ผู้นำญี่ปุ่นและผู้นำรัสเซียจัดการประชุมสุดยอดร่วมกัน เพื่อคลี่คลายปัญหาพื้นที่พิพาททางตอนเหนือของเกาะฮอกไกโด และพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่น-รัสเซียอาจเป็นมิติใหม่ที่ปูทางให้ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากร่มเงาของสหรัฐอเมริกา
นายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะ ของญี่ปุ่นเดินทางเยือนเมืองวลาดีวอสตอค ในภูมิภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย เพื่อร่วมการประชุมเศรษฐกิจภูมิภาคตะวันออก และร่วมประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียในที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา
สถานีโทรทัศน์ NHK รายงานว่าผู้นำ 2 ประเทศตกลงกันเกี่ยวกับโครงการที่จะให้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกันบนเกาะ 4 เกาะทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ที่รัสเซียควบคุม แต่ญี่ปุ่นอ้างกรรมสิทธิ์
ทั้งสองฝ่ายจะหารือขั้นสุดท้ายเพื่อเลือกโครงการ 5 อย่าง ได้แก่ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การปลูกผักในเรือนกระจก การท่องเที่ยวที่เน้นยังลักษณะเด่นของเกาะเหล่านี้ การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังลม และการลดปริมาณขยะ
ญี่ปุ่นและรัสเซียยังจะตกลงกันว่าจะดำเนินการสำรวจในพื้นที่จริงเพื่อให้สามารถนำโครงการมาปฏิบัติจริงให้ได้โดยเร็ว ทั้งสองชาติจะลงนามในเอกสารกว่า 30 ฉบับ เกี่ยวกับแผนความร่วมมือทางเศรษฐกิจ 8 ข้อที่ญี่ปุ่นเสนอ
เปิดปูม 4 เกาะพื้นที่พิพาทญี่ปุ่น-รัสเซีย
ตอนเหนือของญี่ปุ่นใกล้เกาะฮอกไกโด มีเกาะ 4เ กาะที่ฝ่ายรัสเซียยึดครองไว้ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2488 กองกำลังสหภาพโซเวียตยกพลขึ้นบกบนเกาะเอะโตะโระฟุ และหลังจากที่ญี่ปุ่นประกาศสิ้นสุดของสงครามโลกได้ 2 สัปดาห์ กองกำลังโซเวียตก็บุกยึดเกาะเอะโตะโระฟุ, เกาะคุนะชิริ และเกาะชิโกะตัง ตลอดจนหมู่เกาะฮะโบะไม โดยอ้างว่าเพื่อยืนยันว่าไม่มีกองกำลังสหรัฐบนเกาะทั้ง 4นั้น
ญี่ปุ่นประกาศมาตลอดว่า รัสเซียยึดครองเกาะ4 เกาะอย่างผิดกฎหมายมาได้ 72 ปีแล้ว แต่ฝ่ายรัสเซียก็อ้างยังอ้างสิทธิ์มาตลอด และเรียกเกาะเหล่านี้ว่า “คูริลใต้”
ความสำคัญของเกาะทั้ง 4 ที่ญี่ปุ่นและรัสเซียแก่งแย่งกัน เพราะเป็นบริเวณที่มีกระแสน้ำอุ่นบรรจบกับกระแสน้ำเย็น ทำให้มีปลาชุกชุมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งทักษะทางกาปรระมงนั้น รัสเซียสู้ชาวญี่ปุ่นไม่ได้เลย
นอกจากนี้ เกาะเหล่านี้ทำให้รัสเซียสามารถรุกคืบได้ถึงหน้าบ้านทางภาคเหนือของญี่ปุ่น หมู่เกาะฮะโบะไมอยู่ห่างจากแหลมโนซัมปุของญี่ปุ่นเพียง 3.7 กิโลเมตร โดยสมัยสงคราม โซเวียตใช้หมู่เกาะเหล่านี้เป็นฐานทัพสำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิด
ประชาชนบนเกาะแต่เดิมเป็นชนพื้นเมืองไอนุ และชาวญี่ปุ่นเริ่มเข้าไปตั้งรกรากเมื่อช่วงสิ้นสุดศตวรรษที่ 18 เมื่อทะกะตะยะ คะเฮ วาณิชผู้มั่งคั่ง เปิดเส้นทางสัญจรทางทะเลเพื่อข้ามช่องแคบคุนะชิริ ซึ่งตอนนั้นเส้นทางสัญจรทางทะเลอันตรายด้วยกระแสน้ำที่คาดเดาไม่ได้ คะเฮพัฒนาพื้นที่ประมงนอกชายฝั่งและบุกเบิกจนหมู่เกาะแหล่งนี้เป็นแหล่งประมงที่อุดมสมบูรณ์ ถึงขนาดที่เคยมีสถานที่เพาะเลี้ยงปลาแซลมอนด้วย
ผู้สื่อข่าวของ NHK ได้เดินทางไปยังเกาะเอะโตะโระฟุ และไปเยือนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของเกาะ ซึ่งได้อธิบายไว้ว่าชาวไอนุอาศัยอยู่บนเกาะนี้ก่อนหน้าชาวญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ไม่มีการจัดแสดงสิ่งใดเลยที่แสดงให้เห็นว่าเกาะนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยกลุ่มชาวญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดศตวรรษที่ 18 นิทรรศการดูเหมือนได้รับการจัดทำขึ้นเพื่อให้มีความรู้สึกว่าชาวรัสเซียมาถึงเกาะนี้ก่อน และพัฒนาเกาะนี้ขึ้น
ปัจจุบันอาคารเกือบทั้งหมดที่กลุ่มผู้ตั้งรกรากชาวญี่ปุ่นเคยใช้สอยนั้นได้หายไปแล้ว สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คืออาคารที่เคยเป็นที่ตั้งโรงเรียนประถมญี่ปุ่นเท่านั้น
ญี่ปุ่น-รัสเซียละวางข้อพิพาท ร่วมพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ
ข้อตกลงระหว่างผู้นำญี่ปุ่นและรัสเซียจะเปิดทางให้ทั้ง 2 ชาติพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกัน ทั้งการประมง การท่องเที่ยว และการแปรรูปอาหารทะเล โดยละวางเรื่องการอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครอง ขณะที่ชาวญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะเหล่านี้ คาดหวังว่าพวกเขาจะบรรลุความใฝ่ฝันที่จะได้เดินทางกลับบ้านเกิดได้
ถึงแม้ในทางกฎหมาย รัสเซียซึ่งอ้างสิทธิ์ในหมู่เกาะทั้ง 4 สืบเนื่องมาจากสหภาพโซเวียตจะยังคงเป็น “คู่สงคราม” กับญี่ปุ่นอยู่ แต่การ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” ในครั้งนี้สมประโยชน์กันทั้ง 2ฝ่าย โดยรัสเซียก็ต้องการเพื่อนใหม่หลังจากถูกโลกตะวันตกคว่ำบาตรจากกรณีสงครามในยูเครน ขณะที่ญี่ปุ่นก็หวังใช้สัมพันธภาพต่อรัสเซีย เพื่อลดความไม่แน่นอนจากอาการ “ผีเข้าผีออก” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ นอกจากนี้ยังอาจใช้รัสเซียเชื่อมสัมพันธ์ไปยังจีน เพื่อนบ้านและคู่กรณีตัวจริงของญี่ปุ่น.