บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
การที่อยู่ ๆ คุณนายรุริโกะออกปากชวนผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันเพียงครั้งเดียวด้วยเหตุที่ชักนำให้มาพบกันอย่างประหลาดโดยไม่มีใครแนะนำ ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ไม่รู้ว่าทำงานอยู่ที่ไหนตำแหน่งอะไร ขึ้นรถไปด้วยเช่นนี้ ทำฝ่ายที่ถูกชวนถึงกับอึ้งไปด้วยความงงงันอยู่อึดใจหนึ่งก่อนรีบปฏิเสธว่า
“ไม่เป็นไรครับ ดูจะเป็นการรบกวนเกินไป”
“อะไรกันค่ะ เกรงใจอย่างนี้กลับทำให้ดิฉันไม่สบายใจ แต่แรกตั้งใจจะดื่มน้ำชาคุยกันก็ไม่ได้เสียแล้ว เลยคิดว่าอย่างน้อยถ้านั่งรถไปด้วยกันก็จะได้คุยกันบ้าง อยากคุยเกี่ยวกับเรื่องคุณอะโอะกิค่ะ”
“จะไม่เป็นทำให้คุณลำบากหรือครับ”
ชื่ออะโอะกิจูงใจให้ชินอิชิโรสนใจที่จะขึ้นไปรถไปด้วยตามคำชวน แม้ว่าจะยังรักษาท่าทีตามมารยาท
“แหม ลำบากอะไรกันค่ะ ดิฉันเองต่างหากที่ทำให้คุณต้องลำบาก”
กระแสเสียงของคุณนายโฉมงามหวานแหลมและคมกริบราวมีดดาบที่เพิ่งลับเสร็จใหม่ ๆ และระหว่างที่ชินอิชิโรกำลังงงงันไปกับคำพูดอันมีพลังอยู่นั้นเอง คุณนายรุริโกะก็ส่งสัญญาณไปยังพนักงานที่ยืนคอยให้บริการอยู่ตรงนั้น ซึ่งรีบเดินออกไปที่หน้าอาคารและตะโกนเรียกคนขับรถเสียงดัง
รถยนต์คันใหญ่สีน้ำเงินที่ชินอิชิโรเคยเห็นครั้งหนึ่งแล้วที่ฌาปนสถานอะโอะยะมะ เปิดไฟหน้าสว่างจ้าแล่นผ่านความสลัวของยามเย็นต้นฤดูร้อนเข้ามาจอดเทียบหน้าทางเข้าอาคาร ผู้คนที่มาชมคอนเสิร์ตแยกย้ายกันกลับไปหมดแล้วและในบริเวณลานจอดรถไม่มีรถยนต์เหลืออยู่แม้แต่คันเดียว
“เชิญคุณก่อนเลยค่ะ”
คุณนายตีขลุมเชิญชินอิชิโรให้ขึ้นรถเหมือนเป็นเรื่องปกติโดยไม่คอยฟังคำยินยอมพร้อมใจของอีกฝ่าย
ชินอิชิโรสับสนด้วยความรู้สึกดีใจระคนกังวลใจ คือทั้ง ๆ ขัดเขินไม่สบายใจที่ต้องนั่งไปในรถคันเดียวกับคุณนายโฉมงามแต่ใจนั้นกลับอยากนั่งรถไปด้วย รู้สึกว่าการที่จะก้าวเท้าขึ้นไปบนรถนั้นเป็นเหมือนกับก้าวไปในแยกหนึ่งของทางสองแพร่งที่ไม่รู้ว่าจะมีชะตากรรมอย่างไรรอคอยอยู่เบื้องหน้า จึงยังลังเลไม่ก้าวขึ้นไปตามคำเชิญ
“ตายจริง ทำไมทำท่าเกรงใจอย่างนั้นล่ะคะ ถ้าอย่างนั้น ขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันขึ้นก่อนละ”
ว่าแล้วก็ก้าวเหยียบขั้นบันไดขึ้นไปนั่งบนรถด้วยท่วงทีลีลาสง่างาม
“ขึ้นมาเร็วเลยค่ะ”
เธอหันมาเร่งพร้อมกับยิ้มหวาน ท่าทีที่แสดงความตั้งใจจริงของคุณนายรุริโกะทำให้ชินอิชิโรไม่อาจดึงดันปฏิเสธอยู่ต่อไปได้ จึงตัดใจก้าวเหยียบขั้นบันไดขึ้นไปบนรถ ดึงที่นั่งฟากที่เยื้องกับคุณนายโฉมงามให้กางออกแล้วทำท่าจะทรุดตัวลงนั่ง แม่ม่ายโฉมงามเบิกตางามด้วยความประหลาดใจ แล้วห้ามไว้
“ตายจริง นั่นคุณจะทำอะไร คุณก็รู้ว่านั่นไม่ใช่ที่นั่งสำหรับคุณ ทำไมถึงได้ขี้เกรงใจนักหนา เชิญมานั่งตรงนี้เถิดค่ะ มานั่งข้างดิฉัน ไม่ต้องเกรงใจเลย”
น้ำเสียงของแม่ม่ายโฉมงามมีพลังในการพูดเชิงเตือนเชิงดุชินอิชิโรอย่างได้ผล ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งเกือบจะชิดกับตัวคนชวนเชิญอย่างไม่มีทางเลี่ยง ชิดจนตัวของเขาแทบจะสัมผัสกับความนิ่มเนื้อนุ่มนวลของผิวกายภายใต้กิโมโนงดงาม
รถยนต์แล่นช้า ๆ ผ่านพนักงานของภัตตาคารที่มาตั้งแถวส่งแขก ลงเนินเตี้ย ๆ หน้าอาคารแล่นไปทางแมกไม้เขียวชอุ่มในความมืดสลัวของสวนสาธารณะ ชินอิชิโรอารมณ์เพริดแพร้วราวตกอยู่ในความฝันที่สับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่ได้ยินเสียงพนักงานที่กล่าวคำขอบคุณส่งท้ายไล่หลังมาตามธรรมเนียม
6
การได้นั่งรถเคียงคู่มากับผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักทั้งยังเป็นหญิงงามสูงศักดิ์เช่นนี้ ทำให้ชินอิชิโรรู้สึกปลื้มปิติอย่างประหลาดเหมือนกำลังอยู่ในความฝันอันแสนสวย เหมือนเป็นพระเอกนวนิยายโรมานซ์แห่งศตวรรษที่ 20 ช่วงสามสี่นาทีจากสถานที่จัดงานคอนเสิร์ตไปยังสถานีมันเซบะชิเป็นสามสี่นาทีที่เปรียบปานอัญมณีล้ำค่าอย่างที่จะหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวมีปีกบิน สามสี่นาทีผ่านไปราวสายฟ้า เวลาทำข้อสอบยิ่งเวลาน้อยเพียงไรก็จะยิ่งต้องพยายามบังคับจิตใจให้สงบเพื่อจะได้ตอบได้อย่างถูกต้องและทันเวลา แต่สำหรับชินอิชิโรในตอนนั้น ในช่วงเวลาอันน้อยนิดเขามัวแต่ตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูกได้แต่เฝ้ามองให้เวลาอันมีค่าผ่านพ้นไปทีละนาทีสองนาที
คุณนายรุริโกะนั่งเงียบอยู่ในความสงบ ด้วยท่าทีเหมือนกำลังนั่งอยู่กับเพื่อนสนิทหรือกับสามี ยิ้มหวานของเธอเรื่อเรืองอยู่ในความมืดสลัวภายในรถ และไม่ได้เริ่มสนทนาว่าอย่างไร
จนกระทั่งเวลาแห่งความเงียบผ่านไปราวหนึ่งนาที เมื่อรถแล่นผ่านหน้าห้างมะสึซะกะยะ ชินอิชิโรจึงหาช่องชวนสนทนาขึ้นมาได้
“เมื่อตะกี้พอดีผมยืนอยู่แถวนั้นจึงได้ยินคุณพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่องและไพเราะมาก”
“อายจัง คุณได้ยินด้วยหรือ ดิฉันผันคำกิริยาไม่ค่อยเข้าหลักเข้าเกณฑ์ ได้แต่เอาคำศัพท์ที่รู้มาเรียง ๆ เข้าเท่านั้นเอง แต่คุณอันนะนักเปียโนคนนั้นเป็นคนน่ารักมาก ดิฉันคุยกับเธอก็พอแค่รู้เรื่องเท่านั้นแหละค่ะ”
“ไม่ต้องถ่อมตัว ผมทึ่งมากเลยครับ” ชินอิชิโรชมด้วยความรู้สึกจากใจจริง
“แหมเขินจริง ๆ ชมกันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ แต่ก็ดีใจค่ะ จริง ๆ แล้วอายนะคะ ดิฉันเพิ่งเรียนพิเศษมาได้แค่สองปีเอง คุณถ้าจะเรียนจบกฎหมายฝรั่งเศส”
“ครับ ผมเรียนมาราวหกเจ็ดปีตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมปลาย แต่ถ้าเป็นการสนทนาละก็ไม่ได้เรื่องเลยครับ เวลามีคนฝรั่งเศสมาที่บริษัทเขาจะจัดให้ผมไปต้อนรับเพราะเห็นว่ารู้ภาษาฝรั่งเศส แต่ผมจะเป็นใบ้ทุกครั้งครับ อย่างคุณนาย ภาษาฝรั่งเศสดีเยี่ยมแบบนี้ผมคิดว่าไปเป็นภรรยานักการทูต เข้าสังคมปารีสได้สบายทันทีเลยละครับ”
ชินอิชิโรกล่าวสรรเสริญจากใจจริง
“อย่างดิฉันนี่หรือคะ ภรรยาทูต” เธอหัวเราะเบา ๆ
ขณะพูด ชินอิชิโรสังเกตเห็นว่าใบหน้าของแม่ม่ายสาวหมองลงไปทันที ภรรยาทูต...ความใฝ่ฝันในวัยสาวของ รุริโกะคือการเป็นภรรยาของนะโอะยะที่จะเป็นนักการทูตในอนาคต เป็นภรรยาชาวญี่ปุ่นผู้งามเด่นเป็นสง่าในวงสังคมชั้นสูง ณ แดนไกล และด้วยความใฝ่ฝันเช่นนั้นเธอจึงได้เตรียมตัวด้วยการเรียนพิเศษภาษาฝรั่งเศส แต่บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างสูญหายไปสิ้นราวกับควันไฟเหลืออยู่แต่ความทรงจำ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใบหน้าอันงดงามของ รุริโกะจะหมองลงเมื่อมีคนพูดถึงการเป็นภรรยานักการทูต
ทั้งสองเงียบกันไปเป็นครู่ขณะที่รถเร่งความเร็วแล่นเรียบด้านขวาของทางรถไฟ ใกล้มันเซบะชิเข้าไปทุกที
ชินอิชิโรอยากพูดอะไรสักอย่างที่ตรงกับประเด็นที่อยากพูด
“คุณคงชอบภาษาฝรั่งเศสสินะครับ” ชินอิชิโรถามพลางสังเกตสีหน้าของคู่สนทนา
“ก็...ชอบค่ะ”
ขณะพูด ยิ้มหวาน ๆ ช่วยกลบเกลื่อนความหมองบนใบหน้าจนหมดสิ้น
“ชอบ...ชอบมากด้วยค่ะ” รุริโกะเน้นย้ำ
7
“ดิฉันชอบวรรณคดีฝรั่งเศสมาก”
เมื่อได้ยินคำตอบของคุณนายรุริโกะ ชินอิชิโรรู้สึกเหมือนขอบเขตการสนทนาเพื่อเพิ่มพูนความสนิทสนมกับแม่ม่ายสาวเปิดกว้างขึ้นทันที ไม่มีเรื่องอะไรที่จะทำให้คนเราสนิทสนมกันจริง ๆ ได้เท่ากับเรื่องวรรณกรรมและศิลปะ คนสองคนที่ไม่รู้จักกันแต่หากมีความนิยมชมชอบวรรณกรรมเรื่องเดียวกัน รักนักประพันธ์คนเดียวกัน ก็จะสนิทสนมกันได้ไม่ยาก
ชินอิชิโรดีใจที่เขาค้นพบหัวข้อที่ควรสนทนากับคุณนายรุริโกะเป็นเรื่องแรก และสนทนาต่อไปอย่างรู้สึกสนุก
“คิดว่าคงชอบงานประพันธ์ยุคสมัยใหม่อย่าง กีเดอโมปัซซังต์หรือกุสตัฟโฟลแบต์ ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ อ่านมากเลยจนต้องบอกว่าชอบทั้งงานสมัยใหม่ด้วยและก็พวกคลาสสิกด้วย แต่ขอบอกว่าไม่ชอบ กีเดอโมปัซซังต์เลย ในวงการหนังสือของญี่ปุ่น สิ่งที่เรียกว่าวรรณกรรมฝรั่งเศสและรัสเซียส่วนใหญ่ที่คนนิยมอ่านกันนั้น ส่วนใหญ่ก็เห็นมีแต่ผลงานของนักประพันธ์ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้นนะคะ”
ชินอิชิโรหัวเราะกับคำพูดเชิงประชดของรุริโกะแล้วถามต่อไปว่า
“ผมก็ไม่ชอบกีเดอโมปัซซังต์เหมือนกัน แล้วคุณชอบนักประพันธ์คนไหนหรือครับ”
“ชอบเมรีเมที่สุดค่ะ ส่วนอานาโทเล ฟรานส์ กับออคทาฟ มิลโบ ก็ไม่ถึงกับเกลียดค่ะ”
“ของเมรีเมชอบเรื่องอะไรครับ”
“ดีทุกเรื่องไม่ใช่หรือคะ อย่างเรื่องคาร์เมนที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันดี เนื้อเรื่องของต้นฉบับนี่ดีมากเลยไม่ใช่หรือคะ”
“คุณรู้สึกยังไงกับนางเอกของเรื่องนี้ครับ”
“ชอบค่ะ”
คุณนายรุริโกะตอบแล้วหัวเราะน้อย ๆ
“ดิฉันคิดนะคะว่า ผู้ชายที่ถูกผู้หญิงทิ้งและมาฆ่าผู้หญิงคนนั้นเสียเป็นคนโหดร้ายอย่างไม่มีอะไรเทียบ เป็นความเอาแต่ใจตัวที่ให้อภัยไม่ได้ ผู้ชายที่เปลี่ยนใจจากผู้หญิงคนนี้ไปเป็นคนนั้นเรื่อยไปนั้นส่วนใหญ่เขาจะมองกันเป็นเรื่องปกติ แต่ในทางตรงกันข้ามผู้หญิงคนไหนที่เปลี่ยนใจจากผู้ชายคนนี้ไปเป็นคนนั้นก็จะถูกผู้คนประณามว่าเป็นหญิงหลายใจบ้างอะไรบ้าง ทุกครั้งที่ดิฉันคิดถึงคาร์เมนที่ถูกโฮเซแทงตาย ดิฉันเป็นต้องนึกโกรธเกลียดความเอาแต่ใจตัวและความโหดร้ายของผู้ชายเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทีเดียว”
ใบหน้างามของแม่ม่ายสาวแดงระเรื่อขึ้นด้วยอารมณ์ร้อนแรงซึ่งยิ่งดูมีเสน่ห์ขึ้นอีกหลายเท่า
ชินอิชิคิดว่าเขาได้พบกับผู้หญิงที่น่ายกย่องมากคนหนึ่งที่สามารถสนทนากับผู้ชายได้ในระดับเดียวกัน และอดเทียบกับภรรยาอันเป็นที่รักของเขาไม่ได้ ชิซุโกะเป็นภรรยาที่น่ารักและดีพร้อมสมกับคำที่เรียกว่าแม่ศรีเรือน แต่ถ้าพูดถึงรสนิยมและแนวความคิดแล้วเขากับเธออยู่ห่างกันคนละฝั่งแบบเอื้อมไม่ถึงกันเลยทีเดียว แม้ว่าชิซุโกะจะเป็นคู่สนทนาที่ดีเยี่ยมเมื่อคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ เสื้อผ้า หรืออาหารการกิน ก็ตาม
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องที่ต้องใช้ความคิดในระดับที่สูงขึ้นไปสักนิดก็จะรู้สึกเหมือนคุยกับคนอ่อนโลกประมาณเด็กประถม เหมือนกับคนเดินขึ้นเขาด้วยกัน เมื่อเดินทิ้งระยะห่างกันสักร้อยเมตรก็จะพอตะโกนเรียกกันได้ แต่ถ้าห่างกันเป็นกิโลสองกิโลต่อให้ตะโกนจนคอแทบแตกก็ไม่ได้ยิน ดังนั้นในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชิซุโกะ บางครั้งชินอิชิโรอดคิดถึงช่องว่างระหว่างเขาภรรยาในด้านที่เกี่ยวกับรสนิยมและแนวความคิดไม่ได้
ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะใส่ใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว ในเมื่อการศึกษาของผู้หญิงญี่ปุ่นหยุดอยู่ในระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปหวังอะไรกับภรรยา นั่นไม่ใช่เรื่องที่ภรรยาเขาต้องรับผิดชอบ เพราะสาเหตุอยู่ที่วัฒนธรรมของญี่ปุ่นเองต่างหาก
ทว่าพอมีโอกาสได้สนทนากับคุณนายรุริโกะหญิงม่ายโฉมงามผู้นี้ ชินอิชิโรจึงได้รู้ว่าญี่ปุ่นเริ่มมีผู้หญิงสมัยใหม่ที่เพียบพร้อมทั้งรสนิยมและแนวความคิดเทียมเท่ากับผู้ชาย เมื่อได้พูดคุยกับคุณนายผู้นี้ระหว่างนั่งมาด้วยกันในรถ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าความต้องการที่ไม่เคยได้รับการเติมเต็มจากชิซุโกะภรรยาของเขานั้น ได้รับการสนองตอบอย่างสมบูรณ์ที่สุดภายในสามสี่นาทีนั้นเอง
ขณะที่คิดอยู่นั้นช่วงเวลาสามสี่นาทีอันล้ำค่าก็สิ้นสุดลง รถยนต์ลดความเร็วเมื่อวิ่งขึ้นสะพานมันเซบะชิ
“ขอบคุณมากครับที่กรุณามาส่งถึงที่นี่”
ชินอิชิโรกล่าวขอบคุณ และขณะที่กำลังเตรียมตัวลงจากรถนั้นเอง คุณนายรุริโกะก็ถามเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“คืนนี้ คุณมีเวลาว่างไหมคะ”
8
คำถามที่ชินอิชิโรไม่คาดว่าจะได้ยินจากคุณนายโฉมงาม ทำให้เขาต้องทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม
“เวลาว่างหมายถึงอะไรหรือครับ”
ชายหนุ่มไม่เข้าใจความหมายของคำถามเลยจริง ๆ จึงถามขึ้น
“คือดิฉันอยากทราบว่าคุณมีธุระอะไรที่ต้องทำที่บ้านหรือเปล่า”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ”
ชินอิชิโรรู้สึกมีความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมานิด ๆ ว่าคำถามนั้นมีความหมายอะไรแฝงอยู่
“คือ...” คุณนายโฉมงามทอดเสียงนิดหนึ่งแล้วยิ้ม “คืนนี้พอเสร็จจากการแสดงคอนเสิร์ต ดิฉันจะพานักเปียโนพี่น้องหนุ่มสาวคู่นั้นไปทานอาหารค่ำแล้วจะไปชมการแสดงด้วยกันที่โรงละครอิมพีเรียล ดิฉันซื้อตั๋วชั้นบ็อกซ์ไว้แล้ว แต่สองพี่น้องเกิดมีธุระสำคัญที่ไม่อาจปลีกตัวมาได้ก็เลยขอเลิกนัด ดิฉันก็เลยต้องไปคนเดียวและก็กำลังจะไปนี่แหละคะ ทีนี้จะไม่นั่งดูอยู่คนเดียวมันก็ยังไง ๆ อยู่ ถ้าคุณว่างและช่วยมาเป็นเพื่อนดิฉันหน่อย ก็จะดีใจมากทีเดียว”
คุณนายโฉมงามกล่าวชวนด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงอย่างชัดเจนจากใจจริงว่าอยากให้ชินอิชิโรไปด้วย ใจของชายหนุ่มหวั่นไหวไม่น้อยเมื่อได้ยินคำชวนอย่างกะทันหันแทบตั้งตัวไม่ติดเช่นนั้น สำหรับชินอิชิโรช่วงเวลาสามสี่นาทีที่ผ่านมานั้นมีคุณค่าอย่างไม่อาจประเมินได้ โลกแห่งความหรรษาที่เคยปิดสนิทตลอดมาได้เปิดกว้างขึ้นจนสุดล้าจากการที่ได้ฟังเสียงอันกังวานไพเราะ ได้สัมผัสกับอารมณ์ความรู้สึกของคุณนายโฉมงามอย่างใกล้ชิด และได้ล่วงรู้ถึงรสนิยมและแนวความคิดอันก้าวหน้าที่น่าทึ่งเกินกว่าจะเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง
ชินอิชิโรปลื้มปิติและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้สนทนากับเธออย่างถูกคอในค่ำคืนนี้ และคิดว่าจะตกลงใจไปกับเธอทันที แต่ตอนนั้นเองที่ภาพของชิซุโกะภรรยาแสนดีของเขาแวบผ่านเข้ามาในสมอง ภาพภรรยาผู้ไร้เดียงสาที่เสร็จจากการเตรียมอาหารเย็นแล้วนั่งรอการกลับของเขาที่บอกว่าไปที่สถานีชิมบาชิเพื่อส่งคนเดินทางไปเมืองนอกซึ่งน่าจะใช้เวลาราวสองชั่วโมง ภาพนั้นเข้ามาครองคุมสมองของเขาอยู่เป็นครู่
ชายหนุ่มรู้ดีว่าการปล่อยให้ชิซุโกะรอไปจนสี่ทุ่มห้าทุ่มก็ยังไม่กลับนั้นจะทำให้ภรรยาของเขาสะเทือนใจเพียงไร
“ว่ายังไงคะ ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรมากเลย ตกลงไปด้วยกันเถิดนะคะ
คุณนายรุริโกะคะยั้นคะยอเมื่อเห็นชินอิชิโรทำท่าลังเล ใบหน้างดงามทรงเสน่ห์สูงศักดิ์ของแม่ม่ายโฉมงามที่เด่นอยู่ตรงหน้าเพียงแค่เอื้อม ทอรัศมีเรื่อเรืองลบภาพน่ารักน่าเอ็นดูของชิซุโกะที่ค้างคาอยู่ในสมองของชินอิชิโรหมดสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง
“ใช่ ค่ำคืนที่เราจะได้อยู่กับชิซุโกะยังมีอีกไม่รู้เท่าไรในชีวิตแต่งงานที่จะยืนยาวต่อไปข้างหน้า แต่โอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดของคุณนายโฉมงามเช่นนี้มันจะมีสักกี่ครั้ง โอกาสโรแมนติกอันงดงามเช่นนี้จะมีสักกี่ครั้ง อาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตก็เป็นได้ แล้วเราจะละทิ้งโอกาสเช่นนั้นละหรือ...”
เมื่อคิดเช่นนั้น จิตใจของชินอิชิโรก็โลดแล่นเบาหวิวราวกับนกพิราบถูกปล่อยออกจากกรง และตัดใจตอบออกไปว่า
“ถ้าคุณไม่คิดว่าเป็นการรบกวน ผมไปด้วยก็ได้ครับ”
“คุณจะกรุณาไปกับดิฉันอย่างนั้นหรือคะ ดีจริง” เธอพูดแล้วสั่งคนขับรถเสียงดัง “ตรงไปมะรุโนะอุชิเลยนะ”
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
การที่อยู่ ๆ คุณนายรุริโกะออกปากชวนผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันเพียงครั้งเดียวด้วยเหตุที่ชักนำให้มาพบกันอย่างประหลาดโดยไม่มีใครแนะนำ ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ไม่รู้ว่าทำงานอยู่ที่ไหนตำแหน่งอะไร ขึ้นรถไปด้วยเช่นนี้ ทำฝ่ายที่ถูกชวนถึงกับอึ้งไปด้วยความงงงันอยู่อึดใจหนึ่งก่อนรีบปฏิเสธว่า
“ไม่เป็นไรครับ ดูจะเป็นการรบกวนเกินไป”
“อะไรกันค่ะ เกรงใจอย่างนี้กลับทำให้ดิฉันไม่สบายใจ แต่แรกตั้งใจจะดื่มน้ำชาคุยกันก็ไม่ได้เสียแล้ว เลยคิดว่าอย่างน้อยถ้านั่งรถไปด้วยกันก็จะได้คุยกันบ้าง อยากคุยเกี่ยวกับเรื่องคุณอะโอะกิค่ะ”
“จะไม่เป็นทำให้คุณลำบากหรือครับ”
ชื่ออะโอะกิจูงใจให้ชินอิชิโรสนใจที่จะขึ้นไปรถไปด้วยตามคำชวน แม้ว่าจะยังรักษาท่าทีตามมารยาท
“แหม ลำบากอะไรกันค่ะ ดิฉันเองต่างหากที่ทำให้คุณต้องลำบาก”
กระแสเสียงของคุณนายโฉมงามหวานแหลมและคมกริบราวมีดดาบที่เพิ่งลับเสร็จใหม่ ๆ และระหว่างที่ชินอิชิโรกำลังงงงันไปกับคำพูดอันมีพลังอยู่นั้นเอง คุณนายรุริโกะก็ส่งสัญญาณไปยังพนักงานที่ยืนคอยให้บริการอยู่ตรงนั้น ซึ่งรีบเดินออกไปที่หน้าอาคารและตะโกนเรียกคนขับรถเสียงดัง
รถยนต์คันใหญ่สีน้ำเงินที่ชินอิชิโรเคยเห็นครั้งหนึ่งแล้วที่ฌาปนสถานอะโอะยะมะ เปิดไฟหน้าสว่างจ้าแล่นผ่านความสลัวของยามเย็นต้นฤดูร้อนเข้ามาจอดเทียบหน้าทางเข้าอาคาร ผู้คนที่มาชมคอนเสิร์ตแยกย้ายกันกลับไปหมดแล้วและในบริเวณลานจอดรถไม่มีรถยนต์เหลืออยู่แม้แต่คันเดียว
“เชิญคุณก่อนเลยค่ะ”
คุณนายตีขลุมเชิญชินอิชิโรให้ขึ้นรถเหมือนเป็นเรื่องปกติโดยไม่คอยฟังคำยินยอมพร้อมใจของอีกฝ่าย
ชินอิชิโรสับสนด้วยความรู้สึกดีใจระคนกังวลใจ คือทั้ง ๆ ขัดเขินไม่สบายใจที่ต้องนั่งไปในรถคันเดียวกับคุณนายโฉมงามแต่ใจนั้นกลับอยากนั่งรถไปด้วย รู้สึกว่าการที่จะก้าวเท้าขึ้นไปบนรถนั้นเป็นเหมือนกับก้าวไปในแยกหนึ่งของทางสองแพร่งที่ไม่รู้ว่าจะมีชะตากรรมอย่างไรรอคอยอยู่เบื้องหน้า จึงยังลังเลไม่ก้าวขึ้นไปตามคำเชิญ
“ตายจริง ทำไมทำท่าเกรงใจอย่างนั้นล่ะคะ ถ้าอย่างนั้น ขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันขึ้นก่อนละ”
ว่าแล้วก็ก้าวเหยียบขั้นบันไดขึ้นไปนั่งบนรถด้วยท่วงทีลีลาสง่างาม
“ขึ้นมาเร็วเลยค่ะ”
เธอหันมาเร่งพร้อมกับยิ้มหวาน ท่าทีที่แสดงความตั้งใจจริงของคุณนายรุริโกะทำให้ชินอิชิโรไม่อาจดึงดันปฏิเสธอยู่ต่อไปได้ จึงตัดใจก้าวเหยียบขั้นบันไดขึ้นไปบนรถ ดึงที่นั่งฟากที่เยื้องกับคุณนายโฉมงามให้กางออกแล้วทำท่าจะทรุดตัวลงนั่ง แม่ม่ายโฉมงามเบิกตางามด้วยความประหลาดใจ แล้วห้ามไว้
“ตายจริง นั่นคุณจะทำอะไร คุณก็รู้ว่านั่นไม่ใช่ที่นั่งสำหรับคุณ ทำไมถึงได้ขี้เกรงใจนักหนา เชิญมานั่งตรงนี้เถิดค่ะ มานั่งข้างดิฉัน ไม่ต้องเกรงใจเลย”
น้ำเสียงของแม่ม่ายโฉมงามมีพลังในการพูดเชิงเตือนเชิงดุชินอิชิโรอย่างได้ผล ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งเกือบจะชิดกับตัวคนชวนเชิญอย่างไม่มีทางเลี่ยง ชิดจนตัวของเขาแทบจะสัมผัสกับความนิ่มเนื้อนุ่มนวลของผิวกายภายใต้กิโมโนงดงาม
รถยนต์แล่นช้า ๆ ผ่านพนักงานของภัตตาคารที่มาตั้งแถวส่งแขก ลงเนินเตี้ย ๆ หน้าอาคารแล่นไปทางแมกไม้เขียวชอุ่มในความมืดสลัวของสวนสาธารณะ ชินอิชิโรอารมณ์เพริดแพร้วราวตกอยู่ในความฝันที่สับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่ได้ยินเสียงพนักงานที่กล่าวคำขอบคุณส่งท้ายไล่หลังมาตามธรรมเนียม
6
การได้นั่งรถเคียงคู่มากับผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักทั้งยังเป็นหญิงงามสูงศักดิ์เช่นนี้ ทำให้ชินอิชิโรรู้สึกปลื้มปิติอย่างประหลาดเหมือนกำลังอยู่ในความฝันอันแสนสวย เหมือนเป็นพระเอกนวนิยายโรมานซ์แห่งศตวรรษที่ 20 ช่วงสามสี่นาทีจากสถานที่จัดงานคอนเสิร์ตไปยังสถานีมันเซบะชิเป็นสามสี่นาทีที่เปรียบปานอัญมณีล้ำค่าอย่างที่จะหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวมีปีกบิน สามสี่นาทีผ่านไปราวสายฟ้า เวลาทำข้อสอบยิ่งเวลาน้อยเพียงไรก็จะยิ่งต้องพยายามบังคับจิตใจให้สงบเพื่อจะได้ตอบได้อย่างถูกต้องและทันเวลา แต่สำหรับชินอิชิโรในตอนนั้น ในช่วงเวลาอันน้อยนิดเขามัวแต่ตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูกได้แต่เฝ้ามองให้เวลาอันมีค่าผ่านพ้นไปทีละนาทีสองนาที
คุณนายรุริโกะนั่งเงียบอยู่ในความสงบ ด้วยท่าทีเหมือนกำลังนั่งอยู่กับเพื่อนสนิทหรือกับสามี ยิ้มหวานของเธอเรื่อเรืองอยู่ในความมืดสลัวภายในรถ และไม่ได้เริ่มสนทนาว่าอย่างไร
จนกระทั่งเวลาแห่งความเงียบผ่านไปราวหนึ่งนาที เมื่อรถแล่นผ่านหน้าห้างมะสึซะกะยะ ชินอิชิโรจึงหาช่องชวนสนทนาขึ้นมาได้
“เมื่อตะกี้พอดีผมยืนอยู่แถวนั้นจึงได้ยินคุณพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่องและไพเราะมาก”
“อายจัง คุณได้ยินด้วยหรือ ดิฉันผันคำกิริยาไม่ค่อยเข้าหลักเข้าเกณฑ์ ได้แต่เอาคำศัพท์ที่รู้มาเรียง ๆ เข้าเท่านั้นเอง แต่คุณอันนะนักเปียโนคนนั้นเป็นคนน่ารักมาก ดิฉันคุยกับเธอก็พอแค่รู้เรื่องเท่านั้นแหละค่ะ”
“ไม่ต้องถ่อมตัว ผมทึ่งมากเลยครับ” ชินอิชิโรชมด้วยความรู้สึกจากใจจริง
“แหมเขินจริง ๆ ชมกันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ แต่ก็ดีใจค่ะ จริง ๆ แล้วอายนะคะ ดิฉันเพิ่งเรียนพิเศษมาได้แค่สองปีเอง คุณถ้าจะเรียนจบกฎหมายฝรั่งเศส”
“ครับ ผมเรียนมาราวหกเจ็ดปีตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมปลาย แต่ถ้าเป็นการสนทนาละก็ไม่ได้เรื่องเลยครับ เวลามีคนฝรั่งเศสมาที่บริษัทเขาจะจัดให้ผมไปต้อนรับเพราะเห็นว่ารู้ภาษาฝรั่งเศส แต่ผมจะเป็นใบ้ทุกครั้งครับ อย่างคุณนาย ภาษาฝรั่งเศสดีเยี่ยมแบบนี้ผมคิดว่าไปเป็นภรรยานักการทูต เข้าสังคมปารีสได้สบายทันทีเลยละครับ”
ชินอิชิโรกล่าวสรรเสริญจากใจจริง
“อย่างดิฉันนี่หรือคะ ภรรยาทูต” เธอหัวเราะเบา ๆ
ขณะพูด ชินอิชิโรสังเกตเห็นว่าใบหน้าของแม่ม่ายสาวหมองลงไปทันที ภรรยาทูต...ความใฝ่ฝันในวัยสาวของ รุริโกะคือการเป็นภรรยาของนะโอะยะที่จะเป็นนักการทูตในอนาคต เป็นภรรยาชาวญี่ปุ่นผู้งามเด่นเป็นสง่าในวงสังคมชั้นสูง ณ แดนไกล และด้วยความใฝ่ฝันเช่นนั้นเธอจึงได้เตรียมตัวด้วยการเรียนพิเศษภาษาฝรั่งเศส แต่บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างสูญหายไปสิ้นราวกับควันไฟเหลืออยู่แต่ความทรงจำ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใบหน้าอันงดงามของ รุริโกะจะหมองลงเมื่อมีคนพูดถึงการเป็นภรรยานักการทูต
ทั้งสองเงียบกันไปเป็นครู่ขณะที่รถเร่งความเร็วแล่นเรียบด้านขวาของทางรถไฟ ใกล้มันเซบะชิเข้าไปทุกที
ชินอิชิโรอยากพูดอะไรสักอย่างที่ตรงกับประเด็นที่อยากพูด
“คุณคงชอบภาษาฝรั่งเศสสินะครับ” ชินอิชิโรถามพลางสังเกตสีหน้าของคู่สนทนา
“ก็...ชอบค่ะ”
ขณะพูด ยิ้มหวาน ๆ ช่วยกลบเกลื่อนความหมองบนใบหน้าจนหมดสิ้น
“ชอบ...ชอบมากด้วยค่ะ” รุริโกะเน้นย้ำ
7
“ดิฉันชอบวรรณคดีฝรั่งเศสมาก”
เมื่อได้ยินคำตอบของคุณนายรุริโกะ ชินอิชิโรรู้สึกเหมือนขอบเขตการสนทนาเพื่อเพิ่มพูนความสนิทสนมกับแม่ม่ายสาวเปิดกว้างขึ้นทันที ไม่มีเรื่องอะไรที่จะทำให้คนเราสนิทสนมกันจริง ๆ ได้เท่ากับเรื่องวรรณกรรมและศิลปะ คนสองคนที่ไม่รู้จักกันแต่หากมีความนิยมชมชอบวรรณกรรมเรื่องเดียวกัน รักนักประพันธ์คนเดียวกัน ก็จะสนิทสนมกันได้ไม่ยาก
ชินอิชิโรดีใจที่เขาค้นพบหัวข้อที่ควรสนทนากับคุณนายรุริโกะเป็นเรื่องแรก และสนทนาต่อไปอย่างรู้สึกสนุก
“คิดว่าคงชอบงานประพันธ์ยุคสมัยใหม่อย่าง กีเดอโมปัซซังต์หรือกุสตัฟโฟลแบต์ ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ อ่านมากเลยจนต้องบอกว่าชอบทั้งงานสมัยใหม่ด้วยและก็พวกคลาสสิกด้วย แต่ขอบอกว่าไม่ชอบ กีเดอโมปัซซังต์เลย ในวงการหนังสือของญี่ปุ่น สิ่งที่เรียกว่าวรรณกรรมฝรั่งเศสและรัสเซียส่วนใหญ่ที่คนนิยมอ่านกันนั้น ส่วนใหญ่ก็เห็นมีแต่ผลงานของนักประพันธ์ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้นนะคะ”
ชินอิชิโรหัวเราะกับคำพูดเชิงประชดของรุริโกะแล้วถามต่อไปว่า
“ผมก็ไม่ชอบกีเดอโมปัซซังต์เหมือนกัน แล้วคุณชอบนักประพันธ์คนไหนหรือครับ”
“ชอบเมรีเมที่สุดค่ะ ส่วนอานาโทเล ฟรานส์ กับออคทาฟ มิลโบ ก็ไม่ถึงกับเกลียดค่ะ”
“ของเมรีเมชอบเรื่องอะไรครับ”
“ดีทุกเรื่องไม่ใช่หรือคะ อย่างเรื่องคาร์เมนที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันดี เนื้อเรื่องของต้นฉบับนี่ดีมากเลยไม่ใช่หรือคะ”
“คุณรู้สึกยังไงกับนางเอกของเรื่องนี้ครับ”
“ชอบค่ะ”
คุณนายรุริโกะตอบแล้วหัวเราะน้อย ๆ
“ดิฉันคิดนะคะว่า ผู้ชายที่ถูกผู้หญิงทิ้งและมาฆ่าผู้หญิงคนนั้นเสียเป็นคนโหดร้ายอย่างไม่มีอะไรเทียบ เป็นความเอาแต่ใจตัวที่ให้อภัยไม่ได้ ผู้ชายที่เปลี่ยนใจจากผู้หญิงคนนี้ไปเป็นคนนั้นเรื่อยไปนั้นส่วนใหญ่เขาจะมองกันเป็นเรื่องปกติ แต่ในทางตรงกันข้ามผู้หญิงคนไหนที่เปลี่ยนใจจากผู้ชายคนนี้ไปเป็นคนนั้นก็จะถูกผู้คนประณามว่าเป็นหญิงหลายใจบ้างอะไรบ้าง ทุกครั้งที่ดิฉันคิดถึงคาร์เมนที่ถูกโฮเซแทงตาย ดิฉันเป็นต้องนึกโกรธเกลียดความเอาแต่ใจตัวและความโหดร้ายของผู้ชายเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทีเดียว”
ใบหน้างามของแม่ม่ายสาวแดงระเรื่อขึ้นด้วยอารมณ์ร้อนแรงซึ่งยิ่งดูมีเสน่ห์ขึ้นอีกหลายเท่า
ชินอิชิคิดว่าเขาได้พบกับผู้หญิงที่น่ายกย่องมากคนหนึ่งที่สามารถสนทนากับผู้ชายได้ในระดับเดียวกัน และอดเทียบกับภรรยาอันเป็นที่รักของเขาไม่ได้ ชิซุโกะเป็นภรรยาที่น่ารักและดีพร้อมสมกับคำที่เรียกว่าแม่ศรีเรือน แต่ถ้าพูดถึงรสนิยมและแนวความคิดแล้วเขากับเธออยู่ห่างกันคนละฝั่งแบบเอื้อมไม่ถึงกันเลยทีเดียว แม้ว่าชิซุโกะจะเป็นคู่สนทนาที่ดีเยี่ยมเมื่อคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ เสื้อผ้า หรืออาหารการกิน ก็ตาม
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องที่ต้องใช้ความคิดในระดับที่สูงขึ้นไปสักนิดก็จะรู้สึกเหมือนคุยกับคนอ่อนโลกประมาณเด็กประถม เหมือนกับคนเดินขึ้นเขาด้วยกัน เมื่อเดินทิ้งระยะห่างกันสักร้อยเมตรก็จะพอตะโกนเรียกกันได้ แต่ถ้าห่างกันเป็นกิโลสองกิโลต่อให้ตะโกนจนคอแทบแตกก็ไม่ได้ยิน ดังนั้นในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชิซุโกะ บางครั้งชินอิชิโรอดคิดถึงช่องว่างระหว่างเขาภรรยาในด้านที่เกี่ยวกับรสนิยมและแนวความคิดไม่ได้
ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะใส่ใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว ในเมื่อการศึกษาของผู้หญิงญี่ปุ่นหยุดอยู่ในระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปหวังอะไรกับภรรยา นั่นไม่ใช่เรื่องที่ภรรยาเขาต้องรับผิดชอบ เพราะสาเหตุอยู่ที่วัฒนธรรมของญี่ปุ่นเองต่างหาก
ทว่าพอมีโอกาสได้สนทนากับคุณนายรุริโกะหญิงม่ายโฉมงามผู้นี้ ชินอิชิโรจึงได้รู้ว่าญี่ปุ่นเริ่มมีผู้หญิงสมัยใหม่ที่เพียบพร้อมทั้งรสนิยมและแนวความคิดเทียมเท่ากับผู้ชาย เมื่อได้พูดคุยกับคุณนายผู้นี้ระหว่างนั่งมาด้วยกันในรถ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าความต้องการที่ไม่เคยได้รับการเติมเต็มจากชิซุโกะภรรยาของเขานั้น ได้รับการสนองตอบอย่างสมบูรณ์ที่สุดภายในสามสี่นาทีนั้นเอง
ขณะที่คิดอยู่นั้นช่วงเวลาสามสี่นาทีอันล้ำค่าก็สิ้นสุดลง รถยนต์ลดความเร็วเมื่อวิ่งขึ้นสะพานมันเซบะชิ
“ขอบคุณมากครับที่กรุณามาส่งถึงที่นี่”
ชินอิชิโรกล่าวขอบคุณ และขณะที่กำลังเตรียมตัวลงจากรถนั้นเอง คุณนายรุริโกะก็ถามเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“คืนนี้ คุณมีเวลาว่างไหมคะ”
8
คำถามที่ชินอิชิโรไม่คาดว่าจะได้ยินจากคุณนายโฉมงาม ทำให้เขาต้องทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม
“เวลาว่างหมายถึงอะไรหรือครับ”
ชายหนุ่มไม่เข้าใจความหมายของคำถามเลยจริง ๆ จึงถามขึ้น
“คือดิฉันอยากทราบว่าคุณมีธุระอะไรที่ต้องทำที่บ้านหรือเปล่า”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ”
ชินอิชิโรรู้สึกมีความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมานิด ๆ ว่าคำถามนั้นมีความหมายอะไรแฝงอยู่
“คือ...” คุณนายโฉมงามทอดเสียงนิดหนึ่งแล้วยิ้ม “คืนนี้พอเสร็จจากการแสดงคอนเสิร์ต ดิฉันจะพานักเปียโนพี่น้องหนุ่มสาวคู่นั้นไปทานอาหารค่ำแล้วจะไปชมการแสดงด้วยกันที่โรงละครอิมพีเรียล ดิฉันซื้อตั๋วชั้นบ็อกซ์ไว้แล้ว แต่สองพี่น้องเกิดมีธุระสำคัญที่ไม่อาจปลีกตัวมาได้ก็เลยขอเลิกนัด ดิฉันก็เลยต้องไปคนเดียวและก็กำลังจะไปนี่แหละคะ ทีนี้จะไม่นั่งดูอยู่คนเดียวมันก็ยังไง ๆ อยู่ ถ้าคุณว่างและช่วยมาเป็นเพื่อนดิฉันหน่อย ก็จะดีใจมากทีเดียว”
คุณนายโฉมงามกล่าวชวนด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงอย่างชัดเจนจากใจจริงว่าอยากให้ชินอิชิโรไปด้วย ใจของชายหนุ่มหวั่นไหวไม่น้อยเมื่อได้ยินคำชวนอย่างกะทันหันแทบตั้งตัวไม่ติดเช่นนั้น สำหรับชินอิชิโรช่วงเวลาสามสี่นาทีที่ผ่านมานั้นมีคุณค่าอย่างไม่อาจประเมินได้ โลกแห่งความหรรษาที่เคยปิดสนิทตลอดมาได้เปิดกว้างขึ้นจนสุดล้าจากการที่ได้ฟังเสียงอันกังวานไพเราะ ได้สัมผัสกับอารมณ์ความรู้สึกของคุณนายโฉมงามอย่างใกล้ชิด และได้ล่วงรู้ถึงรสนิยมและแนวความคิดอันก้าวหน้าที่น่าทึ่งเกินกว่าจะเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง
ชินอิชิโรปลื้มปิติและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้สนทนากับเธออย่างถูกคอในค่ำคืนนี้ และคิดว่าจะตกลงใจไปกับเธอทันที แต่ตอนนั้นเองที่ภาพของชิซุโกะภรรยาแสนดีของเขาแวบผ่านเข้ามาในสมอง ภาพภรรยาผู้ไร้เดียงสาที่เสร็จจากการเตรียมอาหารเย็นแล้วนั่งรอการกลับของเขาที่บอกว่าไปที่สถานีชิมบาชิเพื่อส่งคนเดินทางไปเมืองนอกซึ่งน่าจะใช้เวลาราวสองชั่วโมง ภาพนั้นเข้ามาครองคุมสมองของเขาอยู่เป็นครู่
ชายหนุ่มรู้ดีว่าการปล่อยให้ชิซุโกะรอไปจนสี่ทุ่มห้าทุ่มก็ยังไม่กลับนั้นจะทำให้ภรรยาของเขาสะเทือนใจเพียงไร
“ว่ายังไงคะ ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรมากเลย ตกลงไปด้วยกันเถิดนะคะ
คุณนายรุริโกะคะยั้นคะยอเมื่อเห็นชินอิชิโรทำท่าลังเล ใบหน้างดงามทรงเสน่ห์สูงศักดิ์ของแม่ม่ายโฉมงามที่เด่นอยู่ตรงหน้าเพียงแค่เอื้อม ทอรัศมีเรื่อเรืองลบภาพน่ารักน่าเอ็นดูของชิซุโกะที่ค้างคาอยู่ในสมองของชินอิชิโรหมดสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง
“ใช่ ค่ำคืนที่เราจะได้อยู่กับชิซุโกะยังมีอีกไม่รู้เท่าไรในชีวิตแต่งงานที่จะยืนยาวต่อไปข้างหน้า แต่โอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดของคุณนายโฉมงามเช่นนี้มันจะมีสักกี่ครั้ง โอกาสโรแมนติกอันงดงามเช่นนี้จะมีสักกี่ครั้ง อาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตก็เป็นได้ แล้วเราจะละทิ้งโอกาสเช่นนั้นละหรือ...”
เมื่อคิดเช่นนั้น จิตใจของชินอิชิโรก็โลดแล่นเบาหวิวราวกับนกพิราบถูกปล่อยออกจากกรง และตัดใจตอบออกไปว่า
“ถ้าคุณไม่คิดว่าเป็นการรบกวน ผมไปด้วยก็ได้ครับ”
“คุณจะกรุณาไปกับดิฉันอย่างนั้นหรือคะ ดีจริง” เธอพูดแล้วสั่งคนขับรถเสียงดัง “ตรงไปมะรุโนะอุชิเลยนะ”