บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
1
แม้หลังอ่านบันทึกของชายหนุ่มเคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตไปในอุบัติเหตุ ปริศนาเบื้องหลังคุณนายรุริโกะโฉมงามที่รบกวนจิตใจของชินอิชิโรอยู่ตลอดมาก็ยังไม่คลายลง ข้อความในบันทึกชวนให้คิดเวทนาสงสารชายหนุ่มที่ต้องมาจบชีวิตที่ยังมีอนาคตอีกยาวไกลไปในอุบัติเหตุอย่างที่เห็นกันในความเป็นจริง แต่สำหรับเขาซึ่งอยู่ใกล้ชิดจนถึงวินาทีที่วิญญาณออกจากร่างกันชอกช้ำทั้งกายและใจนั้น อดคิดไม่ได้ว่าเป็นการอัตวินิบาตกรรม และผู้ที่เป็นสาเหตุก็คือผู้หญิงที่ชื่อ “คุณนายรุริโกะ” ซึ่งชินอิชิโรเชื่อว่าเป็นเจ้าของนาฬิกาข้อมือที่ชายหนุ่มขอร้องในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายให้ช่วยนำไปคืน...ทว่าเจ้าหล่อนปฏิเสธความเป็นเจ้าของ
ชินอิชิโรรู้สึกเหมือนถูกมือขาวนวลและบอบบางของคุณนายรุริโกะผลักเขาเบา ๆ เข้าไปในวังวนแห่งม่านหมอก ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความตายของอะโอะกิ จุนกับคุณนายโฉมงามที่เชื่อมโยงถึงกันด้วยเส้นด้ายอันประหลาดล้ำ ถูกปกปิดเอาไว้ด้วยม่านหมอกหลายชั้นหลายเชิงราวถูกกำกับไว้ด้วยมนต์มายา ท่ามกลางวังวนแห่งม่านหมอกภาพเสี้ยวหน้าซีดขาวของชายหนุ่มเมื่อสิ้นใจ กับใบหน้างามระบายรอยยิ้มกระจ่างใสราวดวงแก้วแวววาวของคุณนายรุริโกะ เลื่อนสลับกันเข้ามาสะเทือนใจชินอิชิโรเป็นครั้งคราว
อย่างไรก็ตาม เขาได้มอบนาฬิกาที่อะโอะกิ จุนขอร้องให้เขานำไปคืนเจ้าของด้วยเสียงแหบเครือของคนใกล้สิ้นลม...นาฬิกาที่เขาต้องนำไปคืนเจ้าของพร้อมกับความขมขื่นที่ฝังลึกอยู่ในนั้นให้กับคุณนายผู้ยังคงเป็นปริศนาสำหรับเขาไปแล้วอย่างง่ายดายเพียงด้วยคำรับปากที่ไม่สู้ชัดเจนนักว่าจะช่วยหาเจ้าของให้
ความรับผิดชอบในสัญญาที่เขาให้ไว้กับชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชินอิชิโรไม่คิดที่จะล้มเลิกการหาทางไขปริศนาที่รบกวนใจเขาอยู่นี้แจ่มแจ้งขึ้นมา เขาตั้งใจที่จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้นาฬิกาเรือนนั้นกลับคืนสู่ผู้ที่เป็นเจ้าของตัวจริง
ทว่า เขาได้มอบนาฬิกาที่เป็นกุญแจดอกเดียวที่จะไขปริศนาอันมืดมนได้นั้นให้คุณนายรุริโกะไปแล้วอย่างง่ายดายราวกับถูกสะกดด้วยเวทมนต์ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่พอให้ชินอิชิโรไขว่คว้ามายึดเหนี่ยวไว้ได้ เห็นจะมีแต่บัตรผ่านประตูเข้าชมการแสดงคอนเสิร์ตการกุศลที่คุณนายโฉมงามให้มาใบเดียวนั้นเท่านั้น
ชินอิชิโรใจเสียไม่น้อยเมื่อคิดว่าขณะนี้เขามีแค่บัตรผ่านประตูแผ่นบาง ๆ ที่ไม่เห็นจะสำหลักสำคัญสักเท่าไรกับคำพูดประโยคนั้นของเจ้าหล่อน “ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ดิฉันอยากให้มาชมคอนเสิร์ตนี้ให้ได้ แล้วเจอกันที่งานนะคะ” เท่านั้น ที่จะใช้เชื่อมโยงเข้าใกล้ตัวคุณนายรุริโกะเพื่อหาทางคลี่คลายปริศนาที่ค้างคาใจเขาอยู่ แต่ชินอิชิโรจะทันคิดหรือไม่ว่าสายใยที่เชื่อมโยงเขากับคุณนายโฉมงามอยู่นั้น คือเส้นใยของนางพญาแมงมุม ซึ่งแม้เส้นจะบางเบาแต่ก็เหนียวแน่นและติดหนึบเกินกว่าสายใยใด ๆ
การแสดงคอนเสิร์ตการกุศลจัดขึ้นในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน วันนั้นชินอิชิโรกระสับกระส่ายมาตั้งแต่เช้าจนแทบจะหยิบจับอะไรไม่ถูก มีเสียงประณามก้องอยู่ในใจว่า...การกระทำของนายที่อ้างว่าเป็นการรับผิดชอบสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าหนุ่มอะโอะกินั้นน่ะ ที่แท้ก็เป็นเพราะหลงเสน่ห์คุณนายรุริโกะ อยากจะได้พูดคุยกับเจ้าหล่อนอีกแม้คำสองคำก็ยังดี ใช่หรือไม่...ยิ่งกว่านั้น เท่าที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เวลาไปงานแบบนี้ชิซุโกะภรรยาคนสวยที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ จะไปด้วยเสมอ แต่วันนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน การพาภรรยาไปด้วยจะทำให้เขาเสียโอกาสเข้าใกล้และรู้เรื่องราวของคุณนายรุริโกะตามที่ได้ตั้งใจไว้
จนรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ชินอิชิโรก็ยังหาจังหวะบอกภรรยาเรื่องที่เขาจะไปฟังคอนเสิร์ตคืนนั้นไม่ได้ แต่การจะออกไปข้างนอกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จะบอกว่า “ผมออกไปเดินเล่นตรงนี้สักหน่อยนะ” แล้วออกไปงานทั้ง ๆ ชุดลำลองที่สวมใส่อยู่ก็ไม่ได้ แต่ครั้นแค่จะบอกว่า “จะออกไปฟังคอนเสิร์ตสักหน่อย ช่วยเตรียมชุดให้ผมที” ก็เกิดปากหนักขึ้นมาเสียเฉย ๆ พูดอะไรไม่ออก
ถึงจะเป็นคำพูดที่ปกติธรรมดามาก แต่ในความรู้สึกของเขานั้นมันจะเป็นถ้อยคำที่ชาเย็นเป็นครั้งแรกที่เขาใช้กับภรรยา และรู้ดีว่ามันจะเหี้ยมโหดกับชิซุโกะเพียงไรเพราะเธอจะได้ยินว่า “เราจะไปฟังคอนเสิร์ตกัน เตรียมเสื้อผ้าของเธอเองด้วยนะ”
ชินอิชิโรเดินไปยืนสงบอารมณ์อยู่ที่ชานระเบียง แต่ก็เพียงอึดใจเดียวก็ผลุนผลันขึ้นไปชั้นบนเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือแต่จิตใจไม่สงบพอที่จะอ่านหรือเขียนอะไร ในที่สุดก็ตัดใจว่าควรบอกภรรยาได้แล้ว จึงลงบันไดกลับไปข้างล่าง
พอลงมาเห็นภรรยาที่กำลังเลาะผ้าหรืออะไรอยู่เงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่งด้วยความยินดีที่เห็นเขาลงบันไดมา คำพูดที่รออยู่ที่ริมฝีปากก็กลับถูกกลืนลงคอไปอีก
“คุณเป็นอะไรไปหรือคะ เห็นอยู่ไม่ค่อยจะสุขมาสักครู่หนึ่งแล้ว”
คำถามของภรรยาผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหร่อะไรด้วยที่จี้ตรงจุดพอดีนั้นกลับช่วยให้ชินอิชิโรตั้งสติอารมณ์ได้ง่ายขึ้น
“อ๋อ ผมเกือบลืมไปว่าต้องไปส่งผู้อำนายการเดินทางไปอเมริกาวันนี้”
เขานึกถึงการออกเดินทางในวันนี้ของผู้อำนวยการขึ้นมาได้ในนาทีนั้นเอง
“รถไฟออกกี่โมงคะ ออกจากบ้านตอนนี้จะทันไหม”
ชิซุโกะถามด้วยความเป็นห่วง
“อาจทันนะ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่ารถไฟจะออกจากสถานีชินบะชิบ่ายสองโมง”
ชินอิชิโรบอกพลางเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาที่เสาเรือนและพบว่าเพิ่งจะบ่ายโมง
“งั้นต้องรีบแต่งตัวแล้วละค่ะ”
ชิซุโกะพูดพลางผลักกองผ้าที่เลาะอยู่ไปทางหนึ่งแล้วกระวีกระวาดลุกขึ้นยืน
ชินอิชิโรระงับถ้อยคำที่เขาคิดว่าเย็นชาและโหดร้ายสำหรับภรรยาเอาไว้ได้ แต่กลับพูดปดออกมาเป็นครั้งแรก ซึ่งอย่างหลังนี้ร้ายแรงกว่ามากนัก
2
คอนเสิร์ตคืนนั้นเป็นการแสดงของเซซาเรวิชนักเปียโนสองพี่น้องวัยรุ่นชาวรัสเซีย ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้มีนักดนตรีชาวรัสเซียหลายต่อหลายคนลี้ภัยจากบ้านเกิดเมืองนอนที่กำลังเกิดเหตุจลาจลวุ่นวาย ร่อนเร่พเนจรมาสร้างความเอิกเกริกเป็นที่ตื่นตะลึงให้แก่วงการดนตรีของโตเกียว ในจำนวนนั้นมีนักเปียโน นักเชลโลและนักไวโอลินที่มีชื่อเสียงระดับโลกรวมด้วย
บรรยากาศรอบ ๆ ตัวของนักดนตรีวัยรุ่นชายหญิงตระกูลเซซาเรวิชแฝงความเศร้าสร้อยของคนที่ต้องพเนจรจากบ้านเกิดมาไกลโพ้น โดยเฉพาะความงามของอันนา เซซาเรวิช ผู้เป็นน้องสาวที่มีเค้ามาทางชาวตะวันออกเข้ากับรสนิยมของคนญี่ปุ่นนั้นเป็นที่จับใจของผู้มาฟังดนตรีนอกเหนือไปจากฝีมือเปียโนที่เข้าขั้นอัจฉริยะของสองพี่น้อง
คอนเสิร์ตคืนนั้นเป็นการแสดงครั้งที่สองหรือที่สามของนักเปียโนสองที่น้อง จัดโดยกลุ่มสตรีในวงสังคมชั้นสูงเพื่อรวบรวมรายได้ทั้งหมดเป็นเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือชาวรัสเซียที่ลี้ภัยมาอยู่ในกรุงโตเกียว
ตอนที่ชินอิชิโรเดินขึ้นมายืนอยู่หน้าทางเข้าสถานที่จัดแสดงดนตรีซึ่งได้แก่ห้องโถงกว้างใหญ่ชั้นบนของตึกภัตตาคารเซโยเค็นนั้น มีคนมากันเต็มแล้วแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ถึงสามร้อยคน อาจเป็นเพราะค่าชมการแสดงที่ค่อนข้างสูงถึงคนละ 7 เยน ผู้ชมคอนเสิร์ตคืนนี้จึงจำกัดอยู่ในแวดวงของคนชั้นสูงค่อนข้างมาก หญิงสาวและบรรดาคุณนายผู้สูงศักดิ์ระเหิดระหงอยู่ในเครื่องแต่งกายหลากสีสันงามระยับ ยืนจับกลุ่มเรียงรายกันทั่วบริเวณ ราวกับหมู่วิหคที่แต่งแต้มสีสันตระการตาให้แก่ป่าหิมพานต์
ฝ่ายบุรุษนั้นเล่า สุภาพบุรุษนักดนตรีวัยหนุ่มในชุดสากลแบบพิธีการเต็มยศมือถือสมุดโน๊ตเพลงยืนอยู่ด้วยกันสองคนบ้างสามคนบ้างคละกันไปกับกลุ่มสาว ๆ ชินอิชิโรเห็นกลุ่มคนในห้องแล้วรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาทันทีราวกับตนเองเป็นหยดน้ำที่เผอิญลงไปปนอยู่ในน้ำมัน และเมื่อคิดขึ้นมาว่าคุณนายรุริโกะผู้สูงส่งราวนางพญาและโดดเด่นอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูง ณ สมาคมแห่งนี้ หรือจะปรายสายตาอันมองสูงของเจ้าหล่อนมาสนใจเขาซึ่งยืนตัวลีบด้วยความเจียมตนอยู่ที่มุมหนึ่งแม้สักนิด ชายหนุ่มก็เริ่มใจเสียและประณามตนเองว่าชั่งโฉดเขลาอะไรเช่นนี้ที่ตั้งใจมางานจนต้องพูดปดกับภรรยาอย่างน่าละอาย
ชินอิชิโรเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตามหมายเลขในบัตรได้ไม่นาน อันนา เซซาเรวิชก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือกราวใหญ่ เธอเป็นสาวสวยที่มีนัยตาสีมรกตอันเป็นแบบฉบับของหญิงงามชาวสลาฟและแก้มขาวผ่องราวหิมะ พอโปรยยิ้มแจ่มใสรับเสียงปรบมือแล้วก็ก้าวเดินอย่างมั่นใจจนปลายกระโปรงสีฟ้าสะบัดพริ้ว และทันทีที่ทรุดตัวนั่งลงที่หน้าเปียโน นิ้วเรียวงามราวแท่งเทียนทั้งสิบก็เริ่มแล่นไล่ลงไปบนคีย์สีงาช้างราวกับขาของแมงมุมก็ไม่ปาน บรรเลงออกมาเป็นเพลง “บัลลาด” ของโบโรดิน นักประพันธ์เพลงผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งของรัสเซีย
ที่นั่งของชินอิชิโรอยู่เกือบกึ่งกลางห้อง เขาฟังเสียงเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะอ่อนหวานพลางกวาดสายตาไปที่ด้านหลังของพวกผู้หญิงที่นั่งแถวหน้าอย่างพินิจพิจารณาทีละคนราวกับจะไม่ให้รอดสายตาไปได้แม้แต่คนเดียว ทว่าการเห็นเฉพาะด้านหลังเท่านั้นไม่ได้ช่วยให้เขาค้นหาคนที่เคยพบเพียงครั้งเดียวได้ง่าย ๆ
พอนักเปียโนสาวผู้น้องเล่นจบบทเพลงด้วยความอ่อนหวานอ้อยสร้อย เธอก็ได้รับช่อดอกไม้มากมายจนเต็มอ้อมแขน เด็กสาวแสนสวยแสดงความขอบคุณเมื่อรับดอกไม้แต่ละช่อด้วยท่าทางดีอกดีใจน่ารักน่าเอ็นดูเหมือน เด็ก ๆ และพอเต็มอ้อมแขนก็เอาไปวางเรียงไว้บนเปียโน ซึ่งเมื่อพิธีกรเห็นเข้าก็รีบไปหยิบเอามาถือไว้ให้เพราะจะเกะกะเวลาแสดง เท่านั้นแหละผู้ชมที่กำลังอยู่ในอารมณ์เพริดแพร้วก็ฮากันครืน ชินอิชิโรพลอยอดหัวเราะไม่ได้กับความใสซื่อไร้เดียงสาของสาวน้อย
พอดีกับที่เพิ่งหัวเราะจบ ชินอิชิโรถึงกับสะดุ้งเมื่อมีใครมาแตะไหล่เขาเบา ๆ และเมื่อหันขวับไปมองก็พบใบหน้างามแอร่มของคุณนายรุริโกะที่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้
“ขอบคุณนะคะที่กรุณามาตามคำเชิญ ก่อนเริ่มการแสดงดิฉันเที่ยวมองหาคุณอยู่เป็นครู่”
รุริโกะทักทายตามมรารยาทอันควรและเสริมด้วยถ้อยคำที่ชินอิชิโรน่าจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่า ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ ชายหนุ่มที่ว่างอยู่
“พอไม่พบคุณก็เลยนึกว่าคงจะไม่มาเสียแล้ว”
คุณนายรุริโกะเจรจาด้วยท่าทีสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนกันมานาน และพูดต่อเนื่องจนชินอิชิโรไม่มีโอกาสกล่าวคำทักทาย ในที่สุดเมื่อได้ช่องเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เมื่อวันก่อนต้องขอโทษด้วยถ้าผมพูดหรือทำอะไรให้คุณไม่พอใจ”
“ตายจริง ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ดิฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายพูดคำนั้น”
คุณนายรุริโกะสงบนิ่งราวกับผิวน้ำในสระที่ไร้ระลอกคลื่น พอดีกับนิโคลาย เซซาเรวิช นักเปีนโนผู้พี่ปรากฏตัวขึ้นบนเวที แต่โฉมงามผู้สูงศักดิ์ไม่แสดงท่าทีว่าจะลุกจากไป
“ขอนั่งฟังอยู่ตรงนี้สักพักหนึ่งเถิดนะ”
เธอพูดด้วยกระซิบเหมือนบอกตัวเองมากกว่าที่จะบอกกับชินอิชิโร
3
เซซาเรวิชผู้พี่เล่นเพลงเบิกโรงอันมีชื่อเสียงของโชแปงเป็นเพลงแรก ผู้ฟังเงียบกริบอยู่ในอารมณ์สุนทรีย์จนดูเหมือนประสาททุกส่วนในเรือนกายไปรวมอยู่ที่หูสองข้างจนลืมเคลื่อนไหวส่วนอื่น แต่ไม่ใช่ชินอิชิโร เพราะความรู้สึกของเขาไปรวมตัวกันจนเปี่ยมล้นอยู่ที่ครึ่งตัวซีกซ้ายซึ่งคุณนายรุริโกะนั่งอยู่ ร่างระหงเอนเข้ามาชิดทางด้านเขามากจนทำให้อดแคลงใจไม่ได้ว่าประสงค์เช่นไรจึงทำเช่นนั้น
ร่างงามอรชรเอนเข้ามาชิดจนชินอิชิโรได้ไออุ่นของเนื้อกายที่สะท้อนขึ้นลงอ่อน ๆ ตามจังหวะการหายใจ ภายใต้กิโมโนไหมสอดเส้นสีทองล้ำค่า พื้นสีองุ่นอ่อน ๆ ประลวดลายดอกหญ้าสีอ่อนหลากสีกระจายเต็มผืน
ทันทีการแสดงเริ่มขึ้น เธอก็กระซิบขึ้นมาลอย ๆ ว่า “อ้อ เบิกโรงด้วยเพลงเรนดร็อบนี่เอง” เธอหมายถึง "Raindrop" Prelude, Op 28, No. 15 ผลงานชิ้นเอกอันมีชื่อเสียงเลื่องระบือของโชแปงนั่นเอง
ขณะที่เพลงบรรเลงไปชายหนุ่มสังเกตเห็นปลายนิ้วเรียวงามของคุณนายรุริโกะเคาะพริ้วไปบนตักตรงที่มีลวดลายผีเสื้อตัวเล็ก ๆ บินเวียนชมดอกหญ้า เข้าจังหวะดนตรีราวกับตรงนั้นมีคีย์เปียโนอยู่จริง ๆ ใบหน้างามผ่องด้านข้างที่หันมาทางเขาอิ่มเอมไปด้วยความปิติของคนที่เข้าซึ้งถึงห้วงลึกของดนตรีอย่างเแท้จริง ตรงนี้เองคือความงามในดวงจิตที่หาไม่ได้ในผู้หญิงญี่ปุ่นธรรมดา คือความงามอันสูงส่งมีราศรีจับเป็นประกายเรืองรอง ของหญิงยุคใหม่ที่ผ่านเจียระไนมาอย่างสมบูรณ์แบบทั้งทางด้านภูมิปัญญาความคิดและความรู้สึกเท่านั้นจึงจะพึงมี
แล้วเช่นนี้ใจของชินอิชิโรหรือจะทนทานไหว ชายหนุ่มเคลิ้มไปกับเสน่ห์ความงามอันมีเอกลักษณ์ของรุริโกะ จนเผลอตัวจับจ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างและที่ริมคอเสื้อกิโมโนที่เผยให้เห็นต้นคองามผ่อง เป็นหลายครั้ง
พอเพลงจบ คุณนายรุริโกะปรบมือสุดแรงก่อนใครทั้งหมดในที่นั้น แล้วหันมาบอกกับชินอิชิโรเหมือนกับคนที่เพิ่งตื่นจากความฝันที่สนุกและระทึกใจ
“น้องสาวก็ว่าเยี่ยมแล้ว แต่พี่ชายนี่เข้าขั้นอัจฉริยะเลยจริง ๆ มีอิสระเสรี และเปิดกว้าง ตื่นเต้นจังค่ะ”
“ผมก็คิดเช่นนั้นครับ” ชินอิชิโรตอบจากใจจริง
“คุณชอบดนตรีไหมคะ” หญิงสาวถามแล้วหัวเราะเบา ๆ “ต้องชอบแน่เลยไม่งั้นคงไม่อุตส่าห์มา”
เธอพูดกับเขาอย่างสนิมสนมไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งพบกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง
“ชอบซิครับ ตอนอยู่มอปลายผมเป็นสมาชิกชมรมดนตรี”
“ดีดเปียโนไหมคะ”
“ก็ได้แค่บัลลาดง่าย ๆ และพวกเพลงมาร์ช ก็เท่านั้นแหละครับ” ชินอิชิโรหัวเราะแก้เก้อ
“ที่บ้านมีเปียโนไหม”
“ไม่มีครับ”
“ถ้างั้น มาดีดที่บ้านดิฉันบ้างซิคะ ที่นั่นไม่มีใครต้องเกรงใจ”
คุณนายผู้สูงศักดิ์แสดงท่าสนิทสนมกับเขาจนอดรู้สึกขนลุกไม่ได้ แต่ยังไม่ทันทีจะสนทนาอะไรกันต่อไปก็ถึงรายการแสดงของอันนา เซซาเรวิช
“เธอจะเล่นเพลง “อิซาลาเม” ของบาราคิเรฟ ค่อนข้างยากไม่น้อยแต่คงจะเล่นได้น่าฟังทีเดียว”
คุณนายรุริโกะพูดพลางลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วบอกว่า
“ดิฉันไปก่อนนะคะ รู้สึกว่าใคร ๆ เขาจะหากันใหญ่ พองานแสดงจบแล้วลงไปดื่มน้ำชากันที่ห้องอาหารข้างล่างกันนะคะ สัญญานะ”
“ครับ”
ชินอิชิโรตอบเหมือนรับคำสั่งให้ไปทำอะไรสักอย่าง
“งั้นเดี๋ยวเจอกันนะคะ”
หญิงสาวก้มศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงลาก่อนก้าวออกไปที่ทางเดินที่ทอดผ่านแถวผู้ชมที่ขณะนี้เงียบกริบ แล้วเดินกลับที่นั่งของคนที่อยู่ไกลออกไปทางด้านหน้าด้วยท่วงท่าสง่างาม โดยมีชินอิชิโรมองตามไปอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา จึงได้เห็นว่าพอเธอเดินจวนจะถึงที่นั่น ชายหญิงที่อยู่รอบ ๆ บริเวณนั้นต่างทำท่าทักทายต้อนรับอย่างยินดีราวกับเจ้าหญิงสักองค์เสด็จกลับมา เมื่อเห็นคุณนายรุริโกะอยู่ในแวดล้อมของชายมากหน้าหลายตาเช่นนั้น ชินอิชิโรไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกกังวลและหวั่นไหวแปลก ๆ ขึ้นมาเช่นนั้น
4
จากนั้นจนกระทั่งจบการแสดง ชินอิชิโรรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่ในความฝันที่อบอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์อันหอมหวลที่คุณนายรุริโกะโปรยปรายเอาไว้ คลอคลองด้วยเสียงเปียโนอันเสนาะโสตร
เมื่อสิ้นเสียงปรบมือกึกก้องยาวนานให้กับเพลงสุดท้ายและทุกคนลุกขึ้นจากที่นั่ง ชินอิชิโรจึงตื่นจากความฝันและลุกตาม เขายังกล้าไม่พอถึงกับออกตามหาคุณนายรุริโกะเพื่อทำตามสัญญาที่ตนให้ไว้ แต่ก็ตกอยู่ในอำนาจมนต์เสน่ห์ของเธอมากเกินกว่าจะปลีกตัวกลับบ้านไปเฉย ๆ จึงตกลงใจเดินดุ่ม ๆ นำหน้าคนอื่น ๆ ลงไปยืนเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนกำลังคอยใครสักคนอยู่ตรงเชิงบันไดนั้นเอง
สาวงามพากันเยื้องกรายลงบันไดมากันเป็นกลุ่มใหญ่แต่คอยเท่าไรก็ไม่เห็นคนที่เขารอคอยลงมาสักที ชายหนุ่มรอจนกระทั่งผู้คนเริ่มบางตาลงทุกทีจนทำให้เริ่มคิดว่าที่คุณนายเอ่ยปากชวนให้ลงไปดื่มน้ำชาด้วยกันนั้นคงจะเป็นการพูดไปตามมารยาทสังคมมากกว่า ตัวเขาโง่เขลาไปเองที่ถือเอามาเป็นสัญญาจริง ๆ จัง ๆ และเฝ้าคอยเหมือนไอ้บ้าคนหนึ่งอยู่ตรงนี้ คนอย่างคุณนายรุริโกะคงมีทางออกพิเศษที่ไม่ต้องเบียดปะปนไปกับคนอื่นแน่นอน และป่านนี้คงกลับถึงบ้านสบายไปแล้ว
พอคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังขึ้นมานิด ๆ แต่พอตั้งท่าจะกลับเขาก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นเบา ๆ พร้อมกับเสียงผ้าเสียดสีกันอ่อนโยน และเสียงสนทนาภาษาฝรั่งเศสคล่องแคล่วดังใกล้เข้ามา
ชินอิชิโรมองขึ้นไปก็เห็นอันนา เซซาเรวิช ศิลปินดวงเด่นของคืนนี้กับคุณนายรุริโกะกำลังเดินคุยกันลงบันไดมาช้า ๆ ใจของชายหนุ่มหวั่นไหวอยู่ในส่วนลึกเมื่อประจักษ์กับความงามเป็นประกายสดใสของหญิงสาวทั้งสอง แม้จะเคียงคู่มากับสาวงามชาวรัสเซียที่ผิวผ่องยองใยไม่มีที่ติ แต่คุณนายรุริโกะก็ยังคงความงามสง่าอันมีเอกลักษณ์โดดเด่นของเธอไว้อย่างไม่มีใครที่จะมาลบรัศมีได้ ยื่งกว่านั้นร่างสูงระหงทรงเพรียวของเธอก็ยังช่วยกู้หน้าเอาไว้ ไม่ให้ดูน่าเกลียดเหมือนผู้หญิงญี่ปุ่นคนอื่น ๆ เวลาไปเดินเคียงกับผู้หญิงฝรั่ง ชินอิชิโรตะลึงมองหญิงสาวทั้งสองเหมือนกำลังชมภาพเขียนหญิงงามมีชื่อสักภาพหนึ่งอยู่เป็นครู่
อีกอย่างหนึ่งที่ชินอิชิโรรู้สึกทึ่งในตัวคุณนายรุริโกะมากก็คือภาษาฝรั่งเศสที่คล่องแคล่วและไพเราะเพราะพริ้งของเธอ ตัวเขาเองเป็นนักกฎหมายที่เรียนมาทางด้านกฎหมายฝรั่งเศสและมีความมั่นใจในความสามารถสนทนาภาษาฝรั่งเศสของตนอยู่ไม่น้อย แต่พอมาได้ยินภาษาฝรั่งเศสของหญิงสาวผู้นี้เข้า เขาไม่เพียงแต่ต้องยอมสยบก้มหัวให้เท่านั้น แต่ใจของเขาได้ตกหลุ่มเสน่ห์ความเพราะพริ้งเป็นธรรมชาติของภาษาฝรั่งเศสจากปากงามจิ้มลิ้มของคุณนายผู้นี้ไปอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
รุริโกะไม่ได้มองมาทางชินอิชิโรที่ยืนเตร่อยู่ที่เชิงบันไดขณะพาอันนาไปที่ห้องโถงทางเข้าอาคาร เธอพากันไปรอเซซาเรวิชผู้พี่อยู่ที่นั่นพร้อมกับกลุ่มสตรีผู้จัดงานคอนเสิร์ตวันนี้ หญิงสาวสนทนากับสองพี่น้องนักดนตรีชาวรัสเซียอย่างสนุกสนานก่อนส่งขึ้นรถยนต์กลับไปยังที่พัก
พอรถยนต์พาสองพี่น้องลับไป รุริโกะจึงเข้ามาหาชินอิชิโรและทักทายเหมือนเพิ่งเห็น
“ตายจริง คอยอยู่หรือคะ ดิฉันปล่อยให้คุณคอยเสียนานทีเดียว วันนี้เป็นปฏิกรก็เลยต้องรับผิดชอบส่งสองพี่น้องกลับที่พักให้เรียบร้อย”
หญิงสาวพูดพลางหยิบนาฬิกาที่พกไว้ในโอะบิผ้าคาดเอวกิโมโนออกมาดู ใช่...นาฬิกาแพลตินัมเรือนนั้นเอง ชินอิชิโรหวนคิดไปถึงเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้นทันทีที่เห็น รู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดแปลบผ่านหัวใจ
“ต๊าย หกโมงแล้ว ถ้าดื่มน้ำชาจะทำให้กลับบ้านช้าเกินไป เอายังไงดีละ สัญญาของเราขอผลัดไว้วันหลังได้ไหมคะ ได้นะ ได้ใช่ไหม”
“ครับ สำหรับผมไม่เป็นไร”
ชินอิชิโรตอบไปตามขั้นตอนอย่างที่ควรจะเป็น
“บ้านคุณอยู่แถวไหนคะ”
“ชินะโนะมะชิ ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นรถสายเบียวเซ็นกลับซีนะคะ”
“ขึ้นรถรางหรือรถสายเบียวเซ็นก็ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นสายเบียวเซ็นดีกว่า ต้องไปขึ้นที่มันเซบะชิใช่ไหม รถดิฉันไปส่งที่มันเซบะชิได้นะคะ”
ใบหน้าของคุณนายรุริโอะยิ้มแย้มแจ่มใสขณะพูดกับชินอิชิโรอย่างสนิทสนมเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
1
แม้หลังอ่านบันทึกของชายหนุ่มเคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตไปในอุบัติเหตุ ปริศนาเบื้องหลังคุณนายรุริโกะโฉมงามที่รบกวนจิตใจของชินอิชิโรอยู่ตลอดมาก็ยังไม่คลายลง ข้อความในบันทึกชวนให้คิดเวทนาสงสารชายหนุ่มที่ต้องมาจบชีวิตที่ยังมีอนาคตอีกยาวไกลไปในอุบัติเหตุอย่างที่เห็นกันในความเป็นจริง แต่สำหรับเขาซึ่งอยู่ใกล้ชิดจนถึงวินาทีที่วิญญาณออกจากร่างกันชอกช้ำทั้งกายและใจนั้น อดคิดไม่ได้ว่าเป็นการอัตวินิบาตกรรม และผู้ที่เป็นสาเหตุก็คือผู้หญิงที่ชื่อ “คุณนายรุริโกะ” ซึ่งชินอิชิโรเชื่อว่าเป็นเจ้าของนาฬิกาข้อมือที่ชายหนุ่มขอร้องในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายให้ช่วยนำไปคืน...ทว่าเจ้าหล่อนปฏิเสธความเป็นเจ้าของ
ชินอิชิโรรู้สึกเหมือนถูกมือขาวนวลและบอบบางของคุณนายรุริโกะผลักเขาเบา ๆ เข้าไปในวังวนแห่งม่านหมอก ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความตายของอะโอะกิ จุนกับคุณนายโฉมงามที่เชื่อมโยงถึงกันด้วยเส้นด้ายอันประหลาดล้ำ ถูกปกปิดเอาไว้ด้วยม่านหมอกหลายชั้นหลายเชิงราวถูกกำกับไว้ด้วยมนต์มายา ท่ามกลางวังวนแห่งม่านหมอกภาพเสี้ยวหน้าซีดขาวของชายหนุ่มเมื่อสิ้นใจ กับใบหน้างามระบายรอยยิ้มกระจ่างใสราวดวงแก้วแวววาวของคุณนายรุริโกะ เลื่อนสลับกันเข้ามาสะเทือนใจชินอิชิโรเป็นครั้งคราว
อย่างไรก็ตาม เขาได้มอบนาฬิกาที่อะโอะกิ จุนขอร้องให้เขานำไปคืนเจ้าของด้วยเสียงแหบเครือของคนใกล้สิ้นลม...นาฬิกาที่เขาต้องนำไปคืนเจ้าของพร้อมกับความขมขื่นที่ฝังลึกอยู่ในนั้นให้กับคุณนายผู้ยังคงเป็นปริศนาสำหรับเขาไปแล้วอย่างง่ายดายเพียงด้วยคำรับปากที่ไม่สู้ชัดเจนนักว่าจะช่วยหาเจ้าของให้
ความรับผิดชอบในสัญญาที่เขาให้ไว้กับชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชินอิชิโรไม่คิดที่จะล้มเลิกการหาทางไขปริศนาที่รบกวนใจเขาอยู่นี้แจ่มแจ้งขึ้นมา เขาตั้งใจที่จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้นาฬิกาเรือนนั้นกลับคืนสู่ผู้ที่เป็นเจ้าของตัวจริง
ทว่า เขาได้มอบนาฬิกาที่เป็นกุญแจดอกเดียวที่จะไขปริศนาอันมืดมนได้นั้นให้คุณนายรุริโกะไปแล้วอย่างง่ายดายราวกับถูกสะกดด้วยเวทมนต์ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่พอให้ชินอิชิโรไขว่คว้ามายึดเหนี่ยวไว้ได้ เห็นจะมีแต่บัตรผ่านประตูเข้าชมการแสดงคอนเสิร์ตการกุศลที่คุณนายโฉมงามให้มาใบเดียวนั้นเท่านั้น
ชินอิชิโรใจเสียไม่น้อยเมื่อคิดว่าขณะนี้เขามีแค่บัตรผ่านประตูแผ่นบาง ๆ ที่ไม่เห็นจะสำหลักสำคัญสักเท่าไรกับคำพูดประโยคนั้นของเจ้าหล่อน “ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ดิฉันอยากให้มาชมคอนเสิร์ตนี้ให้ได้ แล้วเจอกันที่งานนะคะ” เท่านั้น ที่จะใช้เชื่อมโยงเข้าใกล้ตัวคุณนายรุริโกะเพื่อหาทางคลี่คลายปริศนาที่ค้างคาใจเขาอยู่ แต่ชินอิชิโรจะทันคิดหรือไม่ว่าสายใยที่เชื่อมโยงเขากับคุณนายโฉมงามอยู่นั้น คือเส้นใยของนางพญาแมงมุม ซึ่งแม้เส้นจะบางเบาแต่ก็เหนียวแน่นและติดหนึบเกินกว่าสายใยใด ๆ
การแสดงคอนเสิร์ตการกุศลจัดขึ้นในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน วันนั้นชินอิชิโรกระสับกระส่ายมาตั้งแต่เช้าจนแทบจะหยิบจับอะไรไม่ถูก มีเสียงประณามก้องอยู่ในใจว่า...การกระทำของนายที่อ้างว่าเป็นการรับผิดชอบสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าหนุ่มอะโอะกินั้นน่ะ ที่แท้ก็เป็นเพราะหลงเสน่ห์คุณนายรุริโกะ อยากจะได้พูดคุยกับเจ้าหล่อนอีกแม้คำสองคำก็ยังดี ใช่หรือไม่...ยิ่งกว่านั้น เท่าที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เวลาไปงานแบบนี้ชิซุโกะภรรยาคนสวยที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ จะไปด้วยเสมอ แต่วันนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน การพาภรรยาไปด้วยจะทำให้เขาเสียโอกาสเข้าใกล้และรู้เรื่องราวของคุณนายรุริโกะตามที่ได้ตั้งใจไว้
จนรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ชินอิชิโรก็ยังหาจังหวะบอกภรรยาเรื่องที่เขาจะไปฟังคอนเสิร์ตคืนนั้นไม่ได้ แต่การจะออกไปข้างนอกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จะบอกว่า “ผมออกไปเดินเล่นตรงนี้สักหน่อยนะ” แล้วออกไปงานทั้ง ๆ ชุดลำลองที่สวมใส่อยู่ก็ไม่ได้ แต่ครั้นแค่จะบอกว่า “จะออกไปฟังคอนเสิร์ตสักหน่อย ช่วยเตรียมชุดให้ผมที” ก็เกิดปากหนักขึ้นมาเสียเฉย ๆ พูดอะไรไม่ออก
ถึงจะเป็นคำพูดที่ปกติธรรมดามาก แต่ในความรู้สึกของเขานั้นมันจะเป็นถ้อยคำที่ชาเย็นเป็นครั้งแรกที่เขาใช้กับภรรยา และรู้ดีว่ามันจะเหี้ยมโหดกับชิซุโกะเพียงไรเพราะเธอจะได้ยินว่า “เราจะไปฟังคอนเสิร์ตกัน เตรียมเสื้อผ้าของเธอเองด้วยนะ”
ชินอิชิโรเดินไปยืนสงบอารมณ์อยู่ที่ชานระเบียง แต่ก็เพียงอึดใจเดียวก็ผลุนผลันขึ้นไปชั้นบนเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือแต่จิตใจไม่สงบพอที่จะอ่านหรือเขียนอะไร ในที่สุดก็ตัดใจว่าควรบอกภรรยาได้แล้ว จึงลงบันไดกลับไปข้างล่าง
พอลงมาเห็นภรรยาที่กำลังเลาะผ้าหรืออะไรอยู่เงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่งด้วยความยินดีที่เห็นเขาลงบันไดมา คำพูดที่รออยู่ที่ริมฝีปากก็กลับถูกกลืนลงคอไปอีก
“คุณเป็นอะไรไปหรือคะ เห็นอยู่ไม่ค่อยจะสุขมาสักครู่หนึ่งแล้ว”
คำถามของภรรยาผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหร่อะไรด้วยที่จี้ตรงจุดพอดีนั้นกลับช่วยให้ชินอิชิโรตั้งสติอารมณ์ได้ง่ายขึ้น
“อ๋อ ผมเกือบลืมไปว่าต้องไปส่งผู้อำนายการเดินทางไปอเมริกาวันนี้”
เขานึกถึงการออกเดินทางในวันนี้ของผู้อำนวยการขึ้นมาได้ในนาทีนั้นเอง
“รถไฟออกกี่โมงคะ ออกจากบ้านตอนนี้จะทันไหม”
ชิซุโกะถามด้วยความเป็นห่วง
“อาจทันนะ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่ารถไฟจะออกจากสถานีชินบะชิบ่ายสองโมง”
ชินอิชิโรบอกพลางเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาที่เสาเรือนและพบว่าเพิ่งจะบ่ายโมง
“งั้นต้องรีบแต่งตัวแล้วละค่ะ”
ชิซุโกะพูดพลางผลักกองผ้าที่เลาะอยู่ไปทางหนึ่งแล้วกระวีกระวาดลุกขึ้นยืน
ชินอิชิโรระงับถ้อยคำที่เขาคิดว่าเย็นชาและโหดร้ายสำหรับภรรยาเอาไว้ได้ แต่กลับพูดปดออกมาเป็นครั้งแรก ซึ่งอย่างหลังนี้ร้ายแรงกว่ามากนัก
2
คอนเสิร์ตคืนนั้นเป็นการแสดงของเซซาเรวิชนักเปียโนสองพี่น้องวัยรุ่นชาวรัสเซีย ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้มีนักดนตรีชาวรัสเซียหลายต่อหลายคนลี้ภัยจากบ้านเกิดเมืองนอนที่กำลังเกิดเหตุจลาจลวุ่นวาย ร่อนเร่พเนจรมาสร้างความเอิกเกริกเป็นที่ตื่นตะลึงให้แก่วงการดนตรีของโตเกียว ในจำนวนนั้นมีนักเปียโน นักเชลโลและนักไวโอลินที่มีชื่อเสียงระดับโลกรวมด้วย
บรรยากาศรอบ ๆ ตัวของนักดนตรีวัยรุ่นชายหญิงตระกูลเซซาเรวิชแฝงความเศร้าสร้อยของคนที่ต้องพเนจรจากบ้านเกิดมาไกลโพ้น โดยเฉพาะความงามของอันนา เซซาเรวิช ผู้เป็นน้องสาวที่มีเค้ามาทางชาวตะวันออกเข้ากับรสนิยมของคนญี่ปุ่นนั้นเป็นที่จับใจของผู้มาฟังดนตรีนอกเหนือไปจากฝีมือเปียโนที่เข้าขั้นอัจฉริยะของสองพี่น้อง
คอนเสิร์ตคืนนั้นเป็นการแสดงครั้งที่สองหรือที่สามของนักเปียโนสองที่น้อง จัดโดยกลุ่มสตรีในวงสังคมชั้นสูงเพื่อรวบรวมรายได้ทั้งหมดเป็นเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือชาวรัสเซียที่ลี้ภัยมาอยู่ในกรุงโตเกียว
ตอนที่ชินอิชิโรเดินขึ้นมายืนอยู่หน้าทางเข้าสถานที่จัดแสดงดนตรีซึ่งได้แก่ห้องโถงกว้างใหญ่ชั้นบนของตึกภัตตาคารเซโยเค็นนั้น มีคนมากันเต็มแล้วแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ถึงสามร้อยคน อาจเป็นเพราะค่าชมการแสดงที่ค่อนข้างสูงถึงคนละ 7 เยน ผู้ชมคอนเสิร์ตคืนนี้จึงจำกัดอยู่ในแวดวงของคนชั้นสูงค่อนข้างมาก หญิงสาวและบรรดาคุณนายผู้สูงศักดิ์ระเหิดระหงอยู่ในเครื่องแต่งกายหลากสีสันงามระยับ ยืนจับกลุ่มเรียงรายกันทั่วบริเวณ ราวกับหมู่วิหคที่แต่งแต้มสีสันตระการตาให้แก่ป่าหิมพานต์
ฝ่ายบุรุษนั้นเล่า สุภาพบุรุษนักดนตรีวัยหนุ่มในชุดสากลแบบพิธีการเต็มยศมือถือสมุดโน๊ตเพลงยืนอยู่ด้วยกันสองคนบ้างสามคนบ้างคละกันไปกับกลุ่มสาว ๆ ชินอิชิโรเห็นกลุ่มคนในห้องแล้วรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาทันทีราวกับตนเองเป็นหยดน้ำที่เผอิญลงไปปนอยู่ในน้ำมัน และเมื่อคิดขึ้นมาว่าคุณนายรุริโกะผู้สูงส่งราวนางพญาและโดดเด่นอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูง ณ สมาคมแห่งนี้ หรือจะปรายสายตาอันมองสูงของเจ้าหล่อนมาสนใจเขาซึ่งยืนตัวลีบด้วยความเจียมตนอยู่ที่มุมหนึ่งแม้สักนิด ชายหนุ่มก็เริ่มใจเสียและประณามตนเองว่าชั่งโฉดเขลาอะไรเช่นนี้ที่ตั้งใจมางานจนต้องพูดปดกับภรรยาอย่างน่าละอาย
ชินอิชิโรเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตามหมายเลขในบัตรได้ไม่นาน อันนา เซซาเรวิชก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือกราวใหญ่ เธอเป็นสาวสวยที่มีนัยตาสีมรกตอันเป็นแบบฉบับของหญิงงามชาวสลาฟและแก้มขาวผ่องราวหิมะ พอโปรยยิ้มแจ่มใสรับเสียงปรบมือแล้วก็ก้าวเดินอย่างมั่นใจจนปลายกระโปรงสีฟ้าสะบัดพริ้ว และทันทีที่ทรุดตัวนั่งลงที่หน้าเปียโน นิ้วเรียวงามราวแท่งเทียนทั้งสิบก็เริ่มแล่นไล่ลงไปบนคีย์สีงาช้างราวกับขาของแมงมุมก็ไม่ปาน บรรเลงออกมาเป็นเพลง “บัลลาด” ของโบโรดิน นักประพันธ์เพลงผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งของรัสเซีย
ที่นั่งของชินอิชิโรอยู่เกือบกึ่งกลางห้อง เขาฟังเสียงเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะอ่อนหวานพลางกวาดสายตาไปที่ด้านหลังของพวกผู้หญิงที่นั่งแถวหน้าอย่างพินิจพิจารณาทีละคนราวกับจะไม่ให้รอดสายตาไปได้แม้แต่คนเดียว ทว่าการเห็นเฉพาะด้านหลังเท่านั้นไม่ได้ช่วยให้เขาค้นหาคนที่เคยพบเพียงครั้งเดียวได้ง่าย ๆ
พอนักเปียโนสาวผู้น้องเล่นจบบทเพลงด้วยความอ่อนหวานอ้อยสร้อย เธอก็ได้รับช่อดอกไม้มากมายจนเต็มอ้อมแขน เด็กสาวแสนสวยแสดงความขอบคุณเมื่อรับดอกไม้แต่ละช่อด้วยท่าทางดีอกดีใจน่ารักน่าเอ็นดูเหมือน เด็ก ๆ และพอเต็มอ้อมแขนก็เอาไปวางเรียงไว้บนเปียโน ซึ่งเมื่อพิธีกรเห็นเข้าก็รีบไปหยิบเอามาถือไว้ให้เพราะจะเกะกะเวลาแสดง เท่านั้นแหละผู้ชมที่กำลังอยู่ในอารมณ์เพริดแพร้วก็ฮากันครืน ชินอิชิโรพลอยอดหัวเราะไม่ได้กับความใสซื่อไร้เดียงสาของสาวน้อย
พอดีกับที่เพิ่งหัวเราะจบ ชินอิชิโรถึงกับสะดุ้งเมื่อมีใครมาแตะไหล่เขาเบา ๆ และเมื่อหันขวับไปมองก็พบใบหน้างามแอร่มของคุณนายรุริโกะที่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้
“ขอบคุณนะคะที่กรุณามาตามคำเชิญ ก่อนเริ่มการแสดงดิฉันเที่ยวมองหาคุณอยู่เป็นครู่”
รุริโกะทักทายตามมรารยาทอันควรและเสริมด้วยถ้อยคำที่ชินอิชิโรน่าจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่า ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ ชายหนุ่มที่ว่างอยู่
“พอไม่พบคุณก็เลยนึกว่าคงจะไม่มาเสียแล้ว”
คุณนายรุริโกะเจรจาด้วยท่าทีสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนกันมานาน และพูดต่อเนื่องจนชินอิชิโรไม่มีโอกาสกล่าวคำทักทาย ในที่สุดเมื่อได้ช่องเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เมื่อวันก่อนต้องขอโทษด้วยถ้าผมพูดหรือทำอะไรให้คุณไม่พอใจ”
“ตายจริง ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ดิฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายพูดคำนั้น”
คุณนายรุริโกะสงบนิ่งราวกับผิวน้ำในสระที่ไร้ระลอกคลื่น พอดีกับนิโคลาย เซซาเรวิช นักเปีนโนผู้พี่ปรากฏตัวขึ้นบนเวที แต่โฉมงามผู้สูงศักดิ์ไม่แสดงท่าทีว่าจะลุกจากไป
“ขอนั่งฟังอยู่ตรงนี้สักพักหนึ่งเถิดนะ”
เธอพูดด้วยกระซิบเหมือนบอกตัวเองมากกว่าที่จะบอกกับชินอิชิโร
3
เซซาเรวิชผู้พี่เล่นเพลงเบิกโรงอันมีชื่อเสียงของโชแปงเป็นเพลงแรก ผู้ฟังเงียบกริบอยู่ในอารมณ์สุนทรีย์จนดูเหมือนประสาททุกส่วนในเรือนกายไปรวมอยู่ที่หูสองข้างจนลืมเคลื่อนไหวส่วนอื่น แต่ไม่ใช่ชินอิชิโร เพราะความรู้สึกของเขาไปรวมตัวกันจนเปี่ยมล้นอยู่ที่ครึ่งตัวซีกซ้ายซึ่งคุณนายรุริโกะนั่งอยู่ ร่างระหงเอนเข้ามาชิดทางด้านเขามากจนทำให้อดแคลงใจไม่ได้ว่าประสงค์เช่นไรจึงทำเช่นนั้น
ร่างงามอรชรเอนเข้ามาชิดจนชินอิชิโรได้ไออุ่นของเนื้อกายที่สะท้อนขึ้นลงอ่อน ๆ ตามจังหวะการหายใจ ภายใต้กิโมโนไหมสอดเส้นสีทองล้ำค่า พื้นสีองุ่นอ่อน ๆ ประลวดลายดอกหญ้าสีอ่อนหลากสีกระจายเต็มผืน
ทันทีการแสดงเริ่มขึ้น เธอก็กระซิบขึ้นมาลอย ๆ ว่า “อ้อ เบิกโรงด้วยเพลงเรนดร็อบนี่เอง” เธอหมายถึง "Raindrop" Prelude, Op 28, No. 15 ผลงานชิ้นเอกอันมีชื่อเสียงเลื่องระบือของโชแปงนั่นเอง
ขณะที่เพลงบรรเลงไปชายหนุ่มสังเกตเห็นปลายนิ้วเรียวงามของคุณนายรุริโกะเคาะพริ้วไปบนตักตรงที่มีลวดลายผีเสื้อตัวเล็ก ๆ บินเวียนชมดอกหญ้า เข้าจังหวะดนตรีราวกับตรงนั้นมีคีย์เปียโนอยู่จริง ๆ ใบหน้างามผ่องด้านข้างที่หันมาทางเขาอิ่มเอมไปด้วยความปิติของคนที่เข้าซึ้งถึงห้วงลึกของดนตรีอย่างเแท้จริง ตรงนี้เองคือความงามในดวงจิตที่หาไม่ได้ในผู้หญิงญี่ปุ่นธรรมดา คือความงามอันสูงส่งมีราศรีจับเป็นประกายเรืองรอง ของหญิงยุคใหม่ที่ผ่านเจียระไนมาอย่างสมบูรณ์แบบทั้งทางด้านภูมิปัญญาความคิดและความรู้สึกเท่านั้นจึงจะพึงมี
แล้วเช่นนี้ใจของชินอิชิโรหรือจะทนทานไหว ชายหนุ่มเคลิ้มไปกับเสน่ห์ความงามอันมีเอกลักษณ์ของรุริโกะ จนเผลอตัวจับจ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างและที่ริมคอเสื้อกิโมโนที่เผยให้เห็นต้นคองามผ่อง เป็นหลายครั้ง
พอเพลงจบ คุณนายรุริโกะปรบมือสุดแรงก่อนใครทั้งหมดในที่นั้น แล้วหันมาบอกกับชินอิชิโรเหมือนกับคนที่เพิ่งตื่นจากความฝันที่สนุกและระทึกใจ
“น้องสาวก็ว่าเยี่ยมแล้ว แต่พี่ชายนี่เข้าขั้นอัจฉริยะเลยจริง ๆ มีอิสระเสรี และเปิดกว้าง ตื่นเต้นจังค่ะ”
“ผมก็คิดเช่นนั้นครับ” ชินอิชิโรตอบจากใจจริง
“คุณชอบดนตรีไหมคะ” หญิงสาวถามแล้วหัวเราะเบา ๆ “ต้องชอบแน่เลยไม่งั้นคงไม่อุตส่าห์มา”
เธอพูดกับเขาอย่างสนิมสนมไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งพบกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง
“ชอบซิครับ ตอนอยู่มอปลายผมเป็นสมาชิกชมรมดนตรี”
“ดีดเปียโนไหมคะ”
“ก็ได้แค่บัลลาดง่าย ๆ และพวกเพลงมาร์ช ก็เท่านั้นแหละครับ” ชินอิชิโรหัวเราะแก้เก้อ
“ที่บ้านมีเปียโนไหม”
“ไม่มีครับ”
“ถ้างั้น มาดีดที่บ้านดิฉันบ้างซิคะ ที่นั่นไม่มีใครต้องเกรงใจ”
คุณนายผู้สูงศักดิ์แสดงท่าสนิทสนมกับเขาจนอดรู้สึกขนลุกไม่ได้ แต่ยังไม่ทันทีจะสนทนาอะไรกันต่อไปก็ถึงรายการแสดงของอันนา เซซาเรวิช
“เธอจะเล่นเพลง “อิซาลาเม” ของบาราคิเรฟ ค่อนข้างยากไม่น้อยแต่คงจะเล่นได้น่าฟังทีเดียว”
คุณนายรุริโกะพูดพลางลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วบอกว่า
“ดิฉันไปก่อนนะคะ รู้สึกว่าใคร ๆ เขาจะหากันใหญ่ พองานแสดงจบแล้วลงไปดื่มน้ำชากันที่ห้องอาหารข้างล่างกันนะคะ สัญญานะ”
“ครับ”
ชินอิชิโรตอบเหมือนรับคำสั่งให้ไปทำอะไรสักอย่าง
“งั้นเดี๋ยวเจอกันนะคะ”
หญิงสาวก้มศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงลาก่อนก้าวออกไปที่ทางเดินที่ทอดผ่านแถวผู้ชมที่ขณะนี้เงียบกริบ แล้วเดินกลับที่นั่งของคนที่อยู่ไกลออกไปทางด้านหน้าด้วยท่วงท่าสง่างาม โดยมีชินอิชิโรมองตามไปอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา จึงได้เห็นว่าพอเธอเดินจวนจะถึงที่นั่น ชายหญิงที่อยู่รอบ ๆ บริเวณนั้นต่างทำท่าทักทายต้อนรับอย่างยินดีราวกับเจ้าหญิงสักองค์เสด็จกลับมา เมื่อเห็นคุณนายรุริโกะอยู่ในแวดล้อมของชายมากหน้าหลายตาเช่นนั้น ชินอิชิโรไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกกังวลและหวั่นไหวแปลก ๆ ขึ้นมาเช่นนั้น
4
จากนั้นจนกระทั่งจบการแสดง ชินอิชิโรรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่ในความฝันที่อบอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์อันหอมหวลที่คุณนายรุริโกะโปรยปรายเอาไว้ คลอคลองด้วยเสียงเปียโนอันเสนาะโสตร
เมื่อสิ้นเสียงปรบมือกึกก้องยาวนานให้กับเพลงสุดท้ายและทุกคนลุกขึ้นจากที่นั่ง ชินอิชิโรจึงตื่นจากความฝันและลุกตาม เขายังกล้าไม่พอถึงกับออกตามหาคุณนายรุริโกะเพื่อทำตามสัญญาที่ตนให้ไว้ แต่ก็ตกอยู่ในอำนาจมนต์เสน่ห์ของเธอมากเกินกว่าจะปลีกตัวกลับบ้านไปเฉย ๆ จึงตกลงใจเดินดุ่ม ๆ นำหน้าคนอื่น ๆ ลงไปยืนเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนกำลังคอยใครสักคนอยู่ตรงเชิงบันไดนั้นเอง
สาวงามพากันเยื้องกรายลงบันไดมากันเป็นกลุ่มใหญ่แต่คอยเท่าไรก็ไม่เห็นคนที่เขารอคอยลงมาสักที ชายหนุ่มรอจนกระทั่งผู้คนเริ่มบางตาลงทุกทีจนทำให้เริ่มคิดว่าที่คุณนายเอ่ยปากชวนให้ลงไปดื่มน้ำชาด้วยกันนั้นคงจะเป็นการพูดไปตามมารยาทสังคมมากกว่า ตัวเขาโง่เขลาไปเองที่ถือเอามาเป็นสัญญาจริง ๆ จัง ๆ และเฝ้าคอยเหมือนไอ้บ้าคนหนึ่งอยู่ตรงนี้ คนอย่างคุณนายรุริโกะคงมีทางออกพิเศษที่ไม่ต้องเบียดปะปนไปกับคนอื่นแน่นอน และป่านนี้คงกลับถึงบ้านสบายไปแล้ว
พอคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังขึ้นมานิด ๆ แต่พอตั้งท่าจะกลับเขาก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นเบา ๆ พร้อมกับเสียงผ้าเสียดสีกันอ่อนโยน และเสียงสนทนาภาษาฝรั่งเศสคล่องแคล่วดังใกล้เข้ามา
ชินอิชิโรมองขึ้นไปก็เห็นอันนา เซซาเรวิช ศิลปินดวงเด่นของคืนนี้กับคุณนายรุริโกะกำลังเดินคุยกันลงบันไดมาช้า ๆ ใจของชายหนุ่มหวั่นไหวอยู่ในส่วนลึกเมื่อประจักษ์กับความงามเป็นประกายสดใสของหญิงสาวทั้งสอง แม้จะเคียงคู่มากับสาวงามชาวรัสเซียที่ผิวผ่องยองใยไม่มีที่ติ แต่คุณนายรุริโกะก็ยังคงความงามสง่าอันมีเอกลักษณ์โดดเด่นของเธอไว้อย่างไม่มีใครที่จะมาลบรัศมีได้ ยื่งกว่านั้นร่างสูงระหงทรงเพรียวของเธอก็ยังช่วยกู้หน้าเอาไว้ ไม่ให้ดูน่าเกลียดเหมือนผู้หญิงญี่ปุ่นคนอื่น ๆ เวลาไปเดินเคียงกับผู้หญิงฝรั่ง ชินอิชิโรตะลึงมองหญิงสาวทั้งสองเหมือนกำลังชมภาพเขียนหญิงงามมีชื่อสักภาพหนึ่งอยู่เป็นครู่
อีกอย่างหนึ่งที่ชินอิชิโรรู้สึกทึ่งในตัวคุณนายรุริโกะมากก็คือภาษาฝรั่งเศสที่คล่องแคล่วและไพเราะเพราะพริ้งของเธอ ตัวเขาเองเป็นนักกฎหมายที่เรียนมาทางด้านกฎหมายฝรั่งเศสและมีความมั่นใจในความสามารถสนทนาภาษาฝรั่งเศสของตนอยู่ไม่น้อย แต่พอมาได้ยินภาษาฝรั่งเศสของหญิงสาวผู้นี้เข้า เขาไม่เพียงแต่ต้องยอมสยบก้มหัวให้เท่านั้น แต่ใจของเขาได้ตกหลุ่มเสน่ห์ความเพราะพริ้งเป็นธรรมชาติของภาษาฝรั่งเศสจากปากงามจิ้มลิ้มของคุณนายผู้นี้ไปอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
รุริโกะไม่ได้มองมาทางชินอิชิโรที่ยืนเตร่อยู่ที่เชิงบันไดขณะพาอันนาไปที่ห้องโถงทางเข้าอาคาร เธอพากันไปรอเซซาเรวิชผู้พี่อยู่ที่นั่นพร้อมกับกลุ่มสตรีผู้จัดงานคอนเสิร์ตวันนี้ หญิงสาวสนทนากับสองพี่น้องนักดนตรีชาวรัสเซียอย่างสนุกสนานก่อนส่งขึ้นรถยนต์กลับไปยังที่พัก
พอรถยนต์พาสองพี่น้องลับไป รุริโกะจึงเข้ามาหาชินอิชิโรและทักทายเหมือนเพิ่งเห็น
“ตายจริง คอยอยู่หรือคะ ดิฉันปล่อยให้คุณคอยเสียนานทีเดียว วันนี้เป็นปฏิกรก็เลยต้องรับผิดชอบส่งสองพี่น้องกลับที่พักให้เรียบร้อย”
หญิงสาวพูดพลางหยิบนาฬิกาที่พกไว้ในโอะบิผ้าคาดเอวกิโมโนออกมาดู ใช่...นาฬิกาแพลตินัมเรือนนั้นเอง ชินอิชิโรหวนคิดไปถึงเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้นทันทีที่เห็น รู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดแปลบผ่านหัวใจ
“ต๊าย หกโมงแล้ว ถ้าดื่มน้ำชาจะทำให้กลับบ้านช้าเกินไป เอายังไงดีละ สัญญาของเราขอผลัดไว้วันหลังได้ไหมคะ ได้นะ ได้ใช่ไหม”
“ครับ สำหรับผมไม่เป็นไร”
ชินอิชิโรตอบไปตามขั้นตอนอย่างที่ควรจะเป็น
“บ้านคุณอยู่แถวไหนคะ”
“ชินะโนะมะชิ ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นรถสายเบียวเซ็นกลับซีนะคะ”
“ขึ้นรถรางหรือรถสายเบียวเซ็นก็ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นสายเบียวเซ็นดีกว่า ต้องไปขึ้นที่มันเซบะชิใช่ไหม รถดิฉันไปส่งที่มันเซบะชิได้นะคะ”
ใบหน้าของคุณนายรุริโอะยิ้มแย้มแจ่มใสขณะพูดกับชินอิชิโรอย่างสนิทสนมเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา