你好 Nǐ hǎo หนี่ห่าว! สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้วครับ ถ้าพูดถึงเรื่องการเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ไปท่องเที่ยว ไปร่ำเรียนหรือธุระกิจการงานก็นับว่าทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้ตัวเองใช่ไหมครับ เพื่อนๆ เดินทางกันบ่อยไหม เคยไปประเทศใดเป็นที่แรกยังจำกันได้ไหมครับ สำหรับผมครั้งแรกที่ได้เดินทางออกนอกประเทศญี่ปุ่น คือไปเมืองจีน ตอนอายุ 13 ปีได้ไปทัศนศึกษากับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนครับ ตอนนั้นไปที่เมือง เซี่ยงไฮ้ 上海 Shanghai ,杭州 Hangzhou ,紹興 Shàoxīng นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ยังอยู่ในความทรงจำของผมอยู่เลย ถึงแม้ว่าตอนเด็กๆ จะยังไม่ประสีประสามากนักเวลาไปไหนมาไหนฟังคำเตือนจากคุณครูแค่ว่าให้ระมัดระวังมากๆ
ตอนนั้นไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับอีกโรงเรียนที่ท้องถิ่นเมืองจีน เขามีโชว์เต้นระบำแบบพื้นเมืองให้ทางพวกผมชม และทางโรงเรียนผมก็โชว์เต้นเล่าเรื่องสมัยที่ซามูไรยังมีฐานะทางสังคมเป็นชาวบ้านชาวนาทั่วไป ตอนที่มีการเล่าที่มาที่ไปของความหมายของโชว์ ล่ามที่แปลกลับแปลไม่ตรง ไม่แปลตรงที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ ได้เพราะไม่อยากให้กระทบจิตใจกัน คงเพราะเหตุจากสงครามโลกครั้งที่สองกระมังครับ ขนาดเรื่องของฝากที่จะให้โรงเรียนทางเมืองจีนก็นั้นคิดกันหลายอย่างมากแต่ก็โดนสั่งห้ามตลอดเพราะตอนนั้นคิดจะให้หมวกซามูไรที่พับจากกระดาษหรือที่เรียกว่า 折り紙 Origami ครูห้ามเพราะบอกว่ามันเป็นเรื่อง Sensitive เกินไปกลัวจะไปกระทบจิตใจกันเรื่องสมัยสงครามอีก
อธิบายเพิ่มเรื่อง Origami 折り紙 สักหน่อยครับ คือการพับกระดาษเพื่อสร้างสรรค์ให้เป็นรูปทรงหรือวัตถุต่างๆ มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะแล้วครับ และส่วนมากจะใช้กระดาษพับให้หมดแผ่นๆ ไปเลย จะไม่มีการตัดกระดาษ ส่วนหมวกซามูไรเรียกว่า Kabuto 兜 คือหมวกเกราะสำหรับสวมใส่ศีรษะเพื่อป้องกันอาวุธใช้คู่กับชุดเกราะของไดเมียว ซามูไร จะมีขนาดใหญ่โต เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงสถานะของผู้สวมใส่ เป็นการสร้างความน่าเกรงขามครับ
ช่วงที่ไปเมืองจีนคุณครูเตือนแล้วเตือนอีกว่าจะพูดอะไรต้องระมัดระวังให้มาก ระยะเวลา 10 กว่าวันที่อยู่ที่เมืองจีนมีล่ามคนหนึ่งที่คอยช่วยประสานงานต่างๆ นานา เป็นคนที่เก่งมาก พูดภาษาญี่ปุ่นเก่งมากๆ ผมสนุกมากและรู้สึกเป็นมิตรกับเขาจริงๆ ..เรื่องเมืองจีนเป็นความทรงจำที่ผมประทับใจมากเหมือนกัน ช่วงเรียนมัธยมมีคนถามเรื่องเมืองจีนหลายอย่างเหมือนกัน ครูที่สอนภาษาอังกฤษชอบถามเรื่องเมืองจีนบ่อยๆ เช่น ถามว่าห้องน้ำเป็นอย่างไร ตอนนั้นผมยังเด็กๆ ไม่ค่อยรู้อะไรมาก เวลาไปกับทัวร์ทัศนศึกษาของโรงเรียน ล่ามหรือไกด์ก็พาไปเข้าห้องน้ำตามร้านขายของฝากของที่ระลึกซึ่งมันก็ปกติ ผมก็ตอบเขาไปว่าห้องน้ำก็ปกติทั่วไป ไม่มีอะไรแปลก ..
ไม่เฉพาะผมที่พูดเรื่อง หนี่ห่าวโทอิเร ช่วงที่ผมเป็นนักเรียน เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเขียนโดย 椎名誠 Makoto Shiina ปัจจุบันน่าจะอายุประมาณ 70 ปีแล้วล่ะครับ เค้าเกิดที่เมืองโตเกียว เป็นนักเขียน แต่มียุคที่เปลี่ยนแปลงในชีวิต ตอนที่เป็นเด็กเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างมีอันจะกินก็จริงแต่มีเหตุให้ย้ายที่อยู่ตามครอบครัวไปอยู่ชานเมืองที่ค่อนข้างมีคนหาเช้ากินค่ำเยอะ มีเด็กเสเพลเยอะ คือมีวิถีชีวิตที่ต่างจากเดิมมาก พออายุได้ 12 ปี คุณพ่อของเค้าก็เสียชีวิต ตอนนั้นเค้าคิดว่า พ่อไม่อยู่แล้วใช้ชีวิตแบบเสเพลเหมือนเด็กๆ ทั่วไปแถวนี้ดีกว่า ดังนั้นตั้งแต่ ม.1- ม.6 ก็เลยใช้ชีวิตเป็นนักเรียนเสเพล คือเหมาหมดทั้งเหล้ายา ชกต่อย อันธพาลประจำเมือง พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เรียนไม่จบ เริ่มเขียนหนังสือ และมีชื่อเสียงในเวลาต่อมา งานเขียนของเขาไม่ใช่แนววรรณคดีจ๋า แต่ละออกแนวตลกล้อเลียน รวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยก็มีนะครับ เช่นเรื่อง ราชดำเนิน kick !
ส่วนใหญ่อ่านแล้วขำ ตลกแบบคิดไปได้ แต่มีหลายเรื่องที่เกี่ยวกับความรักของครอบครัวขนาดผมอ่านแล้วยังร้องไห้เลย มันเป็นเหมือนแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมอยากเป็นนักเขียนตั้งแต่เด็กๆ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับห้องน้ำที่เมืองจีน จากหนังสือที่เค้าเขียนชื่อเรื่องว่า 中国の鳥人 Chūgoku no chōjin เป็นนิยายตลกเนื้อหาส่วนใหญ่บ้าบ๊อง นิยายที่บรรยายโดยอ้างอิงมาจากการใช้ชีวิตจริงของคนในท้องถิ่นนั้นๆ เรื่องที่ว่านี้ฉากเกิดขึ้นที่เมืองจีน เมื่อตัวเอกเป็น คนญี่ปุ่นที่ต้องไปทำงานที่ยูนนาน หรือแถวเสฉวน เพื่อมุ่งหน้าหาหยกมาทำการค้าขาย เรื่องราวส่วนใหญ่ดราม่าแต่บ้าๆ บอๆ เวลาที่ตัวเอกของเรื่องเดินทางก็ยากลำบากนัก ยิ่งแถวเฉฉวนตอนที่ต้องล่องเรือไปนั้น ไม่มีเครื่องยนต์ ใช้เคลื่อนด้วยไดโนเสาร์ !! ( ตรงนี้คือจุดบ้าบ๊องแต่เรียกอารมณ์ขำขันให้คนอ่านได้ ) ตัวเอกของเรื่องเดินทางไปถึงเมืองหนึ่งที่มีคนในหมู่บ้านชอบเล่น Fly Man หรือคนบิน ตัวเอกพักที่หมู่บ้านนี้แล้วได้เจอสาวจีนหน้าตาสะสวยถูกใจมากแต่สื่อสารกันไม่ได้ ใจก็อยากอยู่ที่นี่นานๆ แต่ไม่ว่าไปเข้าห้องน้ำที่ไหนเศร้าใจตลอด มีครั้งหนึ่งปวดท้องอยากปลดทุกข์มากไปห้องน้ำสาธารณะแบบหนี่ห่าวโทอิเรไม่พอ จำใจทนได้ แต่กระเบื้องมันโยกได้นี่สิ วิ่งแทบไม่ทัน ( อ่านถึงตรงนี้ใครมีประสบการณ์ตรงก็จะนึกภาพออกแล้วขำกร๊ากว่า กระเบื้องโยกได้! ห้องส้วมโอเพ่นแอร์ แบบหนีห่าวโทอิเร!! เป็นต้น ) อยู่ไปอยู่มาแม่สาวคนสวยที่เป็นคุณครูสอนเทคนิคคนบิน ก็ให้ท่า ท่าไหนไม่รู้ล่ะกลายเป็นสามีภรรยากันจนได้ เธอชวนตัวเอกเรียนคนบิน ด้วยความเชื่อใจก็เลยลอง แต่ผิดท่าตกลงมาเสียชีวิตม่องเท่ง เรื่องจบแบบนี้ คือเรื่องที่นักเขียนคนนี้เขียนก็จะออกมาแนวนี้ หรือไม่ก็ซึ้งไปเลยคือเป็นคนที่เขียนได้หลากหลายอารมณ์มาก
จากนั้นเวลาผ่านไปจนผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 ผมก็ไปเที่ยวเมืองจีนอีกครั้ง และแวะไปหาล่ามท่านที่เคยเจอตอนเด็กๆ ด้วย ตอนแรกเขาก็จำผมไม่ได้เพราะเคยเจอกันตั้งแต่สมัยผมยังเป็นเด็กๆ อยู่เลย แต่ก็ต่อกันติดเหมือนเดิม
ที่สำคัญผมตามรอยนักเขียนได้ไปที่ยูนนานและเสฉวนด้วยครับ การเดินทางไปเที่ยวเมืองจีนครั้งที่ 2 นี่ผมไปเที่ยวหลายที่มาก ขึ้นเหนือล่องใต้ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน เป็นช่วงเวลาที่ได้สัมผัสความเป็นเมืองจีนอย่างแท้จริง ได้รู้จักกิติศัพท์เรื่องห้องน้ำอย่างที่เขาพูดกัน ห้องน้ำที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า 你好トイレ Nǐ hǎo toilet หนี่ห่าวโทอิเร หรือ ห้องน้ำแบบสวัสดีจ้ะเธอจ๋า แบบเปิดโล่ง ทุกทิศทาง ให้จ๊ะเอ๋กับคนที่มานั่งปล่อยทุกข์ข้างๆ ได้แบบซึ่งๆ หน้า บางทีดีหน่อยมีคอกเตี้ยๆ กันให้แต่ไม่มีประตูน้ะจ้า บางทีคอกสูงแต่ยกสูงเช่นกัน อย่าได้ก้มเพราะเห็นหมดจ้า นั่นคือประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมได้เห็น หนี่ห่าวโทอิเร และเพิ่งเข้าใจที่คุณครูหรือใครๆ ชอบถามว่า ห้องน้ำที่เมืองจีนเป็นยังไง!!
ที่ยูนานและเสฉวนนี่ต้องบอกเลยว่า ธรรมชาติที่นั้นสวยงามมากจริงๆ ยิ่งมีคนบอกว่ามีเมืองที่ขายเห็ด Matsutake ราคาถูกด้วย ผมก็ต้องไปดูให้เห็นกับตาเพื่อนๆ คงพอทราบว่าเห็ดชนิดนี้แพงมากที่ญี่ปุ่น เวลาซื้อที่ญี่ปุ่นซื้อขายกันเป็นชิ้น ชิ้น 2 ชิ้นก็หลายพันบาท ไม่เคยคิดเลยว่าที่เมืองจีนนี้ขายกันเป็นกิโลกรัม และราคาไม่แพง ผมซื้อไปครึ่งกิโล ได้เยอะมากกินคนเดียวก็ไม่หมดสักที ไปร้านอาหารก็เอาเห็ดที่ผมมีไปให้เขาทำอาหารให้ ที่เมืองนั้นผมได้เจอเพื่อนใหม่เป็นทหารญี่ปุ่นที่ลาออกมาเป็นนักเดินทางท่องเที่ยว วันหนึ่งพวกเราไปทานอาหารญี่ปุ่นกันก็พกเห็ดไปด้วยให้เค้าเอาใส่ซุป 土瓶蒸し Dobin-mushi ด้วย กินกันอร่อย คุยกันหลายเรื่องเมื่อวนมาถึงเรื่องห้องน้ำนี่ต่างก็บอกว่าเรื่องนี้ยาว คุยได้นานจบยาก
หลังจากที่พวกเราต้องเดินทางออกจากเมืองที่มีเห็ด Matsutake เพื่อไปเมืองใหญ่อีกเมือง ระหว่างทางจำเป็นต้องแวะพักค้างคืนที่เมืองเล็กๆ ระหว่างทางหนึ่งคืน เพราะคนขับรถบัสบอกว่าต้องพักแค่นี้ ทำให้พวกผมต้องพักที่นี่ เมืองนั้นเป็นเมืองเล็กๆ ที่โรงแรมเล็กๆ ที่พักนั้น มีแค่ห้องเล็กๆ ตอนที่พนักงานเอาน้ำชามาให้ก็ต้อนรับขับสู้อย่างดี เชิญให้ดื่มแนะนำเรื่องชาอย่างดี แต่พอพนักงานออกไปพวกเราก็มองหน้ากันว่าแล้วเขาไม่แนะนำเรื่องห้องน้ำหรอเนี่ย ในห้องนั้นไม่มีทั้งห้องอาบน้ำและห้องส้วม ตามปกติโรงแรมแบบนี้พวกนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กเกอร์จะรู้กันว่าไม่มีที่อาบน้ำเป็นเรื่องปกติแต่ที่นี่ไม่มีที่ปล่อยทุกข์ด้วย แล้วพวกที่มาพักนี่เขาทำไงกันหวา นายทหารเพื่อนผมบอกว่าที่ห้องเจ้าของโรงแรมหรือพนักงานต้องมีแน่ๆ แต่คงไม่ให้แขกที่มาพักใช้เพราะคงกลัวสกปรก ผมก็เห็นด้วยแล้วพวกเราจะไปใช้ห้องส้วมที่ไหนล่ะเนี่ย นึกไปนึกมาว่าที่ศูนย์รถบัสต้องมีห้องน้ำแน่ๆ ว่าแล้วก็พากันไป มีจริงๆ ครับเป็นห้องน้ำที่ต้องจ่ายเงินเข้าแต่ว่าขอบอกเลยว่าสกปรกมาก จนนายทหารไม่ไหว รับยากจิตตกอย่างแรง พวกผมเลยมาฉี่กันข้างทาง นี่ยังนึกเลยว่าถ้าเป็นผู้หญิงจะทำอย่างไร วันรุ่งขึ้นพวกผมต้องใช้น้ำและล้างคอนแทคเลนส์ก็ไปเข้าห้องน้ำที่โรงแรมที่มีระดับดีหน่อย พวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็แปลกและได้ประสบการณ์อีกแบบ
ที่ผมพูดเรื่องห้องน้ำแบบหนี่ห่าวโทอิเรนี่คือ ประสบการณ์นู้นตั้งแต่สมัยสิบยี่สิบปีที่แล้วนะครับ สมัยนี้คงไม่ค่อยมีแบบนี้แล้วมั้งครับเพราะล่าสุดที่ไปเมืองจีนเมื่อสองสามเดือนก่อนห้องน้ำหรูหรามากมีระบบออโต้อีกด้วย มันเลยทำให้ผมยิ่งนึกถึงประสบการณ์สมัยก่อนว่าแม้จะยากลำบากแต่จำไม่ลืมเลยจริงๆ นึกทีไรมีอีกหลายเรื่องที่เอามาเขียนเล่าสู่กันฟังได้ แต่วันนี้เอาแค่นี้ก่อน วันนี้สวัสดีครับ
ตอนนั้นไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับอีกโรงเรียนที่ท้องถิ่นเมืองจีน เขามีโชว์เต้นระบำแบบพื้นเมืองให้ทางพวกผมชม และทางโรงเรียนผมก็โชว์เต้นเล่าเรื่องสมัยที่ซามูไรยังมีฐานะทางสังคมเป็นชาวบ้านชาวนาทั่วไป ตอนที่มีการเล่าที่มาที่ไปของความหมายของโชว์ ล่ามที่แปลกลับแปลไม่ตรง ไม่แปลตรงที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ ได้เพราะไม่อยากให้กระทบจิตใจกัน คงเพราะเหตุจากสงครามโลกครั้งที่สองกระมังครับ ขนาดเรื่องของฝากที่จะให้โรงเรียนทางเมืองจีนก็นั้นคิดกันหลายอย่างมากแต่ก็โดนสั่งห้ามตลอดเพราะตอนนั้นคิดจะให้หมวกซามูไรที่พับจากกระดาษหรือที่เรียกว่า 折り紙 Origami ครูห้ามเพราะบอกว่ามันเป็นเรื่อง Sensitive เกินไปกลัวจะไปกระทบจิตใจกันเรื่องสมัยสงครามอีก
อธิบายเพิ่มเรื่อง Origami 折り紙 สักหน่อยครับ คือการพับกระดาษเพื่อสร้างสรรค์ให้เป็นรูปทรงหรือวัตถุต่างๆ มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะแล้วครับ และส่วนมากจะใช้กระดาษพับให้หมดแผ่นๆ ไปเลย จะไม่มีการตัดกระดาษ ส่วนหมวกซามูไรเรียกว่า Kabuto 兜 คือหมวกเกราะสำหรับสวมใส่ศีรษะเพื่อป้องกันอาวุธใช้คู่กับชุดเกราะของไดเมียว ซามูไร จะมีขนาดใหญ่โต เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงสถานะของผู้สวมใส่ เป็นการสร้างความน่าเกรงขามครับ
ช่วงที่ไปเมืองจีนคุณครูเตือนแล้วเตือนอีกว่าจะพูดอะไรต้องระมัดระวังให้มาก ระยะเวลา 10 กว่าวันที่อยู่ที่เมืองจีนมีล่ามคนหนึ่งที่คอยช่วยประสานงานต่างๆ นานา เป็นคนที่เก่งมาก พูดภาษาญี่ปุ่นเก่งมากๆ ผมสนุกมากและรู้สึกเป็นมิตรกับเขาจริงๆ ..เรื่องเมืองจีนเป็นความทรงจำที่ผมประทับใจมากเหมือนกัน ช่วงเรียนมัธยมมีคนถามเรื่องเมืองจีนหลายอย่างเหมือนกัน ครูที่สอนภาษาอังกฤษชอบถามเรื่องเมืองจีนบ่อยๆ เช่น ถามว่าห้องน้ำเป็นอย่างไร ตอนนั้นผมยังเด็กๆ ไม่ค่อยรู้อะไรมาก เวลาไปกับทัวร์ทัศนศึกษาของโรงเรียน ล่ามหรือไกด์ก็พาไปเข้าห้องน้ำตามร้านขายของฝากของที่ระลึกซึ่งมันก็ปกติ ผมก็ตอบเขาไปว่าห้องน้ำก็ปกติทั่วไป ไม่มีอะไรแปลก ..
ไม่เฉพาะผมที่พูดเรื่อง หนี่ห่าวโทอิเร ช่วงที่ผมเป็นนักเรียน เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเขียนโดย 椎名誠 Makoto Shiina ปัจจุบันน่าจะอายุประมาณ 70 ปีแล้วล่ะครับ เค้าเกิดที่เมืองโตเกียว เป็นนักเขียน แต่มียุคที่เปลี่ยนแปลงในชีวิต ตอนที่เป็นเด็กเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างมีอันจะกินก็จริงแต่มีเหตุให้ย้ายที่อยู่ตามครอบครัวไปอยู่ชานเมืองที่ค่อนข้างมีคนหาเช้ากินค่ำเยอะ มีเด็กเสเพลเยอะ คือมีวิถีชีวิตที่ต่างจากเดิมมาก พออายุได้ 12 ปี คุณพ่อของเค้าก็เสียชีวิต ตอนนั้นเค้าคิดว่า พ่อไม่อยู่แล้วใช้ชีวิตแบบเสเพลเหมือนเด็กๆ ทั่วไปแถวนี้ดีกว่า ดังนั้นตั้งแต่ ม.1- ม.6 ก็เลยใช้ชีวิตเป็นนักเรียนเสเพล คือเหมาหมดทั้งเหล้ายา ชกต่อย อันธพาลประจำเมือง พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เรียนไม่จบ เริ่มเขียนหนังสือ และมีชื่อเสียงในเวลาต่อมา งานเขียนของเขาไม่ใช่แนววรรณคดีจ๋า แต่ละออกแนวตลกล้อเลียน รวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยก็มีนะครับ เช่นเรื่อง ราชดำเนิน kick !
ส่วนใหญ่อ่านแล้วขำ ตลกแบบคิดไปได้ แต่มีหลายเรื่องที่เกี่ยวกับความรักของครอบครัวขนาดผมอ่านแล้วยังร้องไห้เลย มันเป็นเหมือนแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมอยากเป็นนักเขียนตั้งแต่เด็กๆ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับห้องน้ำที่เมืองจีน จากหนังสือที่เค้าเขียนชื่อเรื่องว่า 中国の鳥人 Chūgoku no chōjin เป็นนิยายตลกเนื้อหาส่วนใหญ่บ้าบ๊อง นิยายที่บรรยายโดยอ้างอิงมาจากการใช้ชีวิตจริงของคนในท้องถิ่นนั้นๆ เรื่องที่ว่านี้ฉากเกิดขึ้นที่เมืองจีน เมื่อตัวเอกเป็น คนญี่ปุ่นที่ต้องไปทำงานที่ยูนนาน หรือแถวเสฉวน เพื่อมุ่งหน้าหาหยกมาทำการค้าขาย เรื่องราวส่วนใหญ่ดราม่าแต่บ้าๆ บอๆ เวลาที่ตัวเอกของเรื่องเดินทางก็ยากลำบากนัก ยิ่งแถวเฉฉวนตอนที่ต้องล่องเรือไปนั้น ไม่มีเครื่องยนต์ ใช้เคลื่อนด้วยไดโนเสาร์ !! ( ตรงนี้คือจุดบ้าบ๊องแต่เรียกอารมณ์ขำขันให้คนอ่านได้ ) ตัวเอกของเรื่องเดินทางไปถึงเมืองหนึ่งที่มีคนในหมู่บ้านชอบเล่น Fly Man หรือคนบิน ตัวเอกพักที่หมู่บ้านนี้แล้วได้เจอสาวจีนหน้าตาสะสวยถูกใจมากแต่สื่อสารกันไม่ได้ ใจก็อยากอยู่ที่นี่นานๆ แต่ไม่ว่าไปเข้าห้องน้ำที่ไหนเศร้าใจตลอด มีครั้งหนึ่งปวดท้องอยากปลดทุกข์มากไปห้องน้ำสาธารณะแบบหนี่ห่าวโทอิเรไม่พอ จำใจทนได้ แต่กระเบื้องมันโยกได้นี่สิ วิ่งแทบไม่ทัน ( อ่านถึงตรงนี้ใครมีประสบการณ์ตรงก็จะนึกภาพออกแล้วขำกร๊ากว่า กระเบื้องโยกได้! ห้องส้วมโอเพ่นแอร์ แบบหนีห่าวโทอิเร!! เป็นต้น ) อยู่ไปอยู่มาแม่สาวคนสวยที่เป็นคุณครูสอนเทคนิคคนบิน ก็ให้ท่า ท่าไหนไม่รู้ล่ะกลายเป็นสามีภรรยากันจนได้ เธอชวนตัวเอกเรียนคนบิน ด้วยความเชื่อใจก็เลยลอง แต่ผิดท่าตกลงมาเสียชีวิตม่องเท่ง เรื่องจบแบบนี้ คือเรื่องที่นักเขียนคนนี้เขียนก็จะออกมาแนวนี้ หรือไม่ก็ซึ้งไปเลยคือเป็นคนที่เขียนได้หลากหลายอารมณ์มาก
จากนั้นเวลาผ่านไปจนผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 ผมก็ไปเที่ยวเมืองจีนอีกครั้ง และแวะไปหาล่ามท่านที่เคยเจอตอนเด็กๆ ด้วย ตอนแรกเขาก็จำผมไม่ได้เพราะเคยเจอกันตั้งแต่สมัยผมยังเป็นเด็กๆ อยู่เลย แต่ก็ต่อกันติดเหมือนเดิม
ที่สำคัญผมตามรอยนักเขียนได้ไปที่ยูนนานและเสฉวนด้วยครับ การเดินทางไปเที่ยวเมืองจีนครั้งที่ 2 นี่ผมไปเที่ยวหลายที่มาก ขึ้นเหนือล่องใต้ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน เป็นช่วงเวลาที่ได้สัมผัสความเป็นเมืองจีนอย่างแท้จริง ได้รู้จักกิติศัพท์เรื่องห้องน้ำอย่างที่เขาพูดกัน ห้องน้ำที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า 你好トイレ Nǐ hǎo toilet หนี่ห่าวโทอิเร หรือ ห้องน้ำแบบสวัสดีจ้ะเธอจ๋า แบบเปิดโล่ง ทุกทิศทาง ให้จ๊ะเอ๋กับคนที่มานั่งปล่อยทุกข์ข้างๆ ได้แบบซึ่งๆ หน้า บางทีดีหน่อยมีคอกเตี้ยๆ กันให้แต่ไม่มีประตูน้ะจ้า บางทีคอกสูงแต่ยกสูงเช่นกัน อย่าได้ก้มเพราะเห็นหมดจ้า นั่นคือประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมได้เห็น หนี่ห่าวโทอิเร และเพิ่งเข้าใจที่คุณครูหรือใครๆ ชอบถามว่า ห้องน้ำที่เมืองจีนเป็นยังไง!!
ที่ยูนานและเสฉวนนี่ต้องบอกเลยว่า ธรรมชาติที่นั้นสวยงามมากจริงๆ ยิ่งมีคนบอกว่ามีเมืองที่ขายเห็ด Matsutake ราคาถูกด้วย ผมก็ต้องไปดูให้เห็นกับตาเพื่อนๆ คงพอทราบว่าเห็ดชนิดนี้แพงมากที่ญี่ปุ่น เวลาซื้อที่ญี่ปุ่นซื้อขายกันเป็นชิ้น ชิ้น 2 ชิ้นก็หลายพันบาท ไม่เคยคิดเลยว่าที่เมืองจีนนี้ขายกันเป็นกิโลกรัม และราคาไม่แพง ผมซื้อไปครึ่งกิโล ได้เยอะมากกินคนเดียวก็ไม่หมดสักที ไปร้านอาหารก็เอาเห็ดที่ผมมีไปให้เขาทำอาหารให้ ที่เมืองนั้นผมได้เจอเพื่อนใหม่เป็นทหารญี่ปุ่นที่ลาออกมาเป็นนักเดินทางท่องเที่ยว วันหนึ่งพวกเราไปทานอาหารญี่ปุ่นกันก็พกเห็ดไปด้วยให้เค้าเอาใส่ซุป 土瓶蒸し Dobin-mushi ด้วย กินกันอร่อย คุยกันหลายเรื่องเมื่อวนมาถึงเรื่องห้องน้ำนี่ต่างก็บอกว่าเรื่องนี้ยาว คุยได้นานจบยาก
หลังจากที่พวกเราต้องเดินทางออกจากเมืองที่มีเห็ด Matsutake เพื่อไปเมืองใหญ่อีกเมือง ระหว่างทางจำเป็นต้องแวะพักค้างคืนที่เมืองเล็กๆ ระหว่างทางหนึ่งคืน เพราะคนขับรถบัสบอกว่าต้องพักแค่นี้ ทำให้พวกผมต้องพักที่นี่ เมืองนั้นเป็นเมืองเล็กๆ ที่โรงแรมเล็กๆ ที่พักนั้น มีแค่ห้องเล็กๆ ตอนที่พนักงานเอาน้ำชามาให้ก็ต้อนรับขับสู้อย่างดี เชิญให้ดื่มแนะนำเรื่องชาอย่างดี แต่พอพนักงานออกไปพวกเราก็มองหน้ากันว่าแล้วเขาไม่แนะนำเรื่องห้องน้ำหรอเนี่ย ในห้องนั้นไม่มีทั้งห้องอาบน้ำและห้องส้วม ตามปกติโรงแรมแบบนี้พวกนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กเกอร์จะรู้กันว่าไม่มีที่อาบน้ำเป็นเรื่องปกติแต่ที่นี่ไม่มีที่ปล่อยทุกข์ด้วย แล้วพวกที่มาพักนี่เขาทำไงกันหวา นายทหารเพื่อนผมบอกว่าที่ห้องเจ้าของโรงแรมหรือพนักงานต้องมีแน่ๆ แต่คงไม่ให้แขกที่มาพักใช้เพราะคงกลัวสกปรก ผมก็เห็นด้วยแล้วพวกเราจะไปใช้ห้องส้วมที่ไหนล่ะเนี่ย นึกไปนึกมาว่าที่ศูนย์รถบัสต้องมีห้องน้ำแน่ๆ ว่าแล้วก็พากันไป มีจริงๆ ครับเป็นห้องน้ำที่ต้องจ่ายเงินเข้าแต่ว่าขอบอกเลยว่าสกปรกมาก จนนายทหารไม่ไหว รับยากจิตตกอย่างแรง พวกผมเลยมาฉี่กันข้างทาง นี่ยังนึกเลยว่าถ้าเป็นผู้หญิงจะทำอย่างไร วันรุ่งขึ้นพวกผมต้องใช้น้ำและล้างคอนแทคเลนส์ก็ไปเข้าห้องน้ำที่โรงแรมที่มีระดับดีหน่อย พวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็แปลกและได้ประสบการณ์อีกแบบ
ที่ผมพูดเรื่องห้องน้ำแบบหนี่ห่าวโทอิเรนี่คือ ประสบการณ์นู้นตั้งแต่สมัยสิบยี่สิบปีที่แล้วนะครับ สมัยนี้คงไม่ค่อยมีแบบนี้แล้วมั้งครับเพราะล่าสุดที่ไปเมืองจีนเมื่อสองสามเดือนก่อนห้องน้ำหรูหรามากมีระบบออโต้อีกด้วย มันเลยทำให้ผมยิ่งนึกถึงประสบการณ์สมัยก่อนว่าแม้จะยากลำบากแต่จำไม่ลืมเลยจริงๆ นึกทีไรมีอีกหลายเรื่องที่เอามาเขียนเล่าสู่กันฟังได้ แต่วันนี้เอาแค่นี้ก่อน วันนี้สวัสดีครับ