บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
ตอนที่ 14 ฝ่าพายุสวาท (ต่อ)
5
ทุกคนในห้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแหลมสูงราวกับปีศาจบ้าคลั่งดังกึกก้องออกมาจากมุมมืดที่แสงจากตะเกียงดวงน้อยสองไปไม่ถึง พ่อเฒ่าคิทะโรผู้กล้าหาญองอาจถึงกับหน้าถอดสี แกขยับมือซ้ายที่กุมปืนล่าสัตว์เก่าแก่เอาสองสามครั้งเพื่อกระชับมือให้แน่นขึ้นอีก ส่วนรุริโกะผู้กำลังหวั่นไหวกับหลายความรู้สึกสับสนปนเปกันอยู่นั้นถึงกับเสียววูบไปตลอดแนวสันหลัง
“ใคร ใคร ตอบเดี๋ยวนี้นะ”
พ่อเฒ่าตวาดลั่น เสียงหัวเราะเงียบกริบลงแต่ไม่มีเสียงตอบออกมาจากมุมมืด
“ใคร แกเป็นใคร ถ้าไม่ตอบ ข้ายิงแน่”
พ่อเฒ่าคิทะโรใจมาขึ้นนิดหนึ่งเมื่อคิดว่าศัตรูลึกลับเงียบเสียงไปเพราะถูกตวาด แกยกปืนขึ้นประทับไหล่เล็งไปที่มุมห้องด้านนั้น
เมื่อสายตาของทุกคนในห้องชินกับความสลัวลางของตะเกียงดวงน้อยขึ้นมาบ้างร่างลึกลับที่ซุกตัวในมุมมืดจึงค่อย ๆ ชัดขึ้นมาทีละน้อย
“ใคร ออกมาเดี๋ยวนี้ บอกให้ออกมา ไม่งั้นข้ายิงจริง ๆ”
พ่อเฒ่าตะโกนขู่ซ้ำด้วยเสียงดังกว่าเดิม แต่ก็ไม่กล้าพอที่กระโจนเข้าไปจัดการให้อยู่มือ ทางด้านรุริโกะนั้นการนิ่งเงียบไม่แสดงอะไรโต้ตอบออกมาของอีกฝ่ายทำให้คิดได้ว่าไม่น่าจะเป็นโจรหรือหัวขโมย แต่เธอนึกไม่ออกเลยว่าใครเป็นเจ้าของเสียงหัวเราะที่ชวนให้ขนลุกนั้น เธอเพ่งมองเข้าไปในความมืดสลัวที่มุมห้องด้วยใจเต้นระทึก ด้วยความเกรงว่าบุรุษลึกลับผู้นั้นจะเป็นนะโอะยะคนรักของเธอ
เสียงตะคอกดังลั่นของพ่อเฒ่าคิทะโรปลุกให้นายโชดะได้สติขึ้นมา เขาพึมพำเหมือนครางออกมาเบา ๆ
“อย่ายิง แกยิงเขาไม่ได้นะตาเฒ่า”
มันเป็นคำพูดที่เจ้าตัวพยายามเค้นออกมาสุดแรงที่เหลืออยู่ เพราะพอพูดจบนายโชดะก็คอพับลงเหมือนสิ้นใจไปแล้ว
พ่อเฒ่าได้ยินนายของตนพูดดังนั้นจึงเหวี่ยงปืนโบราณคู่ใจไปทางหนึ่ง แล้วค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ชายลึกลับที่แกไม่รู้จักอย่างไม่สู้มั่นใจนัก ส่วนคนในมุมมืดกระเถิบตัวถอยหนีไปจนติดข้างฝา และพอจวนตัวเข้าก็ผลุดลุกขึ้นยืน รุริโกะเกือบหลับตาไม่กล้ามองเมื่อวาดภาพการต่อสู้อย่างดุเดือดที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ทว่าเหตุการณ์กลับพลิกกลับเป็นหน้ามือกับหลังมือ
“อ้าว คุณหนู คุณหนูเองหรือขอรับ”
พ่อเฒ่าคิทะโรอุทานเสียงลั่นด้วยความตกใจแทบจะเป็นลมล้มทั้งยืน รุริโกะเองก็สะดุ้งจนตัวแทบลอย
“คุณนายขอรับ คุณหนู คุณหนูขอรับ”
พ่อเฒ่าตะโกนเสียงดังซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับเสียสติไปแล้วเมื่อพบความจริงที่เกินคาด รุริโกะรู้ตัวขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนได้ผละจากนายโชดะที่กำลังอ่อนแรงเต็มทีตรงเข้าไปหาคนทั้งสองที่กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ และตกตะลึงเมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าบุรุษลึกลับผู้นั้นคือคะสึฮิโกะจริง ๆ
เด็กหนุ่มผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบอยู่ในสภาพเปียกปอนไปทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นกิโมโนชุดลำลองที่ใส่อยู่กับบ้านเป็นประจำ หรือเนื้อตัวและเส้นผมดำที่ถูกฝนลีบลงมาแนบศีรษะ ใบหน้าที่ตามปกติไม่มีอะไรน่าดูแต่เมื่อคุ้นกันแล้วจะเห็นความอบอุ่นที่แฝงอยู่นั้น ค่ำคืนนี้ใบหน้าเดียวกันนั้นเต็มไปด้วยแววอาฆาตมาดร้ายราวกับพร้อมที่จะเข่นฆ่าใครสักคนที่เป็นศัตรู
ทว่าพอเห็นหน้ารุริโกะคะสึฮิโกะก็หน้าแดงแล้วยิ้มอาย ๆ รุริโกะพูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นครู่ และแล้วเธอก็เข้าใจเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างกระจ่างแจ้ง แน่นอนว่าสำนึกในหน้าที่ที่ต้องคุ้มครองป้องกันรุริโกะ ทำให้คะสึฮิโกะหาทางหนีออกมาจากที่กักกันในคฤหาสน์ที่โตเกียว และเดินทางฝ่าพายุฝนมาถึงฮะยะมะจนได้
“เธอคือคนที่ทำร้ายคุณพ่อจนเจ็บสาหัสอย่างนั้นรึ”
รุริโกะถามด้วยเสียงของคนที่กำลังตื่นเต้าและโกรธจัด คะสึฮิโกะไม่ตอบได้แต่พยักหน้า
“มาจากโตเกียวคนเดียวอย่างนั้นรึ”
คะสึฮิโกะพยักหน้าอีก
“ขึ้นรถไฟมารึอย่างไร”
คะสึฮิโกะไม่ตอบได้แต่พยักหน้าอีก
“ทำไมถึงทำคุณพ่ออย่างนั้น ทำไมถึงทำอย่างนั้นฮึ”
เมื่อถูกรุริโกะคาดคั้นเอาด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเช่นนั้น คะสึฮิโกะก็หน้าแดงบิดตัวไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก ถ้าคะสึฮิโกะเป็นเด็กหนุ่มที่มีสติปัญญาปกติ รุริโกะคงจะได้คำตอบที่ตรงจากใจจริง คำตอบเฉกเช่นขุนพลผู้ภักดีให้แก่สตรีสูงศักดิ์ว่า “เพื่อช่วยชีวิตเธออย่างไรเล่า”
6
คะสึฮิโกะไม่ตอบสักคำไม่ว่ารุริโกะจะถามคาดคั้นอย่างไร ได้แต่ยิ้มอาย ๆ อยู่อย่างนั้น จนพ่อเฒ่าคิทะโรอดรนทนไม่ได้จึงรวบรวมความกล้าโพล่งออกไป
“คุณหนูร้ายกาจมาก คุณหนูมีเหตุผลอะไรถึงได้ฝ่าพายุฝนหนักอย่างนี้ออกจากโตเกียวมาทำร้ายคุณพ่อถึงที่นี่ เรื่องนี้ยังไม่ได้ชำระกันแต่คงต้องพักไว้ก่อน คุณนายขอรับ ตอนนี้อาการของนายท่านสำคัญกว่า เราต้องรีบทำอะไรเร่งด่วนเลยนะขอรับ”
พ่อเฒ่าคิทะโรตวาดกล่าวโทษคะสึฮิโกะด้วยความโกรธ ก่อนเดินกลับไปที่นายโชดะซึ่งนอนหมดสติเป็นตายเท่ากันอยู่กลางห้อง แต่รุริโกะไม่อาจทำใจให้ตำหนิคะสึฮิโกะได้รุนแรงเท่ากับพ่อเฒ่า แม้ปากจะคาดคั้นด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่ลึกลงไปในอกนั้นอดที่จะมีใจระลึกถึงบุญคุณอันอบอุ่นที่มีต่อผู้ช่วยชีวิตเธอด้วยความอาจหาญคนนี้ไม่ได้
ทันใดนั้นเอง นายโชดะส่งเสียงครางออกมาดัง ๆ ทำให้รุริโกะปราดเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว กล้ามเนื้อบนใบหน้ากว้างของชายผู้เคราะห์ร้ายกระตุกถี่ ๆ แขนขาใหญ่โตของเขาเกร็งแข็งและชักกระดอนขึ้นลงอยู่บนพื้นเสื่อทาทามิด้วยแรงทั้งหมดที่เหลือ
“น้ำ น้ำ”
นายโชดะร้องออกมาด้วยเสียงแหบโหย
หญิงรับใช้เอาถ้วยน้ำที่รีบไปหยิบเอามาแทบไม่ทันไปจ่อที่ปากและกำลังจะกรอกลงไป แต่ก็ทำไม่ได้ดังใจเพราะกล้ามเนื้อรอบ ๆ ปากสั่นไหวทำให้แก้วหกน้ำไหลลงไปถึงหน้าอก รุริโกะเห็นดังนั้นจึงดื่มน้ำในแก้วเข้าไปเต็มปากแล้วป้อนน้ำนั้นเข้าปากนายโชดะได้สำเร็จ แม้จะเป็นภรรยาแต่ในนามแต่จิตวิญญาณของความเป็นภรรยาก็ยังมี
น้ำช่วยให้ลำคอของนายโชดะชุ่มชื้นขึ้นพอที่จะพูดบอกอาการของตนออกมาได้ชัดเจนเป็นครั้งแรก
“โอ๊ย ทรมานเหลือเกิน อึดอัดหน้าอก หายใจไม่ออก...โอ๊ย”
นายโชดะร้องพลางยกมือขึ้นตะกุยที่หน้าอกตรงหัวใจ หลายครั้ง
“หมอจะมาเดี๋ยวนี้ค่ะ อดทนหน่อย ทำใจดี ๆ ไว้คุณ”
รุริโกะปลอบคนเจ็บ เธอพลอยลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกไปอีกคน
เสียงของรุริโกะคงจะเข้าไปกระทบหูของนายโชดะ เขาเบนสายตาที่ดูฝ้ามัวมาทางเธอแล้วบอกว่า
“รุริโกะ ฉันไม่ดีเอง ทั้งหมดเป็นเพราะฉันมันเป็นคนไม่ดี ยกโทษให้ฉันเถิดนะ”
ชายร่างใหญ่รวบรวมพละกำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดในกายตนเค้นคำพูดออกมาได้ในที่สุด รุริโกะที่เคยสงสัยในคำสารภาพของชายคนนี้เมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ไม่คิดสงสัยคำพูดของลูกผู้ชายที่อยู่ในสภาพใกล้สิ้นลมคนนี้อีกเลย คำพูดนั้นเสมือนเข็มปลายแหลมที่เสียดแทงทะลุเข้าไปในหัวใจที่ปิดกั้นเอาไว้ด้วยความเย็นชาของรุริโกะด้วย
“โอ๊ย ทรมานเหลือเกิน หน้าอกหน้าใจจะระเบิดอยู่แล้ว โอ๊ย...”
นายโชดะร้องพลางใช้มือทั้งสองกุมที่หัวใจ เกลือกกลิ้งตัวไปมาบนพื้นห้องสองรอบสามรอบ
“มินะโกะ มินะโกะ อยู่ไหมลูก”
อยู่ ๆ เขาก็ยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างลำบากแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องแต่ก็หาไม่เห็น ทนนั่งอยู่ได้แต่สองสามวินาทีก็ร่วงผลอยลงกับพื้นตามเดิม
“มินะโกะจะมาเดี๋ยวนี้เลย ดิฉันโทรไปเรียกแล้ว”
รุริโกะก้มลงบอกที่ข้างหู
“โอ๊ย...เจ็บเหลือเกิน ไหวแล้ว ฉันไม่ไหวแล้ว รุริโกะ...ฝากมินะโกะ กับ คะสึฮิโกะ ด้วยนะ ถึงเธอจะเกลียดฉัน แต่อย่าเกลียดไปถึงลูก ๆ เลยนะ ฉันไม่มีที่พึ่ง ไม่มีใครจะขอร้องได้อีกแล้วนอกจากเธอ อภัยให้ฉันเถิดนะ...ช่วยดูแลลูก ๆ ของฉันด้วย คะสึฮิโกะ...คะสึฮิโกะ”
นายโชดะพูดพลางพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งอีก คงเพราะอยากจะพูดกับลูกชายด้อยปัญญาของตนเป็นครั้งสุดท้าย แต่คะสึฮิโกะดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับความทุกข์ทรมานของพ่อที่ใกล้สิ้นลมเต็มที ได้แต่ยืนทำหน้าเฉยดูภาพความเป็นความตายตรงหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สมกับใคร ๆ
“โอ๊ย...ทรมานเหลือเกิน หายใจไม่ออกแล้ว...โอ๊ย”
นายโชดะร้องครางพลางไคว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวในวาระสุดท้าย รุริโกะยื่นมือขาวละมุนของเธอให้แก่สามีของเธอด้วยใจจริงเป็นครั้งแรก นายโชดะจับแขนงามระหงของรุรุโกะเอาไว้แล้วบีบด้วยแรงสุดท้ายที่เหลืออยู่ในชีวิต ชายร่างใหญ่ผู้อาภัพรักรู้สึกได้ถึงการให้อภัย รู้สึกได้ถึงอารมณ์ของภรรยาที่มีต่อตนจากมือขาวละมุนที่ยื่นให้ ก่อนที่จะหมดลม
7
หมอมาถึงเมื่อนายโชดะกำลังจะสิ้นลม เสื้อฝนที่เขาใส่มาเปียกโชกจนถึงปลายเสื้อและซึมเข้าไปในชุดสากลที่ใส่มาหลายจุด
“หมอจะขับรถมาแล้ว แต่พอออกจากบ้านมาได้ไม่เท่าไรก็เจอพายุหนักราวกับจะหอบรถปลิวไปทั้งคัน ก็เลยตัดสินใจเดินมา ไม่เป็นไรแล้วเพราะดูเหมือนพายุจะขึ้นไปทางเหนือ คงไม่เกิดภัยพิบัติเหมือนเมื่อคราวที่แล้วหรอก”
หมอท่าทางใจเย็นสมกับอาชีพ เดินตามหญิงรับใช้เข้าไปในห้องใหญ่ที่เกิดเหตุ
“ฟังอาการทางโทรศัพท์ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ จริงหรือครังที่บอกว่านายท่านต่อสู้กับโจรจนได้รับบาดเจ็บสาหัส”
หมอถามรุริโกะเมื่อเดินเข่าเข้าไปใกล้นายโชดะที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นห้อง
รุริโกะยังรักษาท่าทีที่สงบราบคาบเอาไว้
“ไม่ใช่หรอกค่ะ คนรับใช้กำลังตื่นเต้นก็เลยเรียนคุณหมอไปอย่างนั้น ที่ว่าขโมยขึ้นบ้านนั่นไม่จริงหรอกค่ะ คือมันน่าอายที่จะบอกว่า เกิดทะเลาะกันกับลูกชาย...”
รุริโกะพูดได้เพียงแค่นั้น แต่ดูเหมือนหมอจะเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที เขาจับตัวนายโชดะดูแล้วเริ่มตรวจอาการ
“มีบาดแผลที่ไหนไหมครับ”
“ดูเหมือนจะไม่มีค่ะ” รุริโกะตอบค่อย ๆ
“งั้นก็ไม่ต้องกังวล เพราะคงไปชนอะไรเข้าแล้วเป็นลมล้มไปน่ะ”
ว่าแล้วก็จับมือที่ขาวซีดขึ้นมาจับชีพจร หมอเงี่ยหูนิ่งอยู่ราวห้าหรือสิบวินาที และพอเห็นหน้าของนายโชดะที่ซีดจนเริ่มเขียวขึ้นมาทุกที เขาจึงตื่นตระหนกร้องออกมาว่า
“แย่แล้ว” และรีบลากหูฟังออกมาจากกระเป๋า แนบหาที่ตั้งของหัวใจบนหน้าอกที่กว้างใหญ่ ฟังแล้งฟังอีกเป็นหลายครั้ง
“แย่แล้ว” หมออุทานซ้ำอีกครั้ง
“แย่แล้ว หมายความว่าอย่างไรหรือคะคุณหมอ”
รุริโกะถามเสียงสั่นด้วยความอาทรอย่างล้ำลึก
“ดูเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นครับ ตอนมาตรวจหมอเตือนทุกครั้งเลยว่าให้ระวัง เพราะหลอดเลือดหัวใจมีไขมันเกาะอยู่มากเหลือเกิน ถ้าไม่คอยระวังจะเกิดอาการหัวใจขาดเลือดได้ง่าย ๆ หมอเตือนแล้วว่าอย่าไปมีเรื่องทะเลาะวิวาท หรือต่อสู้กับใคร เป็นอันขาด ตื่นเต้นมาก ๆ ก็ไม่ดี เตือนแล้วเตือนอีกเลยละครับ”
หมอแนบหูฟังลงไปบนร่างของนายโชดะพลางพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นเชิงโทษว่าคนไข้ของเขาไม่ทำตามคำเตือนจนต้องมาเป็นเช่นนี้
“รอบ ๆ หัวใจคนเรา ถ้ามีไขมันเกาะตัวอยู่มากเพียงใดหัวใจจะอ่อนแอลงมากเพียงนั้น บางคนเวลาเกิดไฟไหม้แค่วิ่งหนีไฟออกไปก็ล้มเสียแล้ว นายท่านดื่มเหล้าด้วยใช่ไหมครับ ยิ่งดื่มเหล้าแล้วออกกำลังต่อสู้อีก หัวใจก็ทนไม่ไหวหรอกครับ แค่ทะเลาะกับลูกทำไม่ไม่มีใครรีบห้ามเล่าครับ”
เมื่อได้ยินคำของหมอ รุริโกะรู้สึกเสียวแปลบขึ้นมาที่หัวในราวถูกแทงด้วยอาวุธแหลมคม
“หมอคิดว่าคงไม่มีหวัง แต่จะลองฉีดยากระตุ้นหัวใจดู
หมอเตรียมยาฉีดและฉีดลงไปในร่างของนายโชดะอย่างรวดเร็วด้วยความหวังที่จะยื้อวิญญาณที่กำลังละทิ้งร่างเอาไว้ แล้วยังบำบัดด้วยการช่วยหัวใจสองสามครั้งด้วย แต่ทว่าไม่ได้ผล...ยิ่งเวลาผ่านไปร่างใหญ่โตของนายโชดะก็ยิ่งสูญเสียความอุ่นที่มนุษย์พึงมีไปตามลำดับ ใบหน้ากว้างใหญ่ของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าของคนตาย
“หมอเสียใจครับ ที่ต้องบอกว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”
คำบอกกล่าวอย่างสิ้นหวังของหมอสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์เราไร้พลังต่อรองอย่างสิ้นเชิงกับความตาย
8
การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว จู่ ๆ ศัตรูก็มานอนนิ่งไร้ชีวิตอยู่ตรงหน้าเหมือนดินหรือหินสักก้อนที่ไร้จิตวิญญาณและพลัง อย่างไม่คาดฝัน อย่างทันทีทันใด และอย่างที่ไม่ได้คาดหมาย
เธอชนะแล้ว ชนะแน่นอนอย่างไม่มีใครปฏิเสธได้ ชายผู้หยิ่งผยอง ชายผู้ใช้อำนาจเงินเหยียดหยามคนอื่น ดูถูกดูแคลนคนอื่น บัดนี้นอนหมดฤทธิ์อยู่แทบเท้าของเธอ ตาย...เขาตายแล้ว และเธอได้ครองชัยชนะอย่างงดงาม
แต่เมื่อจ้องมองหน้าไร้ชีวิตนายโชดะ ความรู้สึกที่เต็มตื้นขึ้นมาในใจของรุริโกะนั้นแทนที่จะเป็นความปิติยินดีในชัยชนะกลับเป็นความเศร้า เป็นชัยชนะที่นำมาซึ่งความเศร้า ใช่...เธอชนะแน่นอน เธอชนะนายโชดะทางกาย แต่ทางใจของเขานั้นเล่าเธอชนะหรือไม่ ณ วินาทีที่นายโชดะจะหมดลม รุริโกะได้ชัยชนะเหนือจิตใจของเขาหรือเปล่า
ไม่...ไม่ชนะ มโนธรรมของรุริโกะค้าน จิตใจของนายโชเฮเมื่อความตายย่างใกล้เข้ามานั้น เปล่งประกายงดงามจนเพียงพอที่จะไถ่บาปทั้งหมดที่เขาก่อขึ้นมาชั่วชีวิต...ไม่ใช่หรือ
นายโชดะขออภัยรุริโกะ ขอโทษเธอ ทั้งยังขอร้องให้เธอช่วยดูแลลูกรักทั้งสองของเขา นายโชดะผู้ถูกภรรยาแต่ในนามต่อต้านอย่างสุดฤทธิ์ไม่ยอมรับเขาเป็นสามีคนนี้ กลับมอบความไว้วางใจอันงดงามไว้กับเธอ
สิ่งที่จับใจรุริโกะยิ่งไปกว่านั้น คือความรักลูกอย่างไม่มีวันสิ้นสุดที่เขาแสดงออกมาในวาระสุดท้ายก่อนหมดลมหายใจ แม้ว่าคะสึฮิโกะจะเป็นสาเหตุให้เขาต้องตาย แต่ ณ วินาทีที่ใกล้สิ้นใจเขาก็ยังเรียกหา...คะสึฮิโกะ...ลูกชายผู้ด้อยปัญญาด้วยความห่วงใยสุดแสน จิตใจอันงดงามสมกับความเป็นมนุษย์ของเขาเปล่งประกายออกมาให้เห็นในวินาทีแห่งความตาย...เธอก็เห็นมิใช่หรือ
ผู้ชายเธอตัดสินใจแต่งงานด้วยโดยถือว่าเป็นศัตรูที่ต้องแก้แค้น แม้หลังแต่งงานก็ยังทำให้เขาต้องทุกข์ทนเพราะไม่ยอมมอบให้ทั้งกายและใจให้แก่เขาที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี จนกระทั่งมีคะสึฮิโกะเข้ามาเป็นเครื่องมือให้เธอใช้ปั่นหัวเขาจนป่วนใจและทุกข์ทรมาน ถึงกระนั้นผู้ชายคนนี้ก็ยังไว้วางใจเธอจากใจจริง เมื่อได้ยินคำข้อร้องของนายโชดะก่อนสิ้นใจ รุริโกะรู้สึกเจ็บปวดลึกล้ำอย่างบอกไม่ถูกอยู่ภายใน
ปีศาจที่เธอสังหารเพราะคิดว่าเป็นปีศาจนั้นได้แสดงความเป็นมนุษย์ออกมาอย่างไม่คาดฝัน ขณะที่ขั้นตอนการสังหารและผลที่เกิดจากการสังหารกลับทำให้ตัวของรุริโกะซึ่งเป็นผู้สังหารเองนั้นอยู่ในสภาพที่ใกล้จะเป็นปีศาจอยู่แล้ว
เธอเอาชีวิตทั้งชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อพิชิตคน ๆ หนึ่งให้ได้ แต่พอทำสำเร็จจริง ๆ กลับรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ไม่มีแก่นสาร สงครามที่ทำให้เธอต้องทิ้งคนรัก ทิ้งความภาคภูมิใจในพรหมจรรย์ ยอมเสียชื่อเสียงในสังคม และทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อการต่อสู้นั้น เป็นสงครามนิรนามที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเห็นความสำคัญ
นายโชดะผู้แพ้ แม้จะแพ้ในการต่อสู้แต่ความเป็นมนุษย์ของเขาได้รับการกอบกู้ขึ้นมา ณ วินาทีที่จะสิ้นใจ แต่ รุริโกะผู้กำชัยชนะอย่างงดงามนั้นเล่ากลับตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง
ไม่มีอะไรที่จะทำให้จิตใจของคนเราห่อเหี่ยว ตกต่ำและสิ้นหวังได้เท่ากับเมื่อรู้ว่างานที่ได้ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเป็นเดิมพันนั้นเป็นภาพหลานลวงตาอยู่ในอากาศ
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้รุริโกะกลายเป็นคนใจหินราวกับคนละคน การกลับมาเป็นสาวพรหมจรรย์ที่สดใสบริสุทธิ์อย่างแต่ก่อนแม้กายจะยินยอมแต่ใจไม่พร้อมที่จะเป็น ยาพิษที่อาบไว้ทั้งกายและใจเพื่อต่อสู้กับศัตรูนั้น ไม่รู้ว่าซึมซับลึกล้ำลงไปในใจตั้งแต่เมื่อไร และจนบัดนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมลายหายไป
ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น ความหรูหราฟุ่มเฟือยทางวัตถุที่นายโชดะหามาเอาใจเมื่อรู้ว่าภรรยาในนามของเขาต้องการนั้น ได้เริ่มมีเสน่ห์เกาะกินใจหญิงสาวมาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรเช่นกัน
ความเป็นคนใจหิน ความงามสดใสบริสุทธิ์ของสาวพรหมจรรย์ เสน่ห์ของแม่ม่าย ที่หล่อหลอมขึ้นมาเป็นความงามหลายชั้นหลายเชิงของรุริโกะ รวมทั้งการมีอิสระที่จะประดับตกแต่งเสริมความงามอย่างไม่มีขอบเขตจำกัดนั้น เชิดชูให้หญิงสาวโดดเด่นราวนกยูงรำแพนอยู่ในวงสังคม เป็นที่ต้องตาต้องใจของบุรุษทุกคนไป
เทพนิยายกรีกมีเรื่องราวของอสูรกอร์กอนที่มีฤทธิ์สาปให้ใครก็ตามที่มองนางกลายเป็นหิน แล้วริริโกะนั้นเล่า ชายใดที่เข้ามาใกล้ ชายใดที่มองเธอ จะถูกสาปให้กลายร่างเป็นอะไรกันหนอ
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
ตอนที่ 14 ฝ่าพายุสวาท (ต่อ)
5
ทุกคนในห้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแหลมสูงราวกับปีศาจบ้าคลั่งดังกึกก้องออกมาจากมุมมืดที่แสงจากตะเกียงดวงน้อยสองไปไม่ถึง พ่อเฒ่าคิทะโรผู้กล้าหาญองอาจถึงกับหน้าถอดสี แกขยับมือซ้ายที่กุมปืนล่าสัตว์เก่าแก่เอาสองสามครั้งเพื่อกระชับมือให้แน่นขึ้นอีก ส่วนรุริโกะผู้กำลังหวั่นไหวกับหลายความรู้สึกสับสนปนเปกันอยู่นั้นถึงกับเสียววูบไปตลอดแนวสันหลัง
“ใคร ใคร ตอบเดี๋ยวนี้นะ”
พ่อเฒ่าตวาดลั่น เสียงหัวเราะเงียบกริบลงแต่ไม่มีเสียงตอบออกมาจากมุมมืด
“ใคร แกเป็นใคร ถ้าไม่ตอบ ข้ายิงแน่”
พ่อเฒ่าคิทะโรใจมาขึ้นนิดหนึ่งเมื่อคิดว่าศัตรูลึกลับเงียบเสียงไปเพราะถูกตวาด แกยกปืนขึ้นประทับไหล่เล็งไปที่มุมห้องด้านนั้น
เมื่อสายตาของทุกคนในห้องชินกับความสลัวลางของตะเกียงดวงน้อยขึ้นมาบ้างร่างลึกลับที่ซุกตัวในมุมมืดจึงค่อย ๆ ชัดขึ้นมาทีละน้อย
“ใคร ออกมาเดี๋ยวนี้ บอกให้ออกมา ไม่งั้นข้ายิงจริง ๆ”
พ่อเฒ่าตะโกนขู่ซ้ำด้วยเสียงดังกว่าเดิม แต่ก็ไม่กล้าพอที่กระโจนเข้าไปจัดการให้อยู่มือ ทางด้านรุริโกะนั้นการนิ่งเงียบไม่แสดงอะไรโต้ตอบออกมาของอีกฝ่ายทำให้คิดได้ว่าไม่น่าจะเป็นโจรหรือหัวขโมย แต่เธอนึกไม่ออกเลยว่าใครเป็นเจ้าของเสียงหัวเราะที่ชวนให้ขนลุกนั้น เธอเพ่งมองเข้าไปในความมืดสลัวที่มุมห้องด้วยใจเต้นระทึก ด้วยความเกรงว่าบุรุษลึกลับผู้นั้นจะเป็นนะโอะยะคนรักของเธอ
เสียงตะคอกดังลั่นของพ่อเฒ่าคิทะโรปลุกให้นายโชดะได้สติขึ้นมา เขาพึมพำเหมือนครางออกมาเบา ๆ
“อย่ายิง แกยิงเขาไม่ได้นะตาเฒ่า”
มันเป็นคำพูดที่เจ้าตัวพยายามเค้นออกมาสุดแรงที่เหลืออยู่ เพราะพอพูดจบนายโชดะก็คอพับลงเหมือนสิ้นใจไปแล้ว
พ่อเฒ่าได้ยินนายของตนพูดดังนั้นจึงเหวี่ยงปืนโบราณคู่ใจไปทางหนึ่ง แล้วค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ชายลึกลับที่แกไม่รู้จักอย่างไม่สู้มั่นใจนัก ส่วนคนในมุมมืดกระเถิบตัวถอยหนีไปจนติดข้างฝา และพอจวนตัวเข้าก็ผลุดลุกขึ้นยืน รุริโกะเกือบหลับตาไม่กล้ามองเมื่อวาดภาพการต่อสู้อย่างดุเดือดที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ทว่าเหตุการณ์กลับพลิกกลับเป็นหน้ามือกับหลังมือ
“อ้าว คุณหนู คุณหนูเองหรือขอรับ”
พ่อเฒ่าคิทะโรอุทานเสียงลั่นด้วยความตกใจแทบจะเป็นลมล้มทั้งยืน รุริโกะเองก็สะดุ้งจนตัวแทบลอย
“คุณนายขอรับ คุณหนู คุณหนูขอรับ”
พ่อเฒ่าตะโกนเสียงดังซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับเสียสติไปแล้วเมื่อพบความจริงที่เกินคาด รุริโกะรู้ตัวขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนได้ผละจากนายโชดะที่กำลังอ่อนแรงเต็มทีตรงเข้าไปหาคนทั้งสองที่กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ และตกตะลึงเมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าบุรุษลึกลับผู้นั้นคือคะสึฮิโกะจริง ๆ
เด็กหนุ่มผู้มีสติปัญญาไม่สมประกอบอยู่ในสภาพเปียกปอนไปทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นกิโมโนชุดลำลองที่ใส่อยู่กับบ้านเป็นประจำ หรือเนื้อตัวและเส้นผมดำที่ถูกฝนลีบลงมาแนบศีรษะ ใบหน้าที่ตามปกติไม่มีอะไรน่าดูแต่เมื่อคุ้นกันแล้วจะเห็นความอบอุ่นที่แฝงอยู่นั้น ค่ำคืนนี้ใบหน้าเดียวกันนั้นเต็มไปด้วยแววอาฆาตมาดร้ายราวกับพร้อมที่จะเข่นฆ่าใครสักคนที่เป็นศัตรู
ทว่าพอเห็นหน้ารุริโกะคะสึฮิโกะก็หน้าแดงแล้วยิ้มอาย ๆ รุริโกะพูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นครู่ และแล้วเธอก็เข้าใจเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างกระจ่างแจ้ง แน่นอนว่าสำนึกในหน้าที่ที่ต้องคุ้มครองป้องกันรุริโกะ ทำให้คะสึฮิโกะหาทางหนีออกมาจากที่กักกันในคฤหาสน์ที่โตเกียว และเดินทางฝ่าพายุฝนมาถึงฮะยะมะจนได้
“เธอคือคนที่ทำร้ายคุณพ่อจนเจ็บสาหัสอย่างนั้นรึ”
รุริโกะถามด้วยเสียงของคนที่กำลังตื่นเต้าและโกรธจัด คะสึฮิโกะไม่ตอบได้แต่พยักหน้า
“มาจากโตเกียวคนเดียวอย่างนั้นรึ”
คะสึฮิโกะพยักหน้าอีก
“ขึ้นรถไฟมารึอย่างไร”
คะสึฮิโกะไม่ตอบได้แต่พยักหน้าอีก
“ทำไมถึงทำคุณพ่ออย่างนั้น ทำไมถึงทำอย่างนั้นฮึ”
เมื่อถูกรุริโกะคาดคั้นเอาด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเช่นนั้น คะสึฮิโกะก็หน้าแดงบิดตัวไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก ถ้าคะสึฮิโกะเป็นเด็กหนุ่มที่มีสติปัญญาปกติ รุริโกะคงจะได้คำตอบที่ตรงจากใจจริง คำตอบเฉกเช่นขุนพลผู้ภักดีให้แก่สตรีสูงศักดิ์ว่า “เพื่อช่วยชีวิตเธออย่างไรเล่า”
6
คะสึฮิโกะไม่ตอบสักคำไม่ว่ารุริโกะจะถามคาดคั้นอย่างไร ได้แต่ยิ้มอาย ๆ อยู่อย่างนั้น จนพ่อเฒ่าคิทะโรอดรนทนไม่ได้จึงรวบรวมความกล้าโพล่งออกไป
“คุณหนูร้ายกาจมาก คุณหนูมีเหตุผลอะไรถึงได้ฝ่าพายุฝนหนักอย่างนี้ออกจากโตเกียวมาทำร้ายคุณพ่อถึงที่นี่ เรื่องนี้ยังไม่ได้ชำระกันแต่คงต้องพักไว้ก่อน คุณนายขอรับ ตอนนี้อาการของนายท่านสำคัญกว่า เราต้องรีบทำอะไรเร่งด่วนเลยนะขอรับ”
พ่อเฒ่าคิทะโรตวาดกล่าวโทษคะสึฮิโกะด้วยความโกรธ ก่อนเดินกลับไปที่นายโชดะซึ่งนอนหมดสติเป็นตายเท่ากันอยู่กลางห้อง แต่รุริโกะไม่อาจทำใจให้ตำหนิคะสึฮิโกะได้รุนแรงเท่ากับพ่อเฒ่า แม้ปากจะคาดคั้นด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่ลึกลงไปในอกนั้นอดที่จะมีใจระลึกถึงบุญคุณอันอบอุ่นที่มีต่อผู้ช่วยชีวิตเธอด้วยความอาจหาญคนนี้ไม่ได้
ทันใดนั้นเอง นายโชดะส่งเสียงครางออกมาดัง ๆ ทำให้รุริโกะปราดเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว กล้ามเนื้อบนใบหน้ากว้างของชายผู้เคราะห์ร้ายกระตุกถี่ ๆ แขนขาใหญ่โตของเขาเกร็งแข็งและชักกระดอนขึ้นลงอยู่บนพื้นเสื่อทาทามิด้วยแรงทั้งหมดที่เหลือ
“น้ำ น้ำ”
นายโชดะร้องออกมาด้วยเสียงแหบโหย
หญิงรับใช้เอาถ้วยน้ำที่รีบไปหยิบเอามาแทบไม่ทันไปจ่อที่ปากและกำลังจะกรอกลงไป แต่ก็ทำไม่ได้ดังใจเพราะกล้ามเนื้อรอบ ๆ ปากสั่นไหวทำให้แก้วหกน้ำไหลลงไปถึงหน้าอก รุริโกะเห็นดังนั้นจึงดื่มน้ำในแก้วเข้าไปเต็มปากแล้วป้อนน้ำนั้นเข้าปากนายโชดะได้สำเร็จ แม้จะเป็นภรรยาแต่ในนามแต่จิตวิญญาณของความเป็นภรรยาก็ยังมี
น้ำช่วยให้ลำคอของนายโชดะชุ่มชื้นขึ้นพอที่จะพูดบอกอาการของตนออกมาได้ชัดเจนเป็นครั้งแรก
“โอ๊ย ทรมานเหลือเกิน อึดอัดหน้าอก หายใจไม่ออก...โอ๊ย”
นายโชดะร้องพลางยกมือขึ้นตะกุยที่หน้าอกตรงหัวใจ หลายครั้ง
“หมอจะมาเดี๋ยวนี้ค่ะ อดทนหน่อย ทำใจดี ๆ ไว้คุณ”
รุริโกะปลอบคนเจ็บ เธอพลอยลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกไปอีกคน
เสียงของรุริโกะคงจะเข้าไปกระทบหูของนายโชดะ เขาเบนสายตาที่ดูฝ้ามัวมาทางเธอแล้วบอกว่า
“รุริโกะ ฉันไม่ดีเอง ทั้งหมดเป็นเพราะฉันมันเป็นคนไม่ดี ยกโทษให้ฉันเถิดนะ”
ชายร่างใหญ่รวบรวมพละกำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดในกายตนเค้นคำพูดออกมาได้ในที่สุด รุริโกะที่เคยสงสัยในคำสารภาพของชายคนนี้เมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ไม่คิดสงสัยคำพูดของลูกผู้ชายที่อยู่ในสภาพใกล้สิ้นลมคนนี้อีกเลย คำพูดนั้นเสมือนเข็มปลายแหลมที่เสียดแทงทะลุเข้าไปในหัวใจที่ปิดกั้นเอาไว้ด้วยความเย็นชาของรุริโกะด้วย
“โอ๊ย ทรมานเหลือเกิน หน้าอกหน้าใจจะระเบิดอยู่แล้ว โอ๊ย...”
นายโชดะร้องพลางใช้มือทั้งสองกุมที่หัวใจ เกลือกกลิ้งตัวไปมาบนพื้นห้องสองรอบสามรอบ
“มินะโกะ มินะโกะ อยู่ไหมลูก”
อยู่ ๆ เขาก็ยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างลำบากแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องแต่ก็หาไม่เห็น ทนนั่งอยู่ได้แต่สองสามวินาทีก็ร่วงผลอยลงกับพื้นตามเดิม
“มินะโกะจะมาเดี๋ยวนี้เลย ดิฉันโทรไปเรียกแล้ว”
รุริโกะก้มลงบอกที่ข้างหู
“โอ๊ย...เจ็บเหลือเกิน ไหวแล้ว ฉันไม่ไหวแล้ว รุริโกะ...ฝากมินะโกะ กับ คะสึฮิโกะ ด้วยนะ ถึงเธอจะเกลียดฉัน แต่อย่าเกลียดไปถึงลูก ๆ เลยนะ ฉันไม่มีที่พึ่ง ไม่มีใครจะขอร้องได้อีกแล้วนอกจากเธอ อภัยให้ฉันเถิดนะ...ช่วยดูแลลูก ๆ ของฉันด้วย คะสึฮิโกะ...คะสึฮิโกะ”
นายโชดะพูดพลางพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งอีก คงเพราะอยากจะพูดกับลูกชายด้อยปัญญาของตนเป็นครั้งสุดท้าย แต่คะสึฮิโกะดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับความทุกข์ทรมานของพ่อที่ใกล้สิ้นลมเต็มที ได้แต่ยืนทำหน้าเฉยดูภาพความเป็นความตายตรงหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สมกับใคร ๆ
“โอ๊ย...ทรมานเหลือเกิน หายใจไม่ออกแล้ว...โอ๊ย”
นายโชดะร้องครางพลางไคว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวในวาระสุดท้าย รุริโกะยื่นมือขาวละมุนของเธอให้แก่สามีของเธอด้วยใจจริงเป็นครั้งแรก นายโชดะจับแขนงามระหงของรุรุโกะเอาไว้แล้วบีบด้วยแรงสุดท้ายที่เหลืออยู่ในชีวิต ชายร่างใหญ่ผู้อาภัพรักรู้สึกได้ถึงการให้อภัย รู้สึกได้ถึงอารมณ์ของภรรยาที่มีต่อตนจากมือขาวละมุนที่ยื่นให้ ก่อนที่จะหมดลม
7
หมอมาถึงเมื่อนายโชดะกำลังจะสิ้นลม เสื้อฝนที่เขาใส่มาเปียกโชกจนถึงปลายเสื้อและซึมเข้าไปในชุดสากลที่ใส่มาหลายจุด
“หมอจะขับรถมาแล้ว แต่พอออกจากบ้านมาได้ไม่เท่าไรก็เจอพายุหนักราวกับจะหอบรถปลิวไปทั้งคัน ก็เลยตัดสินใจเดินมา ไม่เป็นไรแล้วเพราะดูเหมือนพายุจะขึ้นไปทางเหนือ คงไม่เกิดภัยพิบัติเหมือนเมื่อคราวที่แล้วหรอก”
หมอท่าทางใจเย็นสมกับอาชีพ เดินตามหญิงรับใช้เข้าไปในห้องใหญ่ที่เกิดเหตุ
“ฟังอาการทางโทรศัพท์ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ จริงหรือครังที่บอกว่านายท่านต่อสู้กับโจรจนได้รับบาดเจ็บสาหัส”
หมอถามรุริโกะเมื่อเดินเข่าเข้าไปใกล้นายโชดะที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นห้อง
รุริโกะยังรักษาท่าทีที่สงบราบคาบเอาไว้
“ไม่ใช่หรอกค่ะ คนรับใช้กำลังตื่นเต้นก็เลยเรียนคุณหมอไปอย่างนั้น ที่ว่าขโมยขึ้นบ้านนั่นไม่จริงหรอกค่ะ คือมันน่าอายที่จะบอกว่า เกิดทะเลาะกันกับลูกชาย...”
รุริโกะพูดได้เพียงแค่นั้น แต่ดูเหมือนหมอจะเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที เขาจับตัวนายโชดะดูแล้วเริ่มตรวจอาการ
“มีบาดแผลที่ไหนไหมครับ”
“ดูเหมือนจะไม่มีค่ะ” รุริโกะตอบค่อย ๆ
“งั้นก็ไม่ต้องกังวล เพราะคงไปชนอะไรเข้าแล้วเป็นลมล้มไปน่ะ”
ว่าแล้วก็จับมือที่ขาวซีดขึ้นมาจับชีพจร หมอเงี่ยหูนิ่งอยู่ราวห้าหรือสิบวินาที และพอเห็นหน้าของนายโชดะที่ซีดจนเริ่มเขียวขึ้นมาทุกที เขาจึงตื่นตระหนกร้องออกมาว่า
“แย่แล้ว” และรีบลากหูฟังออกมาจากกระเป๋า แนบหาที่ตั้งของหัวใจบนหน้าอกที่กว้างใหญ่ ฟังแล้งฟังอีกเป็นหลายครั้ง
“แย่แล้ว” หมออุทานซ้ำอีกครั้ง
“แย่แล้ว หมายความว่าอย่างไรหรือคะคุณหมอ”
รุริโกะถามเสียงสั่นด้วยความอาทรอย่างล้ำลึก
“ดูเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นครับ ตอนมาตรวจหมอเตือนทุกครั้งเลยว่าให้ระวัง เพราะหลอดเลือดหัวใจมีไขมันเกาะอยู่มากเหลือเกิน ถ้าไม่คอยระวังจะเกิดอาการหัวใจขาดเลือดได้ง่าย ๆ หมอเตือนแล้วว่าอย่าไปมีเรื่องทะเลาะวิวาท หรือต่อสู้กับใคร เป็นอันขาด ตื่นเต้นมาก ๆ ก็ไม่ดี เตือนแล้วเตือนอีกเลยละครับ”
หมอแนบหูฟังลงไปบนร่างของนายโชดะพลางพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นเชิงโทษว่าคนไข้ของเขาไม่ทำตามคำเตือนจนต้องมาเป็นเช่นนี้
“รอบ ๆ หัวใจคนเรา ถ้ามีไขมันเกาะตัวอยู่มากเพียงใดหัวใจจะอ่อนแอลงมากเพียงนั้น บางคนเวลาเกิดไฟไหม้แค่วิ่งหนีไฟออกไปก็ล้มเสียแล้ว นายท่านดื่มเหล้าด้วยใช่ไหมครับ ยิ่งดื่มเหล้าแล้วออกกำลังต่อสู้อีก หัวใจก็ทนไม่ไหวหรอกครับ แค่ทะเลาะกับลูกทำไม่ไม่มีใครรีบห้ามเล่าครับ”
เมื่อได้ยินคำของหมอ รุริโกะรู้สึกเสียวแปลบขึ้นมาที่หัวในราวถูกแทงด้วยอาวุธแหลมคม
“หมอคิดว่าคงไม่มีหวัง แต่จะลองฉีดยากระตุ้นหัวใจดู
หมอเตรียมยาฉีดและฉีดลงไปในร่างของนายโชดะอย่างรวดเร็วด้วยความหวังที่จะยื้อวิญญาณที่กำลังละทิ้งร่างเอาไว้ แล้วยังบำบัดด้วยการช่วยหัวใจสองสามครั้งด้วย แต่ทว่าไม่ได้ผล...ยิ่งเวลาผ่านไปร่างใหญ่โตของนายโชดะก็ยิ่งสูญเสียความอุ่นที่มนุษย์พึงมีไปตามลำดับ ใบหน้ากว้างใหญ่ของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าของคนตาย
“หมอเสียใจครับ ที่ต้องบอกว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”
คำบอกกล่าวอย่างสิ้นหวังของหมอสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์เราไร้พลังต่อรองอย่างสิ้นเชิงกับความตาย
8
การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว จู่ ๆ ศัตรูก็มานอนนิ่งไร้ชีวิตอยู่ตรงหน้าเหมือนดินหรือหินสักก้อนที่ไร้จิตวิญญาณและพลัง อย่างไม่คาดฝัน อย่างทันทีทันใด และอย่างที่ไม่ได้คาดหมาย
เธอชนะแล้ว ชนะแน่นอนอย่างไม่มีใครปฏิเสธได้ ชายผู้หยิ่งผยอง ชายผู้ใช้อำนาจเงินเหยียดหยามคนอื่น ดูถูกดูแคลนคนอื่น บัดนี้นอนหมดฤทธิ์อยู่แทบเท้าของเธอ ตาย...เขาตายแล้ว และเธอได้ครองชัยชนะอย่างงดงาม
แต่เมื่อจ้องมองหน้าไร้ชีวิตนายโชดะ ความรู้สึกที่เต็มตื้นขึ้นมาในใจของรุริโกะนั้นแทนที่จะเป็นความปิติยินดีในชัยชนะกลับเป็นความเศร้า เป็นชัยชนะที่นำมาซึ่งความเศร้า ใช่...เธอชนะแน่นอน เธอชนะนายโชดะทางกาย แต่ทางใจของเขานั้นเล่าเธอชนะหรือไม่ ณ วินาทีที่นายโชดะจะหมดลม รุริโกะได้ชัยชนะเหนือจิตใจของเขาหรือเปล่า
ไม่...ไม่ชนะ มโนธรรมของรุริโกะค้าน จิตใจของนายโชเฮเมื่อความตายย่างใกล้เข้ามานั้น เปล่งประกายงดงามจนเพียงพอที่จะไถ่บาปทั้งหมดที่เขาก่อขึ้นมาชั่วชีวิต...ไม่ใช่หรือ
นายโชดะขออภัยรุริโกะ ขอโทษเธอ ทั้งยังขอร้องให้เธอช่วยดูแลลูกรักทั้งสองของเขา นายโชดะผู้ถูกภรรยาแต่ในนามต่อต้านอย่างสุดฤทธิ์ไม่ยอมรับเขาเป็นสามีคนนี้ กลับมอบความไว้วางใจอันงดงามไว้กับเธอ
สิ่งที่จับใจรุริโกะยิ่งไปกว่านั้น คือความรักลูกอย่างไม่มีวันสิ้นสุดที่เขาแสดงออกมาในวาระสุดท้ายก่อนหมดลมหายใจ แม้ว่าคะสึฮิโกะจะเป็นสาเหตุให้เขาต้องตาย แต่ ณ วินาทีที่ใกล้สิ้นใจเขาก็ยังเรียกหา...คะสึฮิโกะ...ลูกชายผู้ด้อยปัญญาด้วยความห่วงใยสุดแสน จิตใจอันงดงามสมกับความเป็นมนุษย์ของเขาเปล่งประกายออกมาให้เห็นในวินาทีแห่งความตาย...เธอก็เห็นมิใช่หรือ
ผู้ชายเธอตัดสินใจแต่งงานด้วยโดยถือว่าเป็นศัตรูที่ต้องแก้แค้น แม้หลังแต่งงานก็ยังทำให้เขาต้องทุกข์ทนเพราะไม่ยอมมอบให้ทั้งกายและใจให้แก่เขาที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี จนกระทั่งมีคะสึฮิโกะเข้ามาเป็นเครื่องมือให้เธอใช้ปั่นหัวเขาจนป่วนใจและทุกข์ทรมาน ถึงกระนั้นผู้ชายคนนี้ก็ยังไว้วางใจเธอจากใจจริง เมื่อได้ยินคำข้อร้องของนายโชดะก่อนสิ้นใจ รุริโกะรู้สึกเจ็บปวดลึกล้ำอย่างบอกไม่ถูกอยู่ภายใน
ปีศาจที่เธอสังหารเพราะคิดว่าเป็นปีศาจนั้นได้แสดงความเป็นมนุษย์ออกมาอย่างไม่คาดฝัน ขณะที่ขั้นตอนการสังหารและผลที่เกิดจากการสังหารกลับทำให้ตัวของรุริโกะซึ่งเป็นผู้สังหารเองนั้นอยู่ในสภาพที่ใกล้จะเป็นปีศาจอยู่แล้ว
เธอเอาชีวิตทั้งชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อพิชิตคน ๆ หนึ่งให้ได้ แต่พอทำสำเร็จจริง ๆ กลับรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ไม่มีแก่นสาร สงครามที่ทำให้เธอต้องทิ้งคนรัก ทิ้งความภาคภูมิใจในพรหมจรรย์ ยอมเสียชื่อเสียงในสังคม และทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อการต่อสู้นั้น เป็นสงครามนิรนามที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเห็นความสำคัญ
นายโชดะผู้แพ้ แม้จะแพ้ในการต่อสู้แต่ความเป็นมนุษย์ของเขาได้รับการกอบกู้ขึ้นมา ณ วินาทีที่จะสิ้นใจ แต่ รุริโกะผู้กำชัยชนะอย่างงดงามนั้นเล่ากลับตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง
ไม่มีอะไรที่จะทำให้จิตใจของคนเราห่อเหี่ยว ตกต่ำและสิ้นหวังได้เท่ากับเมื่อรู้ว่างานที่ได้ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเป็นเดิมพันนั้นเป็นภาพหลานลวงตาอยู่ในอากาศ
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้รุริโกะกลายเป็นคนใจหินราวกับคนละคน การกลับมาเป็นสาวพรหมจรรย์ที่สดใสบริสุทธิ์อย่างแต่ก่อนแม้กายจะยินยอมแต่ใจไม่พร้อมที่จะเป็น ยาพิษที่อาบไว้ทั้งกายและใจเพื่อต่อสู้กับศัตรูนั้น ไม่รู้ว่าซึมซับลึกล้ำลงไปในใจตั้งแต่เมื่อไร และจนบัดนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมลายหายไป
ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น ความหรูหราฟุ่มเฟือยทางวัตถุที่นายโชดะหามาเอาใจเมื่อรู้ว่าภรรยาในนามของเขาต้องการนั้น ได้เริ่มมีเสน่ห์เกาะกินใจหญิงสาวมาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรเช่นกัน
ความเป็นคนใจหิน ความงามสดใสบริสุทธิ์ของสาวพรหมจรรย์ เสน่ห์ของแม่ม่าย ที่หล่อหลอมขึ้นมาเป็นความงามหลายชั้นหลายเชิงของรุริโกะ รวมทั้งการมีอิสระที่จะประดับตกแต่งเสริมความงามอย่างไม่มีขอบเขตจำกัดนั้น เชิดชูให้หญิงสาวโดดเด่นราวนกยูงรำแพนอยู่ในวงสังคม เป็นที่ต้องตาต้องใจของบุรุษทุกคนไป
เทพนิยายกรีกมีเรื่องราวของอสูรกอร์กอนที่มีฤทธิ์สาปให้ใครก็ตามที่มองนางกลายเป็นหิน แล้วริริโกะนั้นเล่า ชายใดที่เข้ามาใกล้ ชายใดที่มองเธอ จะถูกสาปให้กลายร่างเป็นอะไรกันหนอ