xs
xsm
sm
md
lg

อ่าน “ส้ม” ในต้นฤดูส้ม

เผยแพร่:   โดย: โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์


ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies


เกริ่นนำ

มหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นยังอยู่ในช่วงปิดเทอม แต่ช่วงปิดภาคของนักศึกษาคือช่วงเวลาที่อาจารย์ต้องเรียนหนังสือ และด้วยบรรยากาศของการทำวิจัยในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น นั่นหมายความว่า ถ้าว่างจากการสอนเมื่อไร อาจารย์ต้องอ่านหนังสือหรือทำวิจัย ดังนั้น ในช่วงปิดเทอมนี้ อาจารย์จะไม่ได้หยุดเสียทีเดียว แต่จะต้องเรียนและสร้างผลงานทางวิชาการ สำหรับผม นอกจากอ่านหนังสือภาษาไทยที่มีเนื้อหาหนักๆ แล้ว ยังได้มีโอกาสหยิบงานประพันธ์ของนักเขียนญี่ปุ่นคนหนึ่งมาอ่านคั่นเป็นระยะๆ ด้วย นัยว่าเพื่อหลบลี้เปลี่ยนอารมณ์จากงานวิจัยและข่าวคราวเกาหลีเหนือไปในตัว

นักเขียนชื่อดังคนหนึ่งของญี่ปุ่นซึ่งได้รับการยกย่องในฐานะ “ราชาเรื่องสั้น” คือ ริวโนะซุเกะ อะกุตะงะวะ เจ้าของบทประพันธ์ “ระโชมง” (ราโชมอน) และ “ในป่าละเมาะ” ซึ่งเป็นสองแหล่งต้นเรื่องของภาพยนตร์ Rashomon ของญี่ปุ่น และ “อุโมงค์ผาเมือง” ของไทย ปัจจุบันเรื่องสั้นของอะกุตะงะวะแปลเป็นภาษาไทยมากขึ้น และมีการรวมเล่มออกจำหน่าย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้คนไทยได้รู้ฝีมือทางวรรณกรรมและความคิดของนักเขียนชาวญี่ปุ่นลึกซึ้งขึ้น ตลอดจนได้มองเห็นความเป็นอยู่และสภาพสังคมญี่ปุ่นสมัยก่อนด้วย

เรื่องสั้นของอะกุตะงะวะที่คนไทยรู้จักนั้น ส่วนใหญ่มีบรรยากาศค่อนข้างหนัก บ้างสะท้อนภาพน่ากลัว บ้างทิ้งแง่มุมให้ครุ่นคิด แต่ก็มีหลายเรื่องที่เป็นเรื่องใสๆ หรือให้ความรู้สึกดีๆ เพียงแต่เรื่องแนวนี้ไม่ค่อยมีภาษาไทยออกมาให้คนไทยได้อ่านกัน ผลงานของอะกุตะงะวะที่นำเสนอในครั้งนี้คือ “มิกัง” (蜜柑;mikan) หรือ “ส้ม” เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2462 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าสมัยนั้นสภาพบ้านเมืองของญี่ปุ่นยังไม่ได้พัฒนาดังเช่นปัจจุบัน เนื้อเรื่องเป็นเรื่องง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่มีบรรยากาศที่จริงใจ อ่านแล้วทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อเพื่อนมนุษย์

เมื่อกล่าวถึงส้ม ส้มของญี่ปุ่นที่เรียกว่า “มิกัง” นั้นมีเปลือกสีส้ม ไม่ใช่สีเขียวๆ ส้มๆ อย่างส้มเขียวหวานที่คนไทยรู้จัก จังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องส้ม คือ เอะฮิเมะ วะกะยะมะ ปัจจุบันญี่ปุ่นมีส้มให้กินตลอดปี จนคนญี่ปุ่นก็เริ่มไม่ทราบแล้วว่าฤดูส้มคือช่วงไหนกันแน่ เนื่องจากเป็นประเทศเกาะที่ทอดตัวยาวจากเหนือลงใต้ ฤดูเก็บเกี่ยวจึงอาจเหลื่อมเดือนกันไปบ้าง บางจังหวัดทางตอนใต้ของญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่ฤดูส้มตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายนซึ่งถือว่าอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง (แม้ว่าอากาศยังร้อนเกือบตลอดเดือนก็ตาม) และจากนี้ไปในช่วงสองสามเดือนจนถึงฤดูหนาวก็จะมีส้มทยอยออกมามากมาย ในบทประพันธ์ของอะกุตะงะวะนั้น “ส้ม” มีบทบาทอย่างไร ลองติดตามกันได้
ริวโนะซุเกะ อะกุตะงะวะ (1982-1927)
ส้ม

เย็นวันหนึ่งในฤดูหนาว วันนั้นอากาศมืดครึ้ม ผมหย่อนตัวลงนั่งตรงมุมหนึ่งในตู้โดยสารชั้นสองของรถไฟที่จะออกจากเมืองโยะโกะซุกะ และกำลังจะมุ่งหน้าสู่กรุงโตเกียว จากนั้นก็นั่งรอเสียงหวูดรถไฟออกอย่างเหม่อลอย แปลกที่นอกจากผมแล้วไม่มีผู้โดยสารคนอื่นสักคน โดยเฉพาะภายในตู้โดยสารที่มีไฟสว่างอยู่นั้น เมื่อชะโงกมองภายนอก ที่ชานชาลาสลัวรางก็เช่นกัน วันนี้แม้แต่เงาของคนที่มาส่งก็ไร้วี่แวว ลูกสุนัขตัวหนึ่งที่ถูกจับใส่กรงส่งเสียงเห่าท่าทางเศร้าสร้อยเป็นครั้งคราว สิ่งเหล่านี้กับความรู้สึกของผมตอนนั้นเป็นภาพที่เข้ากันเหมาะเหม็งอย่างน่าพิศวงทีเดียว ความอ่อนเปลี้ยอย่างสาหัสกับความหน่ายเอียนอันอธิบายเป็นคำพูดได้ยากทอดเงาอึมครึมอยู่ในหัวของผมราวกับท้องฟ้าที่ครึ้มด้วยเมฆหิมะ ผมสอดมือทั้งสองเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโคตอยู่อย่างนั้น ไร้กะจิตกะใจแม้แต่จะหยิบเอาหนังสือพิมพ์ฉบับเย็นที่อยู่ในนั้นออกมาดู

ทว่าไม่ช้าเสียงหวูดรถไฟก็ดังขึ้น ผมรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายเล็กน้อยในใจขณะที่อิงศีรษะไปที่ขอบหน้าต่างด้านหลัง คอยท่าให้สถานีรถไฟที่เห็นอยู่ตรงหน้าเริ่มเคลื่อนคล้อยห่างออกกึงกัง อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อรู้สึกว่าได้ยินเสียงเกี๊ยะสำหรับใส่ในวันอากาศดีดังเสียดหูมาจากทางประตูสอดตั๋วของสถานีรถไฟ ครู่ถัดมา ประตูของตู้รถไฟชั้นสองก็เปิดพรวด แล้วเด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ปีคนหนึ่งก็ตะลีตะลานเข้ามาข้างใน พร้อมกับเสียงของพนักงานตรวจตั๋วบริภาษเรื่องอะไรสักอย่าง

ตอนนั้นเองก็เกิดแรงสั่นหนักหน่วงครั้งหนึ่ง แล้วรถไฟจึงเริ่มขยับ ออกตัวช้าๆ เสาแต่ละต้นของชานชาลาที่สายตาเลาะจับไป รถฉีดน้ำซึ่งดูเหมือนถูกจอดลืมไว้ อีกทั้งพนักงานหมวกแดงรับจ้างขนของในสถานีซึ่งพูดขอบคุณเงินค่าตอบแทนอยู่—เหล่านั้นทั้งหมดล้วนแต่ระเนนสู่เบื้องหลังดั่งอาลัยอาวรณ์อยู่ภายในเขม่าควันที่ถูกพ่นมาโปะหน้าต่าง ผมรู้สึกโล่งอกในที่สุด และขณะจุดไฟที่มวนยาสูบ ผมเบิกเปลือกนัยน์ตาที่หรี่ปรือเพราะง่วงซึมขึ้น แล้วตวัดสายตามองหน้าเด็กสาวที่หย่อนตัวลงนั่งในที่นั่งข้างหน้าแวบหนึ่งเป็นครั้งแรก

เธอเป็นเด็กสาวท่าทางบ้านนอกทีเดียว มุ่นผมที่ไร้ความมันขลับขึ้นเป็นมวยทรงผีเสื้อ แก้มเกลื่อนด้วยรอยแตกกร้านทั้งสองข้าง มีแผลเป็นปรากฏตามขวางและขับสีแดงออกมาจนน่าแขยง หนำซ้ำบนหัวเข่าซึ่งมีผ้าพันคอขนสัตว์มอมแมมสีเขียวอมเหลืองเหมือนยอดอ่อนของต้นไม้ห้อยย้อยอยู่ ก็มีห่อผ้าบรรจุสัมภาระก้อนโต และในมือที่แตกเพราะความหนาวที่กอดห่อผ้าอยู่นั้น ก็มีตั๋วรถไฟชั้นสามสีแดงถูกกุมไว้แน่นอย่างสลักสำคัญ ผมไม่ชอบหน้าตาที่ดูต่ำต้อยของเด็กสาวคนนี้ และเสื้อผ้าของเธอก็ทำให้รู้สึกน่าเบือนหนี ท้ายสุดความเขลาในจิตที่ไร้วิจารณญาณถึงขนาดแยกไม่ออกระหว่างรถไฟชั้นสองกับชั้นสามนั้นทำให้ผมนึกหมั่นไส้ ผมซึ่งจุดไฟที่มวนยาสูบแล้ว จึงเกิดความรู้สึกขึ้นหน่อยหนึ่งด้วยว่าอยากจะลืมว่าเด็กสาวคนนี้มีตัวตนอยู่ และคราวนี้ก็เอาหนังสือพิมพ์ฉบับเย็นออกมากางอ่านบนหัวเข่าอย่างไม่ใส่ใจ ต่อมา จู่ๆ ตอนนั้นแสงจากภายนอกที่ทอดลงบนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับเย็นก็เปลี่ยนเป็นแสงจากหลอดไฟ ตัวหนังสือของคอลัมน์อะไรสักอย่างที่พิมพ์แย่ๆ ผุดขึ้นมาต่อหน้าต่อตาของผมอย่างแจ่มชัดจนแทบไม่คาดคิด ใช่แน่แล้ว ตอนนี้รถไฟเข้าไปในอุโมงค์ซึ่งเป็นแห่งแรกของอุโมงค์ที่มีอยู่มากมายบนเส้นทางรถไฟสายโยะโกะซุกะนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้กวาดตามองทั่วหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับเย็นที่มีแสงหลอดไฟตกต้อง แต่สังคมรอบตัวที่น่าจะปลอบประโลมความหดหู่ของผมก็มีแต่เรื่องราวดาดๆ มากล้นตั้งแต่ต้นจนจบ ไหนจะปัญหาการประชุมสันติภาพปารีสหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไหนจะเจ้าสาวเจ้าบ่าว และยังมีคดีฉ้อราษฎร์บังหลวง กับประกาศมรณกรรมอีก—ชั่วขณะที่ลอดอุโมงค์ ตอนที่ผมรู้สึกไขว้เขวราวกับว่าทิศทางวิ่งของรถไฟได้เปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้ามนั้น ผมอ่านบทความที่ชวนว้าเหว่แบบผ่านๆ ดุจเครื่องจักร อ่านบทความแล้วบทความเล่า แต่ก็ระหว่างนั้นอีกเช่นกัน แน่นอนว่าผมยังรู้สึกค้างคาใจและทนไม่ได้ที่เด็กสาวนั่งอยู่ข้างหน้าผมด้วยท่าทางของมนุษย์ที่ผุดมาจากความต้อยต่ำในโลกแห่งความเป็นจริง รถไฟที่อยู่ในอุโมงค์แห่งนี้กับเด็กสาวบ้านนอกคนนั้น แล้วไหนยังหนังสือพิมพ์ฉบับเย็นที่ดารดาษไปด้วยบทความดาดๆ อีก—ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สัญลักษณ์ แล้วเป็นอะไรกันเล่า? หากไม่ใช่สัญลักษณ์ของชีวิตอันน่าเบื่อ ต่ำชั้นและไม่อาจทำความเข้าใจได้แล้ว มันจะเป็นอะไรกันเล่า? ผมรู้สึกเซ็งไปหมด พอโยนหนังสือพิมพ์ฉบับเย็นที่อ่านค้างไว้ออกไป ก็เอาศีรษะพิงขอบหน้าต่างอีกและหลับตาลงราวกับตายไปแล้ว จากนั้นก็เริ่มสะลึมสะลือ
รถไฟสายโยะโกะซุกะในอดีต
หลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเหมือนกับถูกอะไรสักอย่างคุกคาม พอกวาดตามองโดยไม่ทันคิด ก็เห็นเด็กสาวคนเดิมย้ายที่นั่งจากฝั่งตรงข้ามมาที่ข้างๆ ผมเมื่อไรก็ไม่รู้ และกำลังพยายามจะเปิดหน้าต่างอย่างทุลักทุเล ทว่าบานกระจกหนัก เปิดไม่ออกเสียทีตามที่ใจคิด แก้มที่เกลื่อนไปด้วยรอยแตกนั้นแดงขึ้นๆ บางครั้งเสียงฟุดฟิดสูดจมูกก็ดังเข้าหูไม่ขาดช่วงพร้อมกับน้ำเสียงเล็กๆ ที่พูดแบบหายใจไม่ทัน แน่นอนว่ามันอาจจะแค่น้อยนิด แต่ก็สร้างความเห็นอกเห็นใจได้พอดูทีเดียวสำหรับผม ทว่าสันเขาทั้งสองด้านที่สว่างด้วยหญ้าแห้งในช่วงสลัวรางของยามเย็นกำลังไล่เข้ามาใกล้ทางหน้าต่าง จึงเข้าใจได้ทันทีว่าตอนนี้รถไฟกำลังจะแหย่หัวเข้าปากอุโมงค์อยู่พอดี แต่แม้กระนั้น เด็กสาวก็ยังอุตส่าห์พยายามเปิดหน้าต่างที่ปิดอยู่นั้นลงมา—ผมไม่อาจทำความเข้าใจเหตุผลของการทำเช่นนั้นได้ ไม่สิ ผมคิดได้แค่เพียงว่า ที่เป็นอย่างนี้คงเพราะความคุ้มดีคุ้มร้ายของเด็กสาวคนนี้ ผมจึงยังคงรู้สึกขวางหูขวางตาอยู่อย่างนั้น เป็นความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ในก้นบึ้งของช่องท้องไม่ต่างจากเมื่อครู่ พร้อมกันนี้ก็เมียงมองท่าทางที่พยายามเปิดกระจกหน้าต่างอย่างทุลักทุเลแต่ไม่ยอมแพ้ของมือที่แตกเพราะความหนาวนั้นด้วยสายตาเย็นชาไปด้วย ราวกับกำลังภาวนาขอให้การทำเช่นนั้นล้มเหลวไปตลอดกาลเลยทีเดียว ครั้นถัดมาอีกครู่หนึ่งก็เกิดเสียงสนั่นขณะเดียวกันกับที่รถไฟพุ่งเข้าสู่อุโมงค์ ในที่สุดหน้าต่างกระจกที่เด็กสาวพยายามจะเปิดก็ตกโครมลงมาข้างล่าง และมวลอากาศดำปี๋เหมือนเขม่าที่ถูกละลายซ่านก็กลายเป็นควันน่าอึดอัดอย่างฉับพลัน กระจายผ่านช่องสี่เหลี่ยมเข้ามาในรถไฟจนคลุ้งไปทั่ว ผมซึ่งแต่เดิมมีอาการระคายคอไม่มีเวลาแม้แต่จะเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดได้ทัน ด้วยเหตุที่ควันนี้เข้ามาโปะเต็มหน้าไปหมด จึงจำต้องไอจนแทบจะหายใจไม่ได้ แต่เด็กสาวไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว กลับยื่นคอออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้ผมทรงผีเสื้อโบกไหวด้วยลมที่พัดกลางความมืด พลางจับจ้องเขม้นมองไกลๆ ในทิศทางที่รถไฟกำลังมุ่งหน้าไป ตอนมองท่าทีนั้นกลางเขม่าควันและแสงของดวงไฟ ที่นอกหน้าต่างก็สว่างขึ้นทันใด และจากตรงนั้น ถ้ากลิ่นดิน กลิ่นหญ้าแห้ง กลิ่นน้ำ ไม่ไหลเอื่อยเย็นเข้ามาละก็ ผมซึ่งหยุดไอแล้วคงจะว่ากล่าวเด็กสาวที่ตัวเองไม่เคยรู้จักมาก่อนผู้นี้โดยจะไม่ให้แก้ตัวสักคำ และจะให้ปิดบานหน้าต่างกลับไปให้เหมือนเดิมอย่างแน่นอน

แต่ในช่วงเวลานั้น รถไฟค่อยๆ เคลื่อนพ้นจากอุโมงค์ และผ่านจุดกั้นทางรถไฟซึ่งอยู่ในถิ่นชนบทยากจนแห่งหนึ่ง และอยู่ในโอบล้อมของภูเขากับภูเขาที่มีหญ้าแห้งปกคลุม ตรงใกล้ๆ จุดกั้นทางรถไฟแห่งนั้น มีหลังคาบ้านที่ทำด้วยฟางบ้าง ทำด้วยกระเบื้องบ้าง และต่างก็คร่ำคร่าสร้างเบียดชิดกันอยู่อย่างแออัด ธงสีขาวซีดเพียงผืนเดียว ซึ่งคงเป็นธงที่เวรประจำจุดกั้นทางรถไฟใช้ส่งสัญญาณ ไหวอย่างอ่อนแรงอยู่ท่ามกลางสีแห่งยามเย็น

พอคิดว่าดีที่ได้ออกจากอุโมงค์เสียที—ตอนนั้นเอง ผมเห็นเด็กผู้ชายแก้มแดงสามคนยืนเรียงหน้ากระดานชิดกันอยู่ที่ฟากกระโน้นนอกรั้วของจุดกั้นทางรถไฟอันเปล่าเปลี่ยว พวกเด็กๆ ตัวเตี้ยเหมือนกันหมด จนแทบจะคิดว่าถูกฟ้าครึ้มเมฆกดทับลงมาหรืออย่างไร ซ้ำยังใส่เสื้อผ้าที่มีสีเหมือนกับสิ่งของทึบทึมของถิ่นชนบทแห่งนี้ด้วย เด็กๆ เงยหน้ามองรถไฟที่กำลังวิ่งผ่าน พลางยกมือพร้อมกัน ทันใดนั้นก็โก่งคอเปล่งเสียงไร้เดียงสา ตะโกนลั่นอย่างจริงจังเป็นคำพูดที่ฟังไม่เข้าใจ และในชั่วขณะนั้นเอง เด็กสาวคนเดิมที่ยื่นตัวคร่อมหน้าต่างออกไปครึ่งตัวก็ยื่นมือที่แตกเพราะความหนาวนั้นพรวดพราดออกไป พอโบกมือไปทางซ้ายและขวาอย่างแข็งขันแล้ว ส้มที่มีสีเหมือนดวงอาทิตย์ในวันอบอุ่นที่ทำให้จิตใจแช่มชื่นก็ร่วงลงจากฟ้าโดยพลัน กระจัดกระจายไปสู่เด็กๆ ที่มาส่งขึ้นรถไฟ ผมรู้สึกทึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดทันที เด็กสาวคนนี้ อาจเป็นเด็กสาวซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านนายจ้างเพื่อเป็นเด็กรับใช้ โยนส้มจำนวนหนึ่งที่เก็บไว้ในแขนกว้างของชุดกิโมโนออกไปจากหน้าต่าง เพื่อตอบแทนความห่วงใยของบรรดาน้องชายที่อุตส่าห์มาส่งถึงจุดกั้นทางรถไฟ

จุดกั้นทางรถไฟในชนบทซึ่งเริ่มมืดสลัว กับเสียงที่ฟังเหมือนนกตัวเล็กของเด็กสามคนที่ตะโกนออกมา ตลอดจนสีสดใสของส้มที่กระจายพร่างอยู่บนนั้น—ทุกอย่างที่นอกหน้าต่างรถไฟล้วนแต่ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนไม่ทันกะพริบตา ทว่าในจิตใจของผม ภาพนี้ยังคงผุดขึ้นประทับเด่นน่าตื้นตัน และจากจุดนั้น ผมก็ตระหนักว่า เกิดความรู้สึกเบิกบานอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพลุ่งขึ้น ผมยกศีรษะขึ้นอย่างอิ่มเอิบ จับตาที่เด็กสาวคนนั้นราวกับมองคนละคนเลยทีเดียว เด็กสาวกลับไปนั่งในที่นั่งข้างหน้าผมแล้วในช่วงใดช่วงหนึ่ง และเอาผ้าพันคอขนสัตว์สีเขียวอ่อนยอดไม้พันไว้แถวๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแตกขณะที่ถือตั๋วรถไฟชั้นสามไว้แน่น มือกอดสัมภาระในห่อผ้าขนาดใหญ่เช่นเดิม

ช่วงเวลานี้คือครั้งแรกที่ผมสามารถลืมความอ่อนเปลี้ยอย่างสาหัสกับความหน่ายเอียนจนพูดไม่ออก รวมทั้งความไม่เข้าใจ ความไม่เท่าเทียม และชีวิตอันน่าเบื่อลงได้เล็กน้อย

**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.manager.co.th

กำลังโหลดความคิดเห็น