ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies
Tokyo University of Foreign Studies
ในเดือนพฤศจิกายนของทุกปีมักจะเห็นเด็กญี่ปุ่นแต่งชุดกิโมโนกันมากมาย เมื่อมองอย่างผู้ชมทั่ว ไป แน่นอนว่าดูแล้วรู้สึกว่าน่ารักดี แต่ขณะเดียวกันเมื่อคิดต่ออีกหน่อย ก็พลอยเห็นแง่มุมนอกจากความน่ารักด้วย มีทั้งเรื่องที่ชวนให้กังวลและนึกชื่นชมไปพร้อม ๆ กัน แต่ก่อนจะว่ากันถึง 2 ประเด็นนั้น คงต้องขยายความถึงที่มาว่าเพราะเหตุอันใดจึงได้เห็นเด็ก ๆ แต่งชุดกิโมโนทั้งหญิงและชายเป็นจำนวนมาก
วันที่ 15 พฤศจิกายนถือเป็นวันฉลองรับขวัญเด็กอายุ 7 ขวบ 5 ขวบ และ 3 ขวบของญี่ปุ่น คุณพ่อคุณแม่จะพาลูกวัยนั้น ๆ ไปเช่าชุดกิโมโนสวมใส่เข้าพิธีรับขวัญ ซึ่งเรียกว่า “ชิชิ-โกะ-ซัง” (七五三; Shichi-go-san) แปลตามตัวอักษรว่า “เจ็ด-ห้า-สาม” พิธีมักจัดที่ศาลเจ้าชินโต (ปัจจุบันมีการจัดพิธีที่วัดของพุทธศาสนาด้วย) และด้วยความสะดวกทางสังคม (เพราะไม่ใช่วันหยุดราชการ) ครอบครัวมักเลือกวันเสาร์อาทิตย์ที่ใกล้เคียงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน หรือในเดือนตุลาคม เพื่อพาลูกไปศาลเจ้า
การให้ความสำคัญแก่เด็กดูเหมือนเป็นเรื่องสากล และเมื่อพิจารณาการคำนึงถึงเด็ก ๆ ของคนญี่ปุ่น จะพบว่ามีวันหรือกิจกรรมที่สะท้อนเรื่องนี้อยู่หลายวันและมากกว่าของไทยด้วย กล่าวคือ นอกจากวันเด็กแห่งชาติ (เดิมคือวันเด็กผู้ชาย) ซึ่งเป็นวันหยุดประจำปีในวันที่ 5 พฤษภาคมแล้ว ก็ถือว่าวันที่ 3 มีนาคมเป็นวันเด็กผู้หญิงด้วย ทั้งยังมีประเพณีรับขวัญเด็กเมื่ออายุ 7, 5 และ 3 ขวบที่ว่านี้อีก
การจะเลี้ยงเด็กสักคนให้เจริญเติบโตขึ้นมาโดยมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก เป็นที่รู้กันว่าสมัยก่อนอัตราการเสียชีวิตในวัยเด็กนั้นสูง เมื่อเลี้ยงจนเติบโตได้ถึงจุดหนึ่งจึงรับขวัญหรือแสดงความขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันสักที ซึ่งของไทยก็มีแนวคิดคล้าย ๆ กัน เราถึงได้มีสำนวน “สามวันลูกผี สี่วันลูกคน” นัยว่าตอนเกิดมาใหม่ ๆ ยังไม่หลุดพ้นจากความเป็นเจ้าของโดยผี เมื่อขึ้นวันที่ 4 นั่นแหละจึงเชื่อว่าเด็กรอดแน่และกลายเป็นลูกมนุษย์เต็มตัว
ในสมัยโบราณ ประเพณีการฉลอง “เจ็ด-ห้า-สาม” จำกัดวงอยู่ในชนชั้นซามูไร พอมาถึงสมัยเมจิ (พ.ศ. 2411 – 2455) สามัญชนก็รับมาปฏิบัติด้วยและแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน กิจกรรมในการรับขวัญเมื่อถึงอายุนั้นมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป อายุ 3 ขวบ จัดพิธีรับขวัญทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง เรียกว่า “ไว้ผม” (髪置き; Kami-oki) เพราะตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่างอายุ 2 ขวบ พ่อแม่จะโกนผมเด็กสม่ำเสมอ เมื่อถึง 3 ขวบจึงเริ่มปล่อยให้ผมยาวได้ เป็นสัญลักษณ์บอกว่าไม่ใช่เด็กทารกอีกต่อไปแล้ว ส่วนอายุ 5 ขวบ เป็นการฉลองสำหรับเด็กผู้ชาย มีพิธีที่เรียกว่า “สวมฮะกะมะ” (袴着; Hakama-gi) ซึ่งก็คือการใส่ชุดกิโมโนที่เรียกว่าฮะกะมะเป็นครั้งแรก และอายุ 7 ขวบ จัดพิธีรับขวัญเด็กผู้หญิง เรียกว่า “พันสายคาดเอว” (帯解き; Obi-toki) เป็นการแก้เชือกผูกเอวชุดกิโมโนของเด็กผู้หญิง และเปลี่ยนมาใช้ผ้าคาดเอวซึ่งเรียกว่า “โอะบิ” แทน
เมื่อมองต่อจาก “เจ็ด-ห้า-สาม” จะพบประเด็นที่คนญี่ปุ่นคงต้องรับมือจากนี้ต่อไป นั่นคือจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงและมูลค่าทางเศรษฐกิจของการใช้ชุดกิโมโน เรื่องอัตราการเกิดลดลงนั้นกลายเป็นปัญหาระดับชาติมาพักใหญ่แล้ว ข้อมูลในช่วงประมาณสิบปีของทางการมีดังนี้
นอกจากญี่ปุ่นจะมีประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นทุกปีแล้ว ทรัพยากรมนุษย์รุ่นหนุ่มสาวที่จะมาทำงานโอบอุ้มระบบสวัสดิการสังคมก็จะลดน้อยลงทุกทีด้วย ตัวเลขอัตราการเกิดต่ำกว่าอัตราการตายอย่างเห็นได้ชัดในช่วงสิบปีมานี้ และขณะที่ประเพณีเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ส่วนหนึ่ง แต่ต่อไป ช่วง “เจ็ด-ห้า-สาม” จะไม่ใช่ฤดูทำเงินของธุรกิจให้เช่ากิโมโนอีก
จากสภาพเช่นนี้ ธุรกิจกิโมโนของญี่ปุ่นคงได้รับผลกระทบแน่ ชุดกิโมโนในญี่ปุ่นมีทั้งแบบให้เช่าและแบบขายขาด ลำพังมูลค่าการขายขาดก็ลดฮวบฮาบอยู่แล้วเพราะปัจจัยด้านวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ในภายภาคหน้าปัจจัยด้านจำนวนเด็กและประชากรลดลงคงแสดงผลออกมาอีกอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก มูลค่าการค้าปลีกของกิโมโนลดลงมาก ตัวเลขจากสถาบันวิจัยยะโน (Yano Research Institute) ชี้ว่า ในปี 2014 คือ 309,000 ล้านเยน (ราว 100,000 ล้านบาท) ขณะที่ของปี 2003 คือ 627,000 ล้านเยน (ราว 200,000 ล้านบาทเศษ) ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
ส่วนการให้เช่านั้น แม้ไม่มีตัวเลขมูลค่าค่าเช่าทั้งหมด แต่สำหรับกรณีใกล้ตัวอย่างชุดเด็ก สิ่งที่ทราบกันโดยทั่วไปคือ ค่าเช่าชุดก็ไม่ใช่ว่าจะถูก อย่างต่ำ ๆ ชุดละ 4,000-5,000 บาทขึ้นไปทั้งนั้น นั่นคือตัวเงินที่ร้านจะได้ ลองคิดคร่าว ๆ จากจำนวนเด็กที่ลดลงราว 29,000 คนจากปี 2015 มาสู่ปี 2016 จะพบว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจตรงนั้นจะหายไปประมาณ 120 ล้านบาทสำหรับร้านกิโมโน
ทว่าเมื่อหามุมดี ๆ ในฤดูกาลนี้บ้างก็จะพบว่า ชุดกิโมโนของญี่ปุ่นไม่เคยเป็นสิ่งที่ถูกมองว่า ‘แปลก’ แม้เมื่อนำมาใส่ในชีวิตประจำวัน จุดนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชม จริงอยู่ที่ว่าการใส่กิโมโนไปทำงานอาจเดินเหินไม่สะดวก ประกอบกับราคาก็แพงเหลือหลายหากจะซื้อ ชนิดที่ว่าบางชุดราคาเกินล้านบาท แต่การสร้างบรรยากาศตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะจุดเริ่มต้นในช่วง “เจ็ด-ห้า-สาม” นี้ ทำให้คนญี่ปุ่นไม่รู้สึกว่าชุดกิโมโนเป็นเรื่องไกลตัว
การได้เห็นคนญี่ปุ่นไม่ว่าหญิงหรือชายใส่กิโมโนในโอกาสสำคัญ เช่น วันแต่งงาน วันรับปริญญา หรือใส่เดินทางไปไหนมาไหนทั้งอย่างนั้นเลย เช่น ขึ้นรถไฟ นั่งแท็กซี่ ตลอดจนทำงานในร้านอาหาร ก็ไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติแต่อย่างใด เมื่อยังเป็นเรื่องใกล้ตัว การปรับรูปแบบชุดให้เข้ากับโอกาสและการใช้งาน ตลอดจนการออกแบบลวดลายจึงมีหลากหลายไปด้วย ทั้งชุดแบบเต็มยศและชุดลำลอง (ในเมืองไทยเคยมีการรณรงค์ให้แต่งชุดไทย แต่ดูเหมือนเกิดกระแสขึ้นมาไม่นานแล้วก็เงียบหายไป คงต้องไปคิดกันต่อว่าเพราะอะไร)
หากถามคนต่างชาติว่า “คิดว่าความเป็นญี่ปุ่นอยู่ตรงไหน” คงได้ตัวอย่างคำตอบที่เป็นรูปธรรมมากมาย กิโมโนคงเป็นหนึ่งในนั้น แต่หากถามคนญี่ปุ่น บางทีคนญี่ปุ่นอาจอ้ำอึ้งนึกไม่ออก เพราะสิ่งที่ทำเป็นประจำได้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาจนไม่ทันคิดว่านั่นคือเอกลักษณ์ที่คนจากภายนอกรู้สึกสะดุดตา ความธรรมดาที่ทำต่อเนื่องกันมาเป็นร้อย ๆ ปีนั่นเองคือสิ่งที่เราเรียกว่าวัฒนธรรม และหลาย ๆ ครั้งสิ่งนั้นได้กลายจุดขายของประเทศไปด้วยอย่างเช่นชุดกิโมโน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พอจะคาดการณ์ได้นับจากนี้ไปคือ ในอนาคตแม้กิโมโนจะยังคงอยู่ในชีวิตประจำวันคู่สังคมญี่ปุ่น แต่ธุรกิจนี้จะคาดหวังกำไรไม่ได้เหมือนก่อนขณะที่ประชากรเริ่มลดลง และในเมื่อไม่อาจคาดหวังจำนวนลูกค้าในประเทศได้ ก็คงต้องปรับตัว จุดที่น่ามองคือลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติ ที่อาจจะอยากเช่าและซื้อขาดในราคาที่ถูกลง
**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.mgronline.com


