จังหวัดโออิตะ ดินแดนแห่งน้ำพุร้อนและธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของทั้งภูเขาและทะเล เป็นจุดศูนย์รวมของที่เที่ยวดัง ๆ ที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินอย่างเบปปุและยูฟุอิน เท่านั้นไม่พอยังมีอาหารอร่อย ๆ รอให้เราได้ไปลิ้มลองอีกมากมาย ถ้าพร้อมแล้วก็อย่ารอช้า ไปเที่ยวโออิตะกันดีกว่า แล้วดูซิว่ามีที่เที่ยวไหนบ้างที่ห้ามพลาด
1. จิโกกุ เมกุริ (บ่อนรกทั้ง 8) (別府地獄めぐり)
จุดท่องเที่ยวหลักที่ไม่ไปไม่ได้เมื่อไปเยือนเมืองเบปปุ ปกติแล้วถ้าไปบ่อน้ำพุก็ต้องไปแช่น้ำร้อนใช่มั้ยคะ แต่ว่า 8 บ่อนรกของที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับให้ไปชมโดยเฉพาะ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกอยู่ในเขตคันนาวะ (Kannawa) มี 6 บ่อคือ Umi Jigoku, Oniishibozu Jigoku, Shiraike Jigoku, Kamado Jigoku, Oniyama Jigoku, Yama Jigoku ที่เดินถึงกันได้หมด กับอีก 2 บ่อในเขตชิบาเซกิ (Shibaseki) คือ Chinoike Jigoku, Tatsumaki Jigoku ซึ่งแต่ละบ่อจะแตกต่างกันไป บางบ่อสีฟ้า บางบ่อสีแดง บางบ่อเป็นโคลน บางบ่อมีน้ำร้อนพุ่งขึ้นมา เป็นต้น ถ้ามีเวลาแนะนำให้ดูให้ครบทั้ง 8 บ่อเลยนะคะ จากตัวเมืองโออิตะมีรถบัสไปถึงทั้ง 2 จุดเลย
2. ยูฟุอิน (由布院, 湯布院)
ยูฟุอิน เป็นเมืองเล็ก ๆ น่ารักในชนบทที่ล้อมรอบด้วยภูเขา มีชื่อเสียงในฐานะเมืองออนเซ็นเช่นเดียวกับเบปปุ แต่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเห็นจะเป็นร้านขายของกระจุ๊กกระจิ๊ก คาเฟ่ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เรียงรายตลอดสองข้างฝั่งถนนเส้นน้อยกลางเมือง แค่ได้เดินเล่นชมเมืองแบบชิล ๆ ก็มีความสุขแล้ว
เพื่อน ๆ สามารถเดินทางไปยูฟุอินได้ง่าย ๆ จากทั้งเบปปุและจังหวัดฟุคุโอกะโดยรถไฟ JR เมื่อเดินออกจากสถานีมาจะพบกับถนนสายหลักที่มีภูเขายูฟุอยู่เบื้องหลัง หากเดินตรงไปเรื่อย ๆ จนสุดทางจะพบกับทะเลสาบคินริน ซึ่งเป็นไฮไลท์วิวสวยน่าถ่ายรูปอีกจุดหนึ่งของที่นี่ด้วย
3. ถํ้าใต้นํ้าอินะสุมิ (稲積水中鍾乳洞)
ถ้ำใต้น้ำอินะสุมิเป็นถ้ำหินย้อยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ทั้งยังจัดว่าเป็นถ้ำหายากในระดับโลกอีกด้วย ว่ากันว่าถ้ำนี้เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟอะโสะเมื่อราว ๆ 83,000 ปีที่แล้ว ส่งผลให้ถ้ำใต้น้ำเปิดออกและมีรูปร่างที่โดดเด่นอย่างทุกวันนี้ ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโออิตะที่นักท่องเที่ยวแนวธรรมชาติต้องลองไปดูสักครั้ง
4. สวนดอกไม้คุจู (くじゅう花公園)
สวนดอกไม้คุจูตั้งอยู่ในที่ราบสูงคุจู เต็มไปด้วยไม้ดอกกว่า 500 สายพันธุ์ เช่น ลาเวนเดอร์ พิงค์มอส ทิวลิป ทานตะวัน ฯลฯ ที่ผลัดเปลี่ยนหลุนเวียนกันออกดอกเกือบตลอดทั้งปีบนพื้นที่ 49 เอเคอร์ (ประมาณ 198,296 ตารางเมตร) ยกเว้นในฤดูหนาว ที่สวนแห่งนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารมากมายให้ทุกคนได้เลือกซื้อและหาของอร่อยทานหลังจากชมสวนอีกด้วย
5. หาดคุโรกาฮามะ (黒ヶ浜)
คุโรกาฮะมะ แปลว่า หาดสีดำ ชื่อนี้ได้มาจากชายหาดของที่นี่ที่เต็มไปด้วยหินสีดำ ๆ นั่นเอง หาดนี้ตั้งอยู่ที่เมืองซากาโนะเซกิ เป็นที่ตั้งของ “บุนโกะ ฟุตามิกาอุระ” หรือหินคู่รักสองก้อนที่เชื่อมกันด้วยเชือกชินโต ในเช้าวันขึ้นปีใหม่หาดนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น และในระหว่างเดือนมีนาคมถึงตุลาคมของทุกปี พระอาทิตย์จะขึ้นตรงกลางระหว่างหินสองก้อนนี้พอดี ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศพากันเดินทางมาชมวิวที่หาชมได้ยากนี้
6. สะพานแขวนโคโคโนเอะ ยูเมะ (九重夢大吊橋)
ถ้าใครถามว่าสะพานแขวนที่ไหนคืออันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ขอให้ตอบอย่างมั่นใจไปเลยค่ะว่าคือ “สะพานแขวนโคโคโนเอะ ยูเมะ” แห่งนี้นี่เอง สะพานนี้โดดเด่นด้วยความสูง 173 เมตร ยาว 390 เมตร ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 777 เมตร ทำให้มีนักท่องเที่ยวไปเยือนกันอย่างล้นหลามในแต่ละปี แต่ที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้ไปที่นี่คือวิวพาโนรามาที่น่าตื่นตา โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงช่วงเดือนพฤศจิกายน รอบ ๆ สะพานจะกลายเป็นสีเหลืองส้มแดงไปทั่วบริเวณเลยล่ะ
7. น้ำตกฮะระจิริ (原尻の滝)
น้ำตกฮะระจิริได้รับเลือกให้เป็นน้ำตก 1 ใน 100 ของญี่ปุ่น เป็นน้ำตกธรรมชาติที่เกิดจากการไหลของลาวาเมื่อราว 90,000 ปีมาแล้ว ถือเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ด้วยความสูง 20 เมตร กว้าง 120 เมตร ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกไนแองการ่าแห่งเอเชียเลยทีเดียว
8. ศาลเจ้าอุสะ (宇佐神宮)
ศาลเจ้าเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 8 เป็นศาลเจ้าสำคัญในฐานะศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าฮาจิมัง (เทพแห่งสงคราม) กว่า 40,000 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น ตัววิหารหลักของศาลเจ้าจัดเป็นสมบัติของชาติและเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมศาลเจ้าที่เรียกว่า “ฮาจิมัง สุคุริ” นอกจากนี้ในบริเวณศาลเจ้ายังมีสะพานคุเรฮาชิ โรงละครโน และที่เก็บสมบัติของศาลเจ้า เป็นต้น ทั้งหมดนี้ถูกรายล้อมด้วยป่าไม้อุดมสมบูรณ์ที่มีมาแต่โบราณ ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะแก่การเดินเล่นสงบ ๆ อีกแห่งหนึ่ง
9. ทาเคกาวาระออนเซ็น (竹瓦温泉)
โรงอาบน้ำสาธารณะของเมืองเบปปุที่ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1938 เมื่อก้าวเข้าไปข้างในเพื่อน ๆ จะรู้สึกราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในยุคโชวะตอนต้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย สำหรับทีเด็ดของที่นี่จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากสปาทรายร้อนยอดฮิตที่กลบตัวเรามิดจนเหลือแต่หัว ที่จะช่วยคลายความเมื่อยล้าและยังทำให้ผิวพรรณของเพื่อน ๆ ผุดผ่องแลดูอ่อนเยาว์อีกด้วย
10. โชวะ โนะ มาจิ (昭和の町)
โชวะ โนะ มาจิ เป็นย่านการค้าเก่าในสมัยโชวะราวปีค.ศ. 1950 ที่ถูกนำมาปรับปรุงใหม่ให้คึกคักอีกครั้งโดยที่ยังคงความเป็นโชวะอย่างเดิมเอาไว้เป็นอย่างดี เพื่อน ๆ สามารถเดินชมร้านขายของเก่า ถ่ายรูปคู่กับตู้ไปรษณีย์โบราณที่หาได้ยากในปัจจุบัน หรือนั่งรถบัสโบราณฟรีชมเมืองในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ได้ รับรองว่าจะได้กลิ่นอายแบบโชวะแบบเต็ม ๆ
โอ้โห…มีแต่ที่เที่ยวน่าไปทั้งนั้นเลย ไปญี่ปุ่นรอบหน้าไม่ไปโออิตะไม่ได้แล้วสิเนี่ย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ anngle.org