xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องสนุกรอบทิศกับรถไฟ และสถานีรถไฟญี่ปุ่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"

ยุคที่คนสัญจรไปมาด้วยรถไฟกันอย่างสมัยนี้ทำให้อดไม่ได้ที่ชีวิตจะเกี่ยวพันกับรถไฟไม่มากก็น้อย ความที่รถไฟและสถานีรถไฟมักคราคร่ำไปด้วยผู้คนก็ทำให้ได้เจอเรื่องราวประทับใจ ดีบ้างร้ายบ้างประปราย คราวนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังโดยมีฉากเป็นรถไฟและสถานีรถไฟกันอีกเช่นเคยค่ะ

ฉันไม่เคยไปประเทศไหนแล้วรู้สึกว่าการได้เดินภายในสถานีรถไฟเป็นเรื่องสนุกเหมือนในญี่ปุ่นเลย ขนาดนิวยอร์กเองก็มีสถานีรถไฟชุมทางที่เต็มไปด้วยร้านรวงและศูนย์อาหาร ก็ยังไม่น่าเดินเท่ากับสถานีรถไฟของญี่ปุ่นซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย เช่น ร้านขายขนม ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายดอกไม้ ร้านหนังสือ ร้านเสื้อผ้า ร้านขายของจุกจิก ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และมักมีห้างสรรพสินค้าอยู่ในอาคารเดียวกับสถานีด้วย บางคราวก็มีร้านเฉพาะกิจที่มาตั้งขายเป็นแผงลอยชั่วคราว เป็นสินค้าเกษตรบ้าง สินค้าประจำจังหวัดบ้าง งานฝีมือบ้าง
ภาพจาก http://tokyolucci.jp/pandagift
ความน่าสนใจของร้านค้าเหล่านี้คงหนีไม่พ้นตัวสินค้าที่จัดวางให้เห็นอย่างละลานตาราวกับงานแสดงสินค้า ดึงดูดให้คนเร่เข้าไปหาได้เองเหมือนผึ้งเจอน้ำหวานในดอกไม้ รวมทั้งความมีเอกลักษณ์และความสวยงามของตัวสินค้าและแพ็คเกจเองที่ดูดี ทำให้มองแล้วน่ารับประทาน น่าใช้ น่าซื้อไปหมด

นอกจากนี้ คนขายเองก็จะคอยทัก “อิรัชไชมาเสะ” พร้อมรอยยิ้มเวลาลูกค้าเดินผ่าน และเชิญชวนให้มาดูสินค้าแบบไม่บังคับซื้อ ด้วยความที่สถานีรถไฟญี่ปุ่นโดยเฉพาะตามสถานีใหญ่ๆ มีทุกสิ่งให้เลือกสรรครบวงจรแบบนี้จึงสะดวกสบายมาก นัดเจอเพื่อนก็สะดวก จะเดินเล่นก็ได้ หาของอร่อยรับประทานก็ได้ตามสะดวกโดยไม่ต้องออกจากสถานี หรือถ้าไปถึงก่อนเวลานัดก็เดินเล่นเพลิน ๆ ได้สนุกอีก

ฉันเคยเห็นร้านขายนมขวดที่ชานชาลาของสถานีอะกิฮะบะระ และหน้าทางเข้าออกสถานีโอคะจิมะจิในกรุงโตเกียว เป็นร้านขายนมในขวดแก้วเรียงรายกันเป็นทิวให้เลือกได้หลากรสหลากยี่ห้อ มีป้ายใหญ่ ๆ สีสันสวยงามบอกราคาของนมแต่ละขวด เวลาซื้อก็ยืนดื่มกันตรงนั้นแล้วส่งขวดแก้วคืนให้คนขาย ส่วนใหญ่เห็นคนที่ซื้อเป็นผู้ชายวัยทำงานสวมสูท ซึ่งก็ดูน่ารักดีเหมือนกันที่เห็นลุง ๆ ยืนดื่มนม ร้านแบบนี้ดูคลาสสิคเหมือนได้ย้อนยุคกลับไปสมัยโบราณอย่างไรก็ไม่ทราบ แม้ฉันจะไม่ทราบประวัติของร้านขายนมขวดแบบนี้ว่ามีมาตั้งแต่ยุคไหน แต่พอได้ไปอยู่หน้าร้านและยืนดื่มนมอยู่ตรงนั้นแล้ว มันชวนให้คิดถึงและโหยหาอย่างบอกไม่ถูก
ภาพจาก http://photofujii.exblog.jp
แม้ตามสถานีรถไฟญี่ปุ่นจะเต็มไปด้วยของกิน แต่บนรถไฟกลับไม่เคยเห็นใครรับประทานอะไรเลย ที่น่าแปลกใจคือไม่มีป้ายห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่มบนรถไฟด้วย มีบางคราวเห็นคนยืนดื่มกาแฟกระป๋องบ้าง หรือเห็นกระป๋องกาแฟเปล่าวางอยู่ใต้ที่นั่งหรือกลิ้งไปมาในขบวนรถไฟอยู่บ้างเหมือนกัน ฉันเคยหิว ๆ คิดว่าจะรับประทานข้าวปั้นบนรถไฟได้ไหมนะ มองหาป้ายไปรอบขบวนก็ไม่เจอป้ายห้าม แต่เห็นคนอื่นเขาไม่ทำกันก็เลยรู้สึกไม่กล้าทำ ก็ไม่ทราบว่าจริง ๆ แล้วทำได้หรือเปล่า

เพื่อนผู้อ่านที่เคยไปญี่ปุ่นคงทราบดีว่ารถไฟของญี่ปุ่นสะอาดมาก คล้ายๆ กับรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดินในกรุงเทพฯ ฉันคิดว่าที่รถไฟฟ้าบ้านเราสะอาดดีคงเป็นเพราะเขาห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่มบนรถไฟนี่เอง ถ้าเผลอลืมเรื่องนี้แล้วไปซื้อกาแฟจากร้านรวงใกล้ทางเข้าออกสถานีนี่คงเซ็งไปเลยนะคะ ไม่ทิ้งก็ต้องดื่มจนจุกกันไปข้าง ไม่งั้นก็ขึ้นรถไฟไม่ได้

พูดถึงความสะอาดของรถไฟแล้วก็นึกได้ว่าคราวหนึ่งเคยเผชิญกับความรู้สึกสกปรกอย่างรุนแรงบนรถไฟในญี่ปุ่น วันนั้นฉันกำลังรอรถไฟอยู่ พอรถไฟมา เห็นแต่ละตู้อัดแน่นไปด้วยผู้คน แล้วตาก็เหลือบไปเห็นตู้หนึ่งโล่งอย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยความดีใจเลยไม่ทันคิดอะไร พอขึ้นไปปุ๊บ จมูกก็ปะทะกับกลิ่นเหม็นเน่าฉุนกึกตลบอบอวลอยู่ในอากาศ ฉันมองรอบตัวหาที่มาของกลิ่นก็เจอชายร่างอ้วนคนหนึ่งตัวมอมแมมเกินบรรยาย ขาเน่าเฟะ คนอื่น ๆ นั่งถอยห่างจากเขากันหมด กลิ่นนั้นรุนแรงเกินทนจนฉันต้องรีบเปลี่ยนตู้รถไฟเมื่อถึงสถานีต่อไป พอออกจากตู้นั้นได้ฉันก็รีบสูดหายใจแทบไม่ทัน ไม่ทราบว่าทำไมคนอื่น ๆ ที่ยังนั่งประปรายกันอยู่ในตู้นั้นถึงนั่งอยู่ได้ เป็นเพราะเกรงว่าจะเป็นการไม่สุภาพกับผู้ชายคนนี้ หรือว่าคนอื่นเป็นหวัดเลยไม่ได้กลิ่นก็ไม่ทราบ ช่วงนั้นเวลาจะขึ้นรถไฟสายเดิม ฉันเลยไม่ยอมขึ้นตู้นั้นไปพักใหญ่เลยทีเดียว

ครั้งหนึ่งฉันเดินอยู่ในสถานีรถไฟชิบุยะ กำลังจะไปหาเพื่อนชาวไต้หวันที่นัดกันไว้ คนเดินกันขวักไขว่ทุกทิศทางในสถานี ฉันเหลือบไปเห็นคู่ชายหญิงวัยกลางคนชาวเอเชียยืนอยู่ข้างทางมองคนที่เดินสัญจรไปมาด้วยแววตาไม่มั่นใจ เห็นอย่างนั้นฉันเลยเดาว่าเขาคงต้องการจะไปไหนสักแห่งแล้วไปไม่ถูก หากเขาจะถามใครสักคน คนญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษกันเสียอีก แถมในช่วงนั้นคนต่างชาติก็ไม่เยอะให้ถามได้เท่าสมัยนี้ ป้ายบอกทางส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด เดาอย่างนั้นแล้วฉันก็เลยเดินเข้าไปถามว่าหลงทางหรือ พวกเขามีสีหน้าโล่งอกและเริ่มยิ้มออกมา ฝ่ายชายยื่นแผนที่ให้ฉันดูและบอกว่าต้องการไปโรงแรมนี้แต่ไม่รู้ว่าไปทางไหน ดูจากแผนที่แล้วโรงแรมนั้นเดินไกลพอสมควรและลัดเลี้ยวเยอะ บอกทางยากอยู่ถ้าไม่เห็นของจริง ก็เลยไปส่งถึงที่เพราะง่ายกว่า

สมัยก่อนฉันไม่เคยได้สังเกตเรื่องนักท่องเที่ยวหลงทางเลย จนกระทั่งตอนฉันไปเที่ยวออสเตรเลียคนเดียวและกำลังยืนกางแผนที่แบบมืดแปดด้านว่าจะไปทางไหนดี อ่านแผนที่ก็ยังงง ตอนนั้นทั้งกลัว ทั้งกังวล อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาถามว่าหลงทางหรือ แค่นั้นก็ช่วยชีวิตฉันได้มากแล้ว ตั้งแต่นั้นมาเลยตั้งใจว่าจะตอบแทนน้ำใจนี้ด้วยการช่วยคนอื่นต่อ ๆ ไป ว่าแต่ฉันก็มักเจอคนเข้ามาช่วยบอกทางให้เองในแทบทุกประเทศที่ฉันไปยืนกางแผนที่รวมถึงในสหรัฐฯ และญี่ปุ่นด้วย สงสัยตอนหลงทางหน้าตาฉันคงจะเด๋อด๋าเอามาก

เพื่อนผู้อ่านที่รักเคยไปสถานีรถไฟใหญ่ ๆ ในกรุงโตเกียวที่คนพลุกพล่านมาก ๆ ไหมคะ สมัยก่อนที่ฉันไปเที่ยวเฉย ๆ ฉันก็เดินทอดน่องไปเรื่อยตามประสา พอเข้ามาในสถานีรถไฟใหญ่ ๆ เจอคนมากมายที่สัญจรไปมาอย่างรวดเร็วก็ตกใจ กลัวว่าเดี๋ยวจะเดินไปชนคนโน้นคนนี้เข้า ควรจะเดินตรงไหนดีนะถึงจะไม่ชน ไม่ทราบว่าเพื่อนผู้อ่านเป็นเหมือนกันหรือเปล่า

แต่พอใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นแล้ว ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันเดินโดยไม่ชนใครหรือกังวลว่าจะเดินชนใครเลยในสถานีรถไฟใหญ่ ๆ ที่คนขวักไขว่ไปทั่วสารทิศและเคลื่อนตัวกันอย่างรวดเร็ว เสมือนกับว่าร่างกายมันรู้ช่องว่างที่จะปลีกตัวเดินเข้าไปของมันเอง หากจะสวนกับใครเข้า ร่างกายก็จะพลันบิดออกไปด้านข้างแทรกหลืบอากาศว่าง ๆ ออกไปได้อย่างรวดเร็ว

ฉันไม่ได้เอะใจในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อยจนกระทั่งฉันย้ายไปอยู่สหรัฐฯ พอกลับไปญี่ปุ่น เมื่อไปตามสถานีใหญ่ ๆ ฉันกลับเดินด้วยความสับสน ทำท่าจะชนคนโน้นคนนี้อยู่เรื่อย สร้างความแปลกใจให้ฉันมากว่า เอ๊ะ ที่ผ่านมาตอนเราอยู่ญี่ปุ่น เราก็เดินไม่ชนใคร ทำไมมาคราวนี้ถึงเดินเหมือนไม่รู้จะเดินอย่างไรดีแบบนี้

เรื่องนี้ทำให้ฉันนึกไปถึงนกเวลามันบินกันเป็นฝูง มันไม่เคยบินชนกันเสียที ไม่ว่าจะบินผาดโผนไปทิศไหนก็ตาม คงไม่มีนกตัวไหนบินแล้วเผลอเอาปีกไปตบเอานกอีกตัวร่วงลงไปแน่ คงเพราะความเคยชินที่อยู่ในสังคมนกฝูงนั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบที่ทำให้มันบินอย่างรู้ที ฉันก็เดาส่งเดชไปเรื่อยนะคะ

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ



"ซาระซัง"
สาวไทยที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.
กำลังโหลดความคิดเห็น