ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies
Tokyo University of Foreign Studies
สื่อมวลชนญี่ปุ่นเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับไทยอย่างกว้างขวางเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 ของไทย และในช่วงปลายเดือนนี้ เจ้าชายอะกิชิโนะแห่งญี่ปุ่นพร้อมด้วยพระชายาทรงมีหมายกำหนดการจะเข้าร่วมพระราชพิธีพระถวายพระเพลิงพระบรมศพ เมื่อนั้นก็จะมีข่าวใหญ่ในญี่ปุ่นอีกเช่นกัน
พอเดือนตุลาคมเวียนมาบรรจบ ผมในฐานะผู้รับผิดชอบ “ญี่ปุ่นมุมลึก” ซึ่งตามปกติพึงนำเสนอแง่มุมเกี่ยวกับญี่ปุ่นอันเป็นที่ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์หรือน่าสนใจเป็นประจำ ได้ตั้งใจปรับโทนของเนื้อหาให้อยู่ในภาวะสงบเสงี่ยมขณะที่ยังคงเรื่องของญี่ปุ่นไว้ โดยได้นำเรื่องราวหรือเรื่องเล่าในเชิงบวกมาถ่ายทอดไว้ และตั้งใจจะทำเช่นนั้นไปตลอดเดือนดังที่ได้ทำในช่วงเดียวกันของเมื่อปีที่แล้ว
ในเดือนนี้เมื่อปีที่แล้ว คนไทยทั้งประเทศประสบความสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต แม้เป็นความจริง แต่คนไทยก็อยากให้เป็นความฝันเพราะการที่มิ่งขวัญแห่งใจจากไปนั้นทำให้หลักแห่งชีวิตและจิตวิญญาณสั่นคลอนแม้จะรู้ว่าถึงอย่างไรชีวิตก็ยังจะต้องดำเนินต่อไปก็ตาม สำหรับครั้งนี้ผมอยากจะเล่าเรื่องความฝันซึ่งเป็นฝันประหลาดอันเกี่ยวกับการรอคอย และน่าจะหมายถึงรอยยิ้มแห่งความปีติหลังจากความเศร้าได้ผ่านพ้นไป ความฝันที่ว่านี้คือหนึ่งความฝันในผลงาน “ฝันสิบราตรี” ของนะสึเมะ โซเซะกิ (夏目漱石; Natsume Sōseki) นักประพันธ์เอกของญี่ปุ่นซึ่งเคยเป็นภาพปรากฏบนธนบัตรหนึ่งพันเยน
แม้บางครั้งเราไม่อาจทำให้ความจริงกลายเป็นความฝันได้ แต่อย่างน้อย ถ้าเรายิ้มให้กับความจริงได้ ไม่ว่าความจริงนั้นจะหนักหนาหรือยาวนานสักแค่ไหน เราก็จะผ่านมันไปได้ในที่สุด นั่นอาจเป็นสิ่งที่นะสึเมะ โซเซะกิต้องการสื่อใน “ฝันคืนแรก” ก็เป็นได้
คืนแรก
ข้าพเจ้าฝันว่า...
นั่งกอดอกอยู่ที่ข้างหมอน มีผู้หญิงนอนหงาย พูดเสียงแผ่วเบาว่ากำลังจะตายแล้ว ผมยาวของเธอแผ่สยายอยู่บนหมอน ล้อมกรอบวงหน้ารูปไข่ แก้มยุบตอบเป็นสีขาวจัด และมีสีเลือดระเรื่อพองาม แน่ทีเดียวริมฝีปากเป็นสีแดง ดูไม่เหมือนว่าเธอกำลังจะตายแม้แต่น้อย แต่ทว่าเสียงแผ่วเบาของเธอพูดชัดเจนว่าจะตายแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่านี่คงจะตายเป็นแน่ จึงค้อมตัวจากข้างบนก้มลงถามว่า “อย่างนั้นหรือ กำลังจะตายแล้วอย่างนั้นหรือ”
“กำลังจะตายแล้ว” เธอว่าพลางลืมตากว้าง ในดวงตาโตชุ่มฉ่ำที่มีขนตายาวล้อมคลุมเป็นกรอบอยู่นั้นมีแค่เพียงแผ่นพื้นสีดำสนิทของดวงตา ที่เบื้องลึกของแผ่นลูกตาดำสนิทมีภาพของข้าพเจ้าปรากฏเด่นชัดขึ้นมา
เมื่อมองลงไปที่ประกายตาดำซึ่งดูลึกล้ำประหนึ่งจะทะลุได้ ข้าพเจ้าก็คิดว่านี่เธอจะตายจริง ๆ กระนั้นหรือ จึงแนบปากสู่ข้างหมอนอย่างนุ่มนวล แล้วถามซ้ำ ๆ อีกว่า “ไม่ตายใช่ไหม ไม่เป็นไรใช่ไหม” เช่นนั้นแล้ว เธอเบิกตามองอยู่อย่างนั้นด้วยดวงตาสีดำมีแววง่วงซึม แล้วก็เป็นอย่างที่คิดคือ เธอพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แต่...จะตายแน่แล้ว ช่วยไม่ได้จ้ะ”
พอข้าพเจ้าถามอย่างตั้งอกตั้งใจว่า “ถ้างั้นมองเห็นหน้าฉันไหม” เธอว่ายิ้ม ๆ กับข้าพเจ้า “มองเห็นหรือเปล่า นั่นไง มันสะท้อนที่อยู่ที่นั่นใช่ไหมล่ะ” ข้าพเจ้าเงียบ เลื่อนหน้าออกจากหมอน กอดอก พลางคิดว่าเธอจะตายเสียจริง ๆ กระนั้นหรือ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอพูดอีกว่า “ถ้าฉันตาย ช่วยฝังให้ด้วย ใช้เปลือกหอยมุกอันใหญ่ขุดหลุม แล้วก็ช่วยเอาสะเก็ดดาวที่ตกลงมาจากฟากฟ้าวางไว้เป็นเครื่องหมายบนหลุมศพ แล้วก็รอฉันที่ข้างหลุมศพ ฉันจะมาพบเธออีก”
ข้าพเจ้าถามว่า “แล้วเธอจะมาพบฉันเมื่อไรล่ะ”
“พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตกใช่ไหม แล้วก็ขึ้นอีกใช่ไหม จากนั้นก็ตกอีกใช่ไหม ขณะที่พระอาทิตย์สีแดงเคลื่อนจากตะวันออกไปสู่ตะวันตก จากตะวันออกคล้อยลงทางตะวันตก เธอจะรอฉันได้ไหม”
ข้าพเจ้าพยักหน้าเงียบ ๆ เธอปรับเสียงที่แผ่วเบาให้หนักแน่นขึ้นระดับหนึ่งแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “รอฉันร้อยปีนะ”
“ร้อยปี...กรุณานั่งรอฉันที่ข้างหลุมศพ เพราะฉันจะมาพบเธออย่างแน่นอน”
ข้าพเจ้าตอบแค่ว่าจะรอ จากนั้นภาพของข้าพเจ้าซึ่งสะท้อนอยู่ในลูกตาดำสีนิทของเธออย่างแจ่มชัดก็สั่นไหวจางลงไป ครั้นประหวัดว่าภาพไหวแล้วจางหายไปราวกับภาพเงาบนผิวน้ำนิ่งที่ไหวยวบยามน้ำกระเพื่อม ดวงตาของผู้หญิงก็ปิดลงโดยพลัน น้ำตาหยดลงจากหว่างขนตายาว...เธอตายแล้ว
หลังจากนั้นข้าพเจ้าลงไปที่สวน ขุดหลุมด้วยเปลือกหอยมุก เป็นเปลือกหอยมุกขนาดใหญ่ มีขอบเรียบ คม ทุกครั้งที่ตักดินขึ้นมา ด้านหลังแผ่นเปลือกหอยต้องแสงจันทร์ระยิบระยับ ทั้งยังมีกลิ่นดินชื้น ๆ อยู่ด้วย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ขุดหลุมเสร็จ ข้าพเจ้าลำเลียงร่างหญิงผู้นั้นใส่ลงหลุม เอาดินที่อ่อนนุ่มกลบจากด้านบนอย่างนุ่มนวล แสงจันทร์ต้องหลังเปลือกหอยมุกทุกครั้งที่ตักดินกลบ
จากนั้นข้าพเจ้าก็เก็บสะเก็ดดาวที่ตกลงมา วางลงบนดินอย่างเบามือ เศษดาวมีรูปร่างกลม ขอบมุมของมันคงถูกลิดจนเรียบระหว่างทางที่กินเวลายาวนานยามตกลงจากฟากฟ้า ขณะที่อุ้มมันขึ้นวางลงบนดิน หน้าอกและมือของข้าพเจ้าอุ่นขึ้นหน่อยหนึ่ง
ข้าพเจ้านั่งบนตะไคร่ คิดว่าจากนี้ไปคงรออยู่อย่างนี้ร้อยปี กอดอกนั่งมองหินหลุมศพก้อนกลม ๆ ระหว่างนั้นพระอาทิตย์ก็ขึ้นมาทางทิศตะวันออกเหมือนที่ผู้หญิงพูด เป็นอาทิตย์สีแดงดวงใหญ่ และนั่นก็จะเป็นไปอย่างที่ผู้หญิงพูดอีกว่าท้ายสุดก็จะไปสู่ทิศตะวันตก สีแดงนั้นเดี๋ยวเดียวก็หายลับไป ข้าพเจ้านับ “หนึ่ง”
พอผ่านไประยะหนึ่ง ดวงอาทิตย์สีแดงก่ำก็ขึ้นเอื่อย ๆ สู่ท้องฟ้า และตกหายลับไปเงียบ ๆ ข้าพเจ้านับ “สอง”
ขณะที่ตัวเองนับหนึ่งสองไปอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่ามองพระอาทิตย์สีแดงไปกี่ครั้งแล้ว ไม่ว่าจะนับ...นับอย่างไร พระอาทิตย์สีแดงก็ขึ้นสูงผ่านเลยเหนือศีรษะไปอีกอย่างไม่มีที่สิ้น แต่แม้กระนั้นร้อยปีก็ยังมาไม่ถึงเสียที ลงท้ายข้าพเจ้ามองดูตะไคร่ลามเลียขึ้นหินกลม นึกได้ว่าตัวเองคงถูกผู้หญิงหลอกเสียแล้วกระมัง
ว่าแล้วลำต้นสีเขียวก็ยืดเอียงออกจากใต้หินลู่มาทางข้าพเจ้า ขณะที่มองดูอยู่นั้น ลำต้นยืดยาวขึ้นมาหยุดเมื่อถึงแถวหน้าอกของข้าพเจ้าพอดี พอได้คิด ที่ยอดของลำต้นซึ่งไหวไปมาเบา ๆ ช่อดอกตูมเรียวยาวช่อหนึ่งที่เอนย้อยเล็กน้อยก็แผ่กลีบดอกบานออกเต็มที่
ที่ปลายจมูกของข้าพเจ้า ดอกลิลลีสีขาวปลั่งกำจายกลิ่นหอมจัดปานแซกซอนถึงกระดูก หยาดน้ำค้างจากข้างบนอันไกลห่างพลันหยดลงตรงนั้น ยังให้ดอกโอนเอนไหวพะเยิบด้วยน้ำหนักของตัวดอก ข้าพเจ้ายืดคอไปข้างหน้า และจุมพิตลงบนกลีบดอกขาว...ฉ่ำน้ำค้างเย็น ครั้นถอนใบหน้าห่างจากดอกลิลลี ข้าพเจ้าก็มองฟ้าไกลโดยมิทันได้คิด ดาวยามรุ่งสางเพียงดวงเดียวกะพริบแสง ยามนี้เองที่ข้าพเจ้าได้รู้เป็นครั้งแรกว่า “ร้อยปีมาถึงแล้วสินะ”
**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.mgronline.com