คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"
ฉันมักจะได้ยินเรื่องของคนไทยที่อยากไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่น เพราะคิดว่าญี่ปุ่นเจริญ ค่าครองชีพสูง รายได้สูง คนใจดี ชีวิตคงดีถ้าได้ไปอยู่ที่นั่น ส่วนจะไปอยู่ต้องทำอย่างไรบ้างนั้นไม่ทราบ ภาษาก็ไม่รู้เลย แถมสาวบางคนก็คิดหาทางลัดด้วยการจะแต่งกับผู้ชายญี่ปุ่น ฟังแล้วอยากกุมขมับ อยากเตือนสักนิดค่ะว่าไม่มีการใช้ชีวิตที่ไหนง่ายและสะดวกโยธินตามความปรารถนากันง่าย ๆ อย่างนั้น
ยิ่งกับประเทศญี่ปุ่นที่จำกัดเสรีภาพและอิสรภาพค่อนข้างมากด้วยแล้ว แถมคนญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้ชอบคนต่างชาติมากนัก คนที่ดูถูกคนต่างชาติก็ไม่ใช่น้อย ยิ่งต่างชาติที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ พูดไม่เป็น ฟังไม่รู้เรื่องนี่คงไม่ต้องพูดถึง การไปอยู่ต่างแดนโดยที่สื่อสารกับเขาไม่ได้ และไม่ทำความเข้าใจกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมเขาให้ดีนี่จะอยู่ลำบาก
ญี่ปุ่นอาจเป็นประเทศที่น่าไปท่องเที่ยว แต่ในแง่ของการอยู่อาศัยอาจจะไม่ใช่ คนญี่ปุ่นมีความเครียดสูงมาก ลำพังแค่การหางานก็เป็นเรื่องยากแล้วแม้กระทั่งสำหรับตัวคนญี่ปุ่นเอง ขนาดเด็กจบใหม่จากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นยังใช่ว่าทุกแห่งจะอ้าแขนรับ ที่ญี่ปุ่นนี้นักศึกษาจะเริ่มหางานกันอย่างจริงจังตั้งแต่อยู่ปีสาม และส่งใบสมัครทีไม่ใช่แค่ 5-10 แห่ง แต่ประมาณ 200กว่าแห่ง และที่จะได้เรียกตัวเข้าสัมภาษณ์ก็ยิ่งน้อยลงเป็นทวีคูณ ฉันเคยได้ยินว่าไม่ถึงสิบแห่ง และกว่าเราจะผ่านด่านต่าง ๆ ไปจนถึงว่าได้รับเลือกเข้าทำงานหรือไม่ก็ต้องเข้ารับการทดสอบหลายรอบ และเมื่อได้รับเข้าทำงานก็ไม่ได้มีสิทธิ์เลือกตำแหน่งงานที่อยากทำ แต่บริษัทจะเป็นคนกำหนดให้เองว่าจะให้ทำงานอะไร อย่างเพื่อนร่วมรุ่นของสามีฉันต่างก็ได้งานในแผนกเดียวกันหมด แต่ของสามีฉันไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขาเท่าไหร่ที่ไปอยู่แผนกอื่น เขาเล่าว่าได้คุยกับคนที่สัมภาษณ์เขาว่าอยากทำงานแบบไหน ก็เลยได้ทำงานที่ตัวเองสนใจ ฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าบริษัททั่วไปเขายอมให้พนักงานใหม่บอกความต้องการอย่างนี้ได้หรือเปล่า?
ฉันเคยมีโอกาสเข้าไปในบริษัทสัญชาติฝรั่งแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เท่าที่ฉันกวาดตาดูก็เห็นพนักงานเป็นญี่ปุ่น(หรือไม่ก็ดูเหมือนญี่ปุ่น)ทั้งสิ้น แม้จะเป็นบริษัทฝรั่งแต่การทำงานแบบญี่ปุ่นเป๊ะ ๆ โต๊ะทำงานของแต่ละคนจะเรียงชิดกันกับโต๊ะของคนอื่นเป็นหน้ากระดานราว ๆ สี่ห้าโต๊ะ และก็มีโต๊ะที่เรียงชิดกันอีกแบบนี้หันหน้าเข้าหาตัว เรียงกันไปแบบนี้ตลอดทั้งพื้นที่ของชั้นนั้นโดยไม่มีคอกกั้นแยกความเป็นสัดส่วน เสมือนห้องเรียนรวมขนาดใหญ่เรียกได้ว่าเงยหน้าก็เจออีกคนหันเข้าหาตัว หันซ้ายหันขวา หรือหันหลังก็เจออีกคน เห็นแค่นี้ฉันก็เครียดแทนแล้วค่ะ แถมตรงด้านหน้าสุดมีโต๊ะตัวหนึ่งอยู่บนยกพื้นสูงกว่าโต๊ะอื่น ๆ คาดว่าคงเป็นของหัวหน้าแผนกนั้น จากโต๊ะตัวนี้ไปคาดว่าน่าจะมองเห็นโต๊ะอื่น ๆ หมดตลอดทั้งห้อง บรรยากาศการทำงานนี่คุกรุ่นมาก ยิ่งมีเสียงโทรศัพท์ดัง หรือมีคนคุยโทรศัพท์ ก็รบกวนสมาธิ ชวนหงุดหงิดได้ไม่ยากเลย หากงานที่ทำอยู่ไม่มีความสนุก ไม่ชูใจ หรือได้เพื่อนร่วมงานไม่ดีก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก
แล้วคนญี่ปุ่นเขาก็ไม่ได้เข้างานกันเก้าโมงเช้าเลิกห้าโมงเย็นตรงเวลาเป๊ะ มีแต่คนมาก่อนเวลาและกลับกันดึกดื่น ดึกนี่คือดึกจริง สี่ห้าทุ่มหรือเลยเที่ยงคืนไปแล้ว บางทีเขากลับบ้านไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายก็ต้องเช่าโรงแรมแคปซูล (จะมีแค่พื้นที่นอนแคบ ๆ เหมือนแคปซูล) แล้ววันต่อไปก็ไปทำงานต่อโดยไม่ได้กลับบ้าน อาจเพราะอย่างนี้ญี่ปุ่นถึงมีคำว่า “ตายเพราะทำงานหนักเกินไป” ฟังดูแล้วก็สงสารคนญี่ปุ่นมากที่ประเทศเขาเจริญเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่แลกมาด้วยชีวิตคนทั้งชีวิตที่ทำงานเสมือนเครื่องจักร ต้องอยู่ในกรอบอยู่ในแบบแผนของสังคมที่ทำงานและสังคมโดยทั่วไปอันเคร่งเครียด ถูกคาดหวังให้ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดทั้งชีวิต
ส่วนคนไทยที่ได้งานบริษัทญี่ปุ่นนั้น เท่าที่เคยได้ยินมาคือมีความสามารถจริง และสอบผ่านการวัดระดับภาษาญี่ปุ่นระดับสูงสุดแล้ว แต่กระนั้นเองก็ใช่ว่าจะง่าย เพราะภาษาที่ใช้ในชีวิตการทำงานจริง ๆ บางทีมันก็ไม่ได้มีอยู่ในตำรา ก็ต้องไปศึกษาเพิ่มเติม ส่วนมากก็ได้จากประสบการณ์ทำงาน จากการได้พูดคุยกับคนอื่นบ่อย ๆ จนคล่องภาษาญี่ปุ่นไปเอง เข้าใจวิธีการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมทำงานญี่ปุ่นไปเอง แม้จะชินแล้ว ปรับตัวได้แล้ว แต่ละคนก็ยังบอกว่าเครียดมาก และไม่แนะนำให้มาทำงานในญี่ปุ่นเอาเลย
ในขณะเดียวกัน คนญี่ปุ่นที่เกลียดต่างชาติก็มีไม่น้อย บางทีนั่งรถไฟอยู่ ถ้าฉันคุยกับใครด้วยภาษาไทย คนจะหันมามองจ้องนิ่ง ๆ พอหันไปเขาก็หันไปทางอื่น แต่เหมือนแอบจงใจให้เห็นนิด ๆ ว่าเมื่อกี้เขามอง ส่วนมากมักเป็นผู้ชายที่เป็นแบบนี้ ฉันเคยนั่งคุยกับเพื่อนคนไทยในร้านอาหารสองคน ลุงคนญี่ปุ่นที่มากับภรรยาและนั่งโต๊ะข้าง ๆ หันมามองด้วยสายตาเย็นชาราวกับจะบอกว่า "กล้าดีอย่างไรที่มาหายใจด้วยอากาศเดียวกันกับเขา !" สายตานั่นเสมือนสั่งให้พวกฉันหายตัวไปจากที่นั่นเดี๋ยวนั้น ฉันอยากจะหันไปบอกมากเลยว่า “ฉันจ่ายภาษีนะคะ และประกันสังคมที่คุณใช้รักษาพยาบาลฉันก็จ่ายด้วยเหมือนกัน” หรือไม่ก็ยุให้คนพวกนี้ปฏิวัติปิดประเทศไปเสียเลยแล้วดูซิว่าจะอยู่รอดไหม โดยเฉพาะในยุคที่อุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกรุ่งเรืองด้วยการพึ่งพาค่าแรงราคาถูกในประเทศกำลังพัฒนาแบบนี้ แหม คิดไปเสียไกล
ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าสมัยที่ญี่ปุ่นปิดประเทศนั้นกินระยะเวลายาวนานราวๆ สองร้อยปีได้ อาจเพราะอย่างนี้คนเขาก็เลยรู้สึกปลอดภัยกับการอยู่กับคนชาติเดียวกันเอง และรู้สึกอีหลักอีเหลื่อที่มี “คนนอก” เข้ามาปะปนอยู่ด้วย เดี๋ยวนี้ดูเหมือนคนญี่ปุ่นจะยอมรับคนต่างชาติได้มากกว่าเมื่อก่อน เพราะคนต่างชาติเข้ามาอยู่เยอะขึ้น และญี่ปุ่นเองก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับกระแสโลกาภิวัฒน์มากขึ้น แต่ก็ยังมีคนที่มีอคติอยู่เยอะ แม้จะไม่ได้พูดออกมาโต้ง ๆ แต่ก็เป็นที่รับรู้ได้ ยิ่งเวลาคนต่างชาติไปก่อเรื่อง หรือก่อคดีอาญานี่ก็ยิ่งไปกระตุ้นความไม่ชอบคนต่างชาติขึ้นมาได้อีก คงไม่ต่างจากบ้านเราที่มีแรงงานต่างด้าวเข้ามาเยอะขึ้น และบางทีคนเหล่านี้ก็ถูกมองในแง่ลบ ทั้ง ๆ ที่จริงเชื้อชาติหรือสัญชาติก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าคนนั้นดีกว่าหรือคนนี้ร้ายกว่าเลยสักนิด
เมื่อก่อนฉันเห็นป้ายรับสมัครพนักงานร้านราเม็งที่ฉันชอบไปบ่อย ๆ ฉันเลยบอกเขาว่าอยากสมัครงานนั้น เขาบอกว่าอ้อ งานนั้นรับคนไปแล้วล่ะ ฉันก็ถามต่อว่าอ้าวแต่ประกาศยังอยู่เลย เขาก็บอกว่ายังไม่ได้แกะออกเท่านั้นแหละ หรืออย่างร้านเช่าวีดีโอที่กำลังรับสมัครพนักงานก็เหมือนกัน ฉันโทรไปถามที่ร้าน พอผู้จัดการร้านรู้ว่าฉันเป็นต่างชาติก็ไม่ปฏิเสธตรง ๆ แต่บอกว่างานนี้ไม่ง่ายหรอก ต้องคล่องภาษาญี่ปุ่น มันยากนะ ฟังไปฟังมา ฉันก็พอเข้าใจว่ามันเป็นวิธีการปฏิเสธของเขาที่ไม่พูดตรง ๆ ว่า "ไม่รับต่างชาตินะ !" อะไรทำนองนี้
ขนาดว่าญี่ปุ่นอยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงาน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแรงงานด้านการพยาบาลผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่เด็กเกิดใหม่น้อยลง ๆ เขาก็ยังไม่อยากรับพยาบาลต่างชาติอยู่ดี ข้อจำกัดต่าง ๆ มีมากมายจนทำให้คนจากประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยากเข้ามาทำงานพยาบาลในญี่ปุ่นผ่านเกณฑ์ที่เขากำหนดยากมาก และแม้จะผ่าน คนญี่ปุ่นบางคนที่มีอคติต่อคนต่างชาติก็เรียกร้องว่าจะให้พยาบาลคนญี่ปุ่นเท่านั้นที่มาดูแลตน อาจเพราะความจุกจิกต่าง ๆ ในแบบแผนที่เคร่งครัดของความเป็นคนญี่ปุ่นเองทำให้คนญี่ปุ่นคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะรู้และปฏิบัติในกรอบ ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นเหมือนกันทำอะไรก็ถูกใจโดยไม่ต้องให้พูด แต่พออีกฝ่ายเป็นต่างชาติ มุมมองก็ต่าง ค่านิยมก็ต่าง ความละเอียดอ่อนก็ต่าง ก็อาจสร้างความไม่ชอบใจขึ้นมาได้
แต่แม้ญี่ปุ่นจะไม่ชอบคนต่างชาติ แต่ก็น่ายกย่องที่เขาก็มีความยืดหยุ่นในการรองรับคนต่างชาติในหลาย ๆ ส่วน อย่างพอญี่ปุ่นขาดดุลการค้าอย่างรุนแรงจากผลกระทบของแผ่นดินไหว สึนามิ และการระงับใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จนทำให้ต้องซื้อพลังงานนำเข้าราคาสูงและเศรษฐกิจย่ำแย่ เขาก็หันมาดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน หนึ่งในนั้นคือการผ่อนปรนเรื่องวีซ่านักท่องเที่ยวแก่ประเทศอาเซียน ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่กันไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเป็นประวัติการณ์ พวกที่มีกำลังซื้อสูงมากก็ได้แก่บรรดาขาช้อปทั้งหลาย ซึ่งก็คงทำให้เม็ดเงินส่วนหนึ่งพากันหลั่งไหลจากนอกประเทศเข้าญี่ปุ่นได้ไม่ยาก
ญี่ปุ่นไม่ได้เพียงแค่ผ่อนปรนวีซ่าเฉย ๆ แต่มีแผนรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างดีทั่วประเทศเสียด้วย เราถึงได้ไปไหนมาไหนในญี่ปุ่นแล้วพบเจอป้ายต่าง ๆ หรือแผ่นพับให้ข้อมูลเป็นภาษาต่าง ๆ ซึ่งรวมทั้งภาษาไทยมากขึ้น สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมบางแห่งมีล่ามหลายภาษารองรับอีกต่างหาก นอกจากนี้ หน่วยงานท้องถิ่นยังมีการเชิญนักการทูตจากประเทศต่าง ๆ ไปเยี่ยมเยือนตามภูมิภาคในญี่ปุ่นฟรีเพื่อให้เป็นกระบอกเสียงในการส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นอีกทางหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ก็ต่อยอดไปควบคู่กับการเตรียมการเพื่อเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกของญี่ปุ่นเองซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ตอนญี่ปุ่นผ่อนปรนเรื่องวีซ่า บางคนก็หลงคิดว่าอยู่ ๆ ญี่ปุ่นก็เกิดใจดีขึ้นมา ให้ไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า จริง ๆ มันมีเบื้องหลัง การดำเนินนโยบายระหว่างประเทศเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักอยู่แล้ว ไม่มีประเทศไหนให้เปล่ากับประเทศอื่นโดยไม่มีการคำนวณข้อได้เปรียบเสียเปรียบ และญี่ปุ่นก็ดำเนินนโยบายด้านท่องเที่ยวได้ถูกหลักถูกใจนักท่องเที่ยว แถมยังดำเนินการได้รวดเร็วและพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศในหลายภาคส่วนด้วย ความฉับไวของการดำเนินนโยบายที่รู้ว่าสำคัญ จำเป็น และจะเกิดประโยชน์ต่อชาติทำให้ประเทศเขาล้มแล้วรีบลุก ไม่ใช่ต้องมารอกันเป็นแรมปีในการแก้ปัญหาจนกลายเป็นดินพอกหางหมู หรือเกิดเป็นปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
อีกอย่างคือความสามัคคีและความสำนึกต่อสังคมของญี่ปุ่นสูงมาก ทำให้คนคิดไปในทิศทางเดียวกัน และมองเห็นสิ่งเดียวกันได้ไม่ยาก ความร่วมมือร่วมใจเลยตามมา แถมการถ่ายทอดข้อมูลจากภาคส่วนหนึ่งไปยังอีกภาคส่วนหนึ่งก็เป็นไปด้วยความเข้าใจที่ตรงกัน เพราะมีความชัดเจนในนโยบายและแผนงานที่ทำ มีความละเอียดเป็นขั้นเป็นตอน มีการสื่อสารที่ดี ทำให้อะไร ๆ เป็นไปอย่างพร้อมเพรียง มีประสิทธิภาพ ความผิดพลาดน้อย ไม่ต้องเสียเวลาไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้ายิบย่อย เพราะมองการณ์โดยครอบคลุมความเป็นไปได้ต่าง ๆ ไว้ดีตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ฉันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีจุดด้อยหรือข้อผิดพลาดเลยนะคะ เพียงแต่ฉันมักมีโอกาสได้เห็นจุดแข็งของคนญี่ปุ่นเสียมาก นึกเสมอว่าอยากให้เป็นกรณีศึกษาของบ้านเราบ้าง อยากให้เราเรียนรู้ และสร้างจุดแข็งให้ได้อย่างนี้บ้าง จริง ๆ มันอาจจะไม่ถึงขนาดเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่พื้นฐานสังคมของบ้านเราอาจจะยังไม่แกร่งพอ ทำให้การเริ่มต้นและสานต่ออย่างมั่นคงเป็นไปได้ยาก
เริ่มต้นเขียนเรื่องความลำบากและเคร่งเครียดของชีวิตคนทำงานในญี่ปุ่น ไม่ทราบมาจบแบบนี้ได้อย่างไรเหมือนกันค่ะ ใจกับมือมันพากันไปออกอ่าวเสียได้ เอาเป็นว่าขอชิ่งไปพบกันสัปดาห์หน้านะคะ สวัสดีค่ะ.
"ซาระซัง" สาวไทย ที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.