเป็นสไตล์เฉพาะตัวของคนคนนั้นมากกว่า แต่บางทีขนาดแต่งหรูแล้วก็ยังใส่รองเท้าผ้าใบเพราะว่าอยู่ในนิวยอร์กจะเดินเยอะมาก พอถึงที่ทำงานก็ค่อยไปเปลี่ยนเป็นรองเท้าหุ้มส้นหรือส้นสูงให้เรียบร้อยแทน แต่ก็แปลกดีที่เห็นสาวสวยใส่ชุดแส็คคู่กับรองเท้าผ้าใบ หรือหนุ่มหล่อใส่สูทคู่กับรองเท้าผ้าใบแล้วดูไม่ขัดตา คงเพราะเห็นอย่างนั้นจนชินเหมือนเป็นเรื่องปกติ พออยู่สหรัฐฯ ไปนาน ๆ ฉันเลยติดนิสัยใส่เสื้อผ้าแบบง่าย ๆ สบาย ๆ ทะมัดทะแมง เดินเหินคล่องตัว สวมกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ และแจ็คเก็ตเป็นปกติ

ครั้นฉันแต่งสบาย ๆ เสียชิน พอกลับไปญี่ปุ่นละคราวนี้รู้สึกอยากมุดรูมากเลยค่ะ เพราะพอเจอผู้คนมากมายตามสถานีรถไฟหรือระหว่างรอรถไฟ ฉันก็เริ่มสังเกตว่าคนอื่นดูต่างออกไป ลืมสนิทว่าคนญี่ปุ่นแต่งตัวกันดีโดยส่วนใหญ่ ฤดูหนาวคนจะนิยมสวมโค้ทกันเสียมาก อาจจะเพราะต้องให้ดูเรียบร้อยเวลาไปทำงานบริษัทหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ คนสวมแจ็คเก็ตดาวน์หรือฟลีซที่ดูเรียบง่ายก็มีบ้างแต่ก็ไม่มากเท่าในสหรัฐฯ หรือประเทศยุโรป ถ้าสวมก็มักเป็นแบบแฟชั่นสวยงาม ฉันรู้สึกผิดที่ผิดทางมากทั้ง ๆ ที่แต่เดิมญี่ปุ่นก็เป็นสังคมที่ฉันอาศัยอยู่จนเป็นเสมือนบ้านไปแล้ว เหมือนอยู่ดี ๆ กลายเป็นคนต่างชาติในบ้านตัวเองอย่างไรชอบกล (แต่ฉันก็เป็นคนต่างชาติในญี่ปุ่นนั่นแหละ)

เห็นทีคราวหน้ากลับญี่ปุ่นอาจต้องคิดเสียหน่อยแล้วว่าจะแต่งตัวอย่างไรให้ “ดูดี”




"ซาระซัง" สาวไทยที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.

กำลังโหลดความคิดเห็น