บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
5
นายโชดะใจเสียกลับมานอนไม่หลับกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เหมือนชายผู้กำลังรักแรงเพิ่งกลับมาจากการเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เหนือกว่าอย่างไม่คาดฝัน ความมั่นใจ ความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ ความทะนงในอำนาจบาตรใหญ่สูญหายไปจนหมดสิ้น
เขาไม่คาดฝันมาก่อนเลยว่าจะมาพบคู่แข่งที่น่ากลัวเป็นลูกในไส้ของตนเองอย่างนี้ ใครจะคิดว่าพ่อกับลูกจะมาแย่งชิงความสนใจจากผู้หญิงคนเดียวกันอย่างนี้ พ่อแฝงกายไปหาสาวคนรักที่แสนจะหวงตัวแต่กลับเจอลูกชายที่เขาปรามาสมาตลอดว่าด้อยปัญญามายืนเฝ้าอยู่แล้วซ้ำยังอวดว่ามาเฝ้าอยู่ทุกคืนนานมาแล้วเสียอีก การหยามน้ำหน้ากันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ แม้แต่คนสันดานหยาบผู้ไม่เคยเห็นความสำคัญของสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากเงินและสมบัติพัสถานอย่างนายโชดะก็ยังรู้สึกอับอายและอดที่จะหันมาโกรธตัวเองไม่ได้
หากคะสึฮิโกะมีสติปัญญาอย่างคนทั่ว ๆ ไปที่รู้จักว่าสิ่งใดควรไม่ควร ก็คงไม่ยากที่จะดุว่าให้ได้อายและสำนึกผิดที่ทำอะไรไร้ความคิดเช่นนั้น แต่สิ่งที่ทำให้นายโชดะต้องลังเลและถามตนเองว่าตนอยู่ในฐานะที่จะตำหนิการกระทำอันไร้จรรยามารยาทของลูกชายได้หรือ ก็คือความเป็นจริงที่ว่าในสมองของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากสัญชาติญาณดิบและความปรารถนาอันแรงกล้า
เด็กหนุ่มผู้นี้มองรุริโกะในรูปที่เป็นผู้หญิงสวยที่เขาประทับใจในความงามคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้คิดลึกลงไปว่าเธอเป็นภรรยาของพ่อหรือเป็นใคร ยิ่งกว่านั้นคะสึฮิโกะเป็นคนมีพละกำลังแข็งแรงเกินกว่าคนธรรมดา จึงไม่รู้ว่าจะเกิดอารมณ์ใช้ความรุนแรงขึ้นมาเมื่อไร
นายโชดะมีความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยจากการพูดพล่อย ๆ โดยไม่ยั้งคิดอยู่อย่างหนึ่ง คือเมื่อตอนที่เขาคิดจะสู่ขอรุริโกะมาเป็นคู่ครองของคะสึฮิโกะนั้นเขาได้บอกเรื่องนี้แก่เจ้าตัวด้วยถ้อยคำแบบติดตลก ตามปกติไม่ว่าจะบอกอะไรไปคะสึฮิโกะจะลืมทันที มีแต่เรื่องนี้เท่านั้นที่ดูเหมือนจะติดตรึงแน่นอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของเด็กหนุ่มผู้ด้อยปัญญาคนนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้จิตใจของนายโชดะขุ่นมัวขึ้นเป็นทวีคูณ
และแล้วนายโชดะก็เริ่มคิดอุบายจัดการกับลูกชาย
“ใช่ เราต้องแยกคะสึฮิโกะออกจากรุริโกะโดยเร็ว ส่งไปอยู่บ้านพักตากอากาศที่ฮะยะมะดีกว่า ต้องหลอกล่อเอาตัวไปจากโตเกียวให้ได้”
ในที่สุดสมองที่มัวมึนไปหมดด้วยความเหนื่อยล้าจากหลายอารมณ์ ซึ่งมีทั้งตื่นเต้น โกรธเกรี้ยวและทุกข์ทรมาน ก็หมดแรงไปในนาทีใดนาทีหนึ่งหลังสิ้นเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาตีสี่ของวันใหม่ นายโชดะนอนหลับอยู่จนสายมารู้สึกตัวตื่นอีกเมื่อเลยเก้าโมงไปแล้ว
เช้าของวันในเดือนตุลาคมวันนี้อากาศแจ่มใสมาก แสงแดดส่องสว่างผ่านม่านหน้าต่างผ้าโปร่งสีฟ้าเข้ามาภายในห้อง ความสดชื่นแจ่มใสของอากาศยามเช้าชะโลมใจให้นายโชดะลืมเรื่องร้าย ๆ เมื่อคืนก่อนจนหมดสิ้น เขาเคลื่อนร่างใหญ่กำยำล่ำสันลงจากเตียง สวมรองเท้าแตะออกไปยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ระเบียง เขามองออกไปที่สวนอันกว้างใหญ่ข้างหน้าบ้าน กางแขนทั้งสองขึ้นจนสุดล้าแล้วหาวออกมาอย่างสบายเนื้อสบายตัว
ขณะที่กำลังลดแขนลงมานั้นเอง เขาเห็นคะสึฮิโกะเดินอยู่ตามทางระหว่างพุ่มไม้ห่างออกไปจากที่เขายืนอยู่ประมาณสองร้อยเมตร มุ่งหน้าลงไปทางบ่อน้ำพุ ทว่าคะสึฮิโกะซึ่งเป็นชายร่างใหญ่กำยำล่ำสันเช่นเดียวกับเขาไม่ได้เดินมาคนเดียว เพราะในเงาที่บังด้วยร่างใหญ่โตนั้นมีชายเสื้อสีสดใสสะบัดออกมาให้เห็นเป็นครั้งคราว แต่แรกนายโชดะคิดว่าเป็นมินะโกะออกมาเดินเล่นกับพี่ชายเช่นเคย คะสึฮิโกะนั้นถึงจะเป็นคนด้อยปัญญาแต่ก็เป็นพี่ชายแสนดีสำหรับมินะโกะ
แต่พอคนทั้งสองเดินเลี้ยวขวาไปตามทางระหว่างพุ่มไม้ซึ่งเป็นมุมที่ตรงกับสายตาของเขาพอดี นายโชดะจึงเห็นได้ชัดแม้จะเป็นด้านหลังว่าผู้หญิงที่เดินเคียงข้างไปกับลูกชายของเขานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากรุริโกะ
แม้จะมองจากไกล ๆ ก็ยังเห็นมือขาวนวลแตะต่ำลงมาจากไหล่ของแข็งแรงของคะสึฮิโกะได้ถนัดตา นายโชดะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอยู่ในอกเหมือนโดนกรอกด้วยน้ำเดือด และพอวาดภาพใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของลูกชายผู้ไม่เต็มเต็งของตนขึ้นมาเต็มม่านตา อารมณ์ของชายร่างกำยำก็พลุ่งพล่านสุดขีดจนแทบจะกระโจนลงจากระเบียงตรงเข้าไปเตะต่อยลูกชายให้สมแค้นในทันใดนั้น
และพอคิดถึงจิตใจของรุริโกะ อกของนายโชดะก็แทบระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ จะว่าเจ้าหล่อนไม่รู้เรื่องวุ่นวาย ไม่รู้เรื่องน่าอายของสองพ่อลูกเมื่อคืนก่อนก็ใช่ที่ มินะโกะที่นอนอยู่ห้องข้าง ๆ ยังได้ยินและตื่นออกมาดู แล้วรุริโกะจะไม่รู้ได้อย่างไร การที่มาทำตัวใกล้ชิดกับคะสึฮิโกะทั้ง ๆ ที่รู้เรื่องเมื่อคืนอย่างนี้ มันหมายความว่าอย่างไร
เมื่อคิดเช่นนั้น ก็ช่วยไม่ได้ที่เศรษฐีใหญ่จะรู้สึกเป็นปรปักษ์กับรุริโกะขึ้นมาทันที ใช่...เราไม่ดีเองที่ประมาท หลงไปให้สัญญาโง่ ๆ กับเด็กเมื่อวานซืนอย่างนั้น ความจริงแล้วเจ้าหล่อนเป็นเหมือนลูกสาวข้าศึกที่พ่ายแพ้ในสงครามที่เราได้มาเป็นเมีย...ภายใต้ใบหน้าอันงามผ่องนั้นอาจมีความขมขื่นซ่อนเร้นอยู่
ความคิดเช่นนั้นทำให้เขาไม่มีใจที่จะรักรุริโกะ หรือแม้แต่จะคิดริษยาเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า อย่างน้อยก็ในขณะนี้
6
นายโชดะยืนเกาะลูกกรงระเบียงนิ่งเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยตะปูดอกใหญ่ จ้องมองคนทั้งสองเดินหายไปในหมู่ไม้ยืนต้นซึ่งเป็นทางลงไปสู่บ่อน้ำพุที่อยู่ทางด้านโน้น แว่วแต่เสียงหัวเราะต่อกระซิกใสแจ๋วราวนกน้อยของรุริโกะลอยมาตามลม ตั้งแต่แต่งงานกันมากว่าเดือนหนึ่งแล้วเจ้าหล่อนยังไม่เคยหัวเราะด้วยความร่าเริงเป็นอิสระเช่นนี้กับเขาแม้แต่ครั้งเดียว
นายโชดะมองไม่เห็นบ่อน้ำพุจากตรงนี้ แต่ก็พอวาดภาพลูกชายซึ่งแม้จะด้อยสติปัญญาแต่ก็มีที่เป็นหนุ่มร่างกายล่ำสันแข็งแรงดูสง่าสมชายไม่น้อย ยืนเคียงข้างอย่างสมน้ำสมเนื้อกันกับรุริโกะโฉมงาม
ชายร่างใหญ่ถ่มน้ำลายลงไปที่พื้นซึ่งอยู่ต่ำลิ่วลงไปข้างล่างด้วยความเคียดแค้นราวกับถ่มรดคนทั้งสอง หันกลับเข้าห้องแล้วเดินหน้าเครียดอย่างคนที่ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้วลงบันไดไปข้างล่าง
นายโชดะระบายอารมณ์ที่รุ่มร้อนอยู่ในอกด้วยการหาเรื่องดุด่าคนรับใช้ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วย เขาล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วเข้าไปนั่งประจำที่เพื่อรับประทานอาหารเช้า รุริโกะซึ่งรับประทานด้วยกันเป็นประจำยังไม่กลับขึ้นมาจากสวน
“คุณผู้หญิงเป็นอะไรไป คุณผู้หญิงไปไหนฮึ”
นายโชดะตะคอกถามสาวใช้วัยสิบห้าสิบปีที่ลุกลี้ลุกลนอยู่ตรงนั้น ด้วยเสียงดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“อยู่ในสวนเจ้าค่ะ”
“ไปเรียกให้กลับเข้ามาเร็ว ๆ ฉันตื่นแล้วเห็นหรือเปล่า”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้ตัวน้อยตัวลีบด้วยความเกรงโทสะของท่านประมุข รีบออกไปเรียกรุริโกะตามคำสั่งโดยเร็ว
...ขอให้กลับเข้ามาก่อนเถอะ ฉันจะเล่นงานให้หนักอย่างไม่ไว้หน้ากันเลยทีเดียว มีอย่างรึไปทำกับเด็กปัญญาด้อยราวกับเป็นของเล่นแบบนั้น...นายโชดะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวขณะรอการมาของรุริโกะ
ไม่ถึงสองสามนาทีก็มีเสียงผ้าเสียดสีกันดังเข้ามาจากระเบียงทางเดิน ก่อนที่รุริโกะจะวิ่งเหยาะเข้ามาด้วยท่าทีของสาวน้อยที่ร่าเริงเบิกบาน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นนานแล้วหรือคะ ดิฉันไม่ยักทราบ ตามปกติคุณเป็นคนตื่นสาย ดิฉันก็เลยนึกว่าจะเดินเล่นอยู่ข้างนอกได้จนถึงราวสิบเอ็ดโมง ตื่นเช้าจังนะคะทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนกลับเข้านอนดึกขนาดนั้น...ดอกไม้นี่สวยดีใช่ไหม ดอกใหญ่และก็สีจัดดีด้วย ดิฉันชอบดอกไม้นี้จังเลย”
รุริโกะร่าเริงเต็มที่ เธอปักดอกรักเร่สีแดงดอกใหญ่ที่เก็บมาจากสวนลงไปในแจกันบนโต๊ะอาหารอย่างง่าย ๆ
นายโชดะคิดที่จะเอาเรื่องกับรุริโกะให้ได้ แต่พอได้ฟังคำพูดที่มีกังวานสดใส ได้เห็นเธอยิ้มอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่หยุด เขาก็ลืมตัวลืมใจ คำพูดทั้งหมดติดอยู่แค่ลำคอเท่านั้นเอง
“เมื่อคืนนอนหลับไหมคะ ดิฉันเหนื่อยกลับมาจากดูละครก็เลยหลับปุ๋ย ระยะนี้ไม่เคยหลับสนิทเหมือนเมื่อคืนนี้เลยค่ะ”
รุริโกะปลายนิ้วเรียบงามบังคับตะเกียบให้เคลื่อนไหวช้าง ๆ ขณะพูดกับสามีในนาม ใบหน้างามผ่องของโฉมงามปราศจากร่องรอยที่จะบ่งบอกเป็นนัยแม้แต่นิดเดียวว่าเจ้าตัวรู้หรือไม่รู้เรื่องราวที่สามคนพ่อลูกมาถกเถียงกันอยู่ที่หน้าห้องส่วนตัวของเธอ
นายโชดะอารมณ์ขุ่นมัวด้วยไม่รู้ว่าจะหาช่องเล่นงานรุริโกะอย่างไรดี จะพูดยกเอาเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาพูดได้อย่างไรในเมื่อเจ้าตัวไม่มีทีท่าว่าจะรู้เรื่องราวเลยสักนิด เขาก็เลยไม่พูดตอบรุริโกะแม้แต่คำเดียว แต่ท่าทางการใช้ตะเกียบคีบนั่นคีบนี่เป็นระวิงนั้นแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหงุดหงิดมากทีเดียว
รุริโกะยังพูดจายิ้มแย้มไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจกับอารมณ์ไม่ดีของนายโชดะ
“วันนี้ดิฉันอยากไปห้างมิสึโคะชิ คุณช่วยพาไปหน่อยได้ไหมคะ”
หญิงสาวอ้อนราวกับเด็ก ๆ
“ผมไปไม่ได้ วันนี้มีประชุมวิสามัญบริษัทต่อเรือโตโย”
เป็นครั้งแรกที่นายโชดะพูดห้วน ๆ กับรุริโกะ แต่หญิงสาวก็ตอบโต้เสียงห้วนของคนอารมณ์เสียทันควันเหมือนกัน
“อ๋อ หรือคะ ถ้างั้นดิฉันให้คุณคะสึฮิโกะพาไป...ได้ใช่ไหมคะ”
7
พอชื่อของคะสึฮิโกะหลุดออกจากริมฝีปากของรุริโกะ ใบหน้ากว้างใหญ่ของนายโชดะก็ยิ่งถมึงถึงขึ้นไปอีก รุริโกะพูดต่อไปเหมือนไร้เดียงสาโดยไม่สนใจสังเกตดูสีหน้าของคู่สนทนาเลยสักนิด
“ให้คุณคะสึฮิโกะพาไปไม่ได้หรือคะ ดิฉันไปคนเดียวใจไม่ดีเลย เวลาซื้อของคนเดียวก็ลำบากเพราะตัดสินใจไม่ได้ อยากได้ใครไปเป็นเพื่อนคอยพยักหน้าบ้างอะไรบ้างเวลาพบอะไรเห็นอะไรน่ะค่ะ”
“งั้นก็ไปกับมินะโกะ”
นายโชดะยังโกรธเหมือนวัวกระทิงที่ตั้งท่ากระโจนเข้าขวิดแต่ยังไม่ได้จังหวะ
“ได้ยังไงคะ มินะโกะกว่าจะกลับจากโรงเรียนตั้งสามโมง กลับมาแล้วก็ยังต้องแต่งตัวอีก กว่าจะได้ไปก็ค่ำกันพอดี”
รุริโกะทำตะบึงตะบอนเหมือนเด็กที่ไม่ได้อะไรดังใจ มีแต่ใบหน้าเท่านั้นที่ยังยิ้มไม่หยุด นายโชดะเงียบไป
หญิงสาวได้ทีจึงรุกต่อไป
“ทำไมถึงให้ดิฉันไปกับคุณคะสึฮิโกะไม่ได้ล่ะคะ”
ใบหน้าของนายโชดะเปลี่ยนสีฉับพลัน ขมับเต้นตุบ ๆ จนเห็นได้ชัด เขาวางตะเกียบลงดังกึก เสียงที่พยายามกดไว้ไม่ได้ไม่ให้ดังสนั่นออกมา กลับกลายเป็นเสียงสูงที่แปลกจนน่าขัน
“คะสึฮิโกะ...คะสึฮิโกะ ดูเธอจะพร่ำถึงเจ้าคนนี้บ่อยเหลือเกินนะ เธอคิดว่าคะสึฮิโกะเป็นตัวอะไร เธอมาอยู่บ้านนี้ได้เดือนกว่าแล้ว คงสังเกตแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ฉันเป็นพ่อเองยังอายที่จะเอ่ยปากออกมา เจ้านั่นมันเด็กปัญญาอ่อน เธอก็เห็น...เธอก็รู้ แล้วเธอยังจะพาคนอย่างนั้นไปเดินห้างมิสึโคะชิ มันเท่ากับเอาความอับอายของครอบครัวโชดะ ของฉัน...นายโชดะ ไปเดินโฆษณาให้ใคร ๆ เขารู้กันทั่วกรุง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นคนในครอบครัวนี้แล้ว ไม่ต้องหวังดีพาเจ้าลูกชายไม่เต็มเต็งคนนี้ออกไปเที่ยวประจานไปทั่วดีกว่าไหม”
ตั้งแต่แต่งงานกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่นายโชดะพูดจารุนแรงกับรุริโกะ หญิงสาวหยุดตะเกียบงาช้างอยู่ที่ถ้วยข้าว นิ่งฟังด้วยใบหน้านิ่งสนิทไม่ขยับเยื้อนแม้แต่แนวคิ้วที่โก่งงาม พอนายโชดะพูดจบเธอก็ทำตาโตอย่างประหลาดใจ
“ตายจริง คุณคิดเลยเถิดไปถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ ดิฉันไม่เคยคิดรังเกียจว่าคุณคะสึฮิโกะจะเป็นคนปัญญาด้อยปัญญาอ่อนเลยสักครั้งเดียว คิดแต่ว่าไม่มีใครจะมีจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเท่าเธออีกแล้ว ความจริงจะว่าเธอมีอะไรไม่ครบถ้วนเหมือนคนอื่นเขามันก็ใช่ แต่เธอเป็นคนซื่อตรงอย่างที่ดิฉันไม่เคยพบมาก่อน ตอนนี้ไม่ว่าดิฉันจะขอให้ทำอะไรเธอจะทำให้ทุกอย่าง วันก่อนพอดิฉันบอกเธอว่าคฤหาสน์หลังนี้กว้างขวางนัก เวลาอยู่ในห้องนอนคนเดียวรู้สึกอ้างว้างวังเวง เท่านั้นเองคุณคะสึฮิโกะก็บอกว่าจะมายืนเฝ้าที่นอกห้องให้ทุกคืน แต่แรกดิฉันก็คิดว่าเธอพูดเล่น ๆ ที่ไหนได้เมื่อคืนก่อนคืนที่แล้วหลังตีสองไม่นาน ดิฉันรู้สึกเหมือนมีใครมาอยู่แถว ๆ หน้าห้องจึงเปิดประตูออกไปดูก็พบคุณคะสึฮิโกะยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยท่าทางเหมือนขุนพลที่ยืนเฝ้าจอมนางผู้สูงศักดิ์ด้วยความจงรักภักดี
ดิฉันทั้งขำทั้งรู้สึกขอบใจ พอดีกับที่ดิฉันก็กำลังเบื่อหน่ายผู้คนที่ทำตัวว่าเป็นคนมีสติปัญญาล้ำเลิศอยู่แล้วด้วย จึงรู้สึกว่าความบริสุทธิ์ของเธอช่วยเยียวยาสังคมที่เต็ไปด้วยความแก่งแย่งชิงดี ดิฉันรู้สึกนิยมชมชอบวิถีทางการใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ด้วยจิตใจที่กว้างขวางอย่างคุณคะสึฮิโกะมาก มันอาจไม่ดีเลยที่จะพูดต่อหน้าคุณว่า ดิฉันเสียใจมากที่ทิ้งคุณคะสึฮิโกะ มาเลือกคุณแทน”
คำพูดของรุริโกะมีอิทธิพลพอที่จะทำให้ใบหน้าของนายโชดะดำเป็นสีม่วงแก่ด้วยความโกรธและความริษยา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
5
นายโชดะใจเสียกลับมานอนไม่หลับกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เหมือนชายผู้กำลังรักแรงเพิ่งกลับมาจากการเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เหนือกว่าอย่างไม่คาดฝัน ความมั่นใจ ความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ ความทะนงในอำนาจบาตรใหญ่สูญหายไปจนหมดสิ้น
เขาไม่คาดฝันมาก่อนเลยว่าจะมาพบคู่แข่งที่น่ากลัวเป็นลูกในไส้ของตนเองอย่างนี้ ใครจะคิดว่าพ่อกับลูกจะมาแย่งชิงความสนใจจากผู้หญิงคนเดียวกันอย่างนี้ พ่อแฝงกายไปหาสาวคนรักที่แสนจะหวงตัวแต่กลับเจอลูกชายที่เขาปรามาสมาตลอดว่าด้อยปัญญามายืนเฝ้าอยู่แล้วซ้ำยังอวดว่ามาเฝ้าอยู่ทุกคืนนานมาแล้วเสียอีก การหยามน้ำหน้ากันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ แม้แต่คนสันดานหยาบผู้ไม่เคยเห็นความสำคัญของสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากเงินและสมบัติพัสถานอย่างนายโชดะก็ยังรู้สึกอับอายและอดที่จะหันมาโกรธตัวเองไม่ได้
หากคะสึฮิโกะมีสติปัญญาอย่างคนทั่ว ๆ ไปที่รู้จักว่าสิ่งใดควรไม่ควร ก็คงไม่ยากที่จะดุว่าให้ได้อายและสำนึกผิดที่ทำอะไรไร้ความคิดเช่นนั้น แต่สิ่งที่ทำให้นายโชดะต้องลังเลและถามตนเองว่าตนอยู่ในฐานะที่จะตำหนิการกระทำอันไร้จรรยามารยาทของลูกชายได้หรือ ก็คือความเป็นจริงที่ว่าในสมองของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากสัญชาติญาณดิบและความปรารถนาอันแรงกล้า
เด็กหนุ่มผู้นี้มองรุริโกะในรูปที่เป็นผู้หญิงสวยที่เขาประทับใจในความงามคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้คิดลึกลงไปว่าเธอเป็นภรรยาของพ่อหรือเป็นใคร ยิ่งกว่านั้นคะสึฮิโกะเป็นคนมีพละกำลังแข็งแรงเกินกว่าคนธรรมดา จึงไม่รู้ว่าจะเกิดอารมณ์ใช้ความรุนแรงขึ้นมาเมื่อไร
นายโชดะมีความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยจากการพูดพล่อย ๆ โดยไม่ยั้งคิดอยู่อย่างหนึ่ง คือเมื่อตอนที่เขาคิดจะสู่ขอรุริโกะมาเป็นคู่ครองของคะสึฮิโกะนั้นเขาได้บอกเรื่องนี้แก่เจ้าตัวด้วยถ้อยคำแบบติดตลก ตามปกติไม่ว่าจะบอกอะไรไปคะสึฮิโกะจะลืมทันที มีแต่เรื่องนี้เท่านั้นที่ดูเหมือนจะติดตรึงแน่นอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของเด็กหนุ่มผู้ด้อยปัญญาคนนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้จิตใจของนายโชดะขุ่นมัวขึ้นเป็นทวีคูณ
และแล้วนายโชดะก็เริ่มคิดอุบายจัดการกับลูกชาย
“ใช่ เราต้องแยกคะสึฮิโกะออกจากรุริโกะโดยเร็ว ส่งไปอยู่บ้านพักตากอากาศที่ฮะยะมะดีกว่า ต้องหลอกล่อเอาตัวไปจากโตเกียวให้ได้”
ในที่สุดสมองที่มัวมึนไปหมดด้วยความเหนื่อยล้าจากหลายอารมณ์ ซึ่งมีทั้งตื่นเต้น โกรธเกรี้ยวและทุกข์ทรมาน ก็หมดแรงไปในนาทีใดนาทีหนึ่งหลังสิ้นเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาตีสี่ของวันใหม่ นายโชดะนอนหลับอยู่จนสายมารู้สึกตัวตื่นอีกเมื่อเลยเก้าโมงไปแล้ว
เช้าของวันในเดือนตุลาคมวันนี้อากาศแจ่มใสมาก แสงแดดส่องสว่างผ่านม่านหน้าต่างผ้าโปร่งสีฟ้าเข้ามาภายในห้อง ความสดชื่นแจ่มใสของอากาศยามเช้าชะโลมใจให้นายโชดะลืมเรื่องร้าย ๆ เมื่อคืนก่อนจนหมดสิ้น เขาเคลื่อนร่างใหญ่กำยำล่ำสันลงจากเตียง สวมรองเท้าแตะออกไปยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ระเบียง เขามองออกไปที่สวนอันกว้างใหญ่ข้างหน้าบ้าน กางแขนทั้งสองขึ้นจนสุดล้าแล้วหาวออกมาอย่างสบายเนื้อสบายตัว
ขณะที่กำลังลดแขนลงมานั้นเอง เขาเห็นคะสึฮิโกะเดินอยู่ตามทางระหว่างพุ่มไม้ห่างออกไปจากที่เขายืนอยู่ประมาณสองร้อยเมตร มุ่งหน้าลงไปทางบ่อน้ำพุ ทว่าคะสึฮิโกะซึ่งเป็นชายร่างใหญ่กำยำล่ำสันเช่นเดียวกับเขาไม่ได้เดินมาคนเดียว เพราะในเงาที่บังด้วยร่างใหญ่โตนั้นมีชายเสื้อสีสดใสสะบัดออกมาให้เห็นเป็นครั้งคราว แต่แรกนายโชดะคิดว่าเป็นมินะโกะออกมาเดินเล่นกับพี่ชายเช่นเคย คะสึฮิโกะนั้นถึงจะเป็นคนด้อยปัญญาแต่ก็เป็นพี่ชายแสนดีสำหรับมินะโกะ
แต่พอคนทั้งสองเดินเลี้ยวขวาไปตามทางระหว่างพุ่มไม้ซึ่งเป็นมุมที่ตรงกับสายตาของเขาพอดี นายโชดะจึงเห็นได้ชัดแม้จะเป็นด้านหลังว่าผู้หญิงที่เดินเคียงข้างไปกับลูกชายของเขานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากรุริโกะ
แม้จะมองจากไกล ๆ ก็ยังเห็นมือขาวนวลแตะต่ำลงมาจากไหล่ของแข็งแรงของคะสึฮิโกะได้ถนัดตา นายโชดะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอยู่ในอกเหมือนโดนกรอกด้วยน้ำเดือด และพอวาดภาพใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของลูกชายผู้ไม่เต็มเต็งของตนขึ้นมาเต็มม่านตา อารมณ์ของชายร่างกำยำก็พลุ่งพล่านสุดขีดจนแทบจะกระโจนลงจากระเบียงตรงเข้าไปเตะต่อยลูกชายให้สมแค้นในทันใดนั้น
และพอคิดถึงจิตใจของรุริโกะ อกของนายโชดะก็แทบระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ จะว่าเจ้าหล่อนไม่รู้เรื่องวุ่นวาย ไม่รู้เรื่องน่าอายของสองพ่อลูกเมื่อคืนก่อนก็ใช่ที่ มินะโกะที่นอนอยู่ห้องข้าง ๆ ยังได้ยินและตื่นออกมาดู แล้วรุริโกะจะไม่รู้ได้อย่างไร การที่มาทำตัวใกล้ชิดกับคะสึฮิโกะทั้ง ๆ ที่รู้เรื่องเมื่อคืนอย่างนี้ มันหมายความว่าอย่างไร
เมื่อคิดเช่นนั้น ก็ช่วยไม่ได้ที่เศรษฐีใหญ่จะรู้สึกเป็นปรปักษ์กับรุริโกะขึ้นมาทันที ใช่...เราไม่ดีเองที่ประมาท หลงไปให้สัญญาโง่ ๆ กับเด็กเมื่อวานซืนอย่างนั้น ความจริงแล้วเจ้าหล่อนเป็นเหมือนลูกสาวข้าศึกที่พ่ายแพ้ในสงครามที่เราได้มาเป็นเมีย...ภายใต้ใบหน้าอันงามผ่องนั้นอาจมีความขมขื่นซ่อนเร้นอยู่
ความคิดเช่นนั้นทำให้เขาไม่มีใจที่จะรักรุริโกะ หรือแม้แต่จะคิดริษยาเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า อย่างน้อยก็ในขณะนี้
6
นายโชดะยืนเกาะลูกกรงระเบียงนิ่งเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยตะปูดอกใหญ่ จ้องมองคนทั้งสองเดินหายไปในหมู่ไม้ยืนต้นซึ่งเป็นทางลงไปสู่บ่อน้ำพุที่อยู่ทางด้านโน้น แว่วแต่เสียงหัวเราะต่อกระซิกใสแจ๋วราวนกน้อยของรุริโกะลอยมาตามลม ตั้งแต่แต่งงานกันมากว่าเดือนหนึ่งแล้วเจ้าหล่อนยังไม่เคยหัวเราะด้วยความร่าเริงเป็นอิสระเช่นนี้กับเขาแม้แต่ครั้งเดียว
นายโชดะมองไม่เห็นบ่อน้ำพุจากตรงนี้ แต่ก็พอวาดภาพลูกชายซึ่งแม้จะด้อยสติปัญญาแต่ก็มีที่เป็นหนุ่มร่างกายล่ำสันแข็งแรงดูสง่าสมชายไม่น้อย ยืนเคียงข้างอย่างสมน้ำสมเนื้อกันกับรุริโกะโฉมงาม
ชายร่างใหญ่ถ่มน้ำลายลงไปที่พื้นซึ่งอยู่ต่ำลิ่วลงไปข้างล่างด้วยความเคียดแค้นราวกับถ่มรดคนทั้งสอง หันกลับเข้าห้องแล้วเดินหน้าเครียดอย่างคนที่ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้วลงบันไดไปข้างล่าง
นายโชดะระบายอารมณ์ที่รุ่มร้อนอยู่ในอกด้วยการหาเรื่องดุด่าคนรับใช้ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วย เขาล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วเข้าไปนั่งประจำที่เพื่อรับประทานอาหารเช้า รุริโกะซึ่งรับประทานด้วยกันเป็นประจำยังไม่กลับขึ้นมาจากสวน
“คุณผู้หญิงเป็นอะไรไป คุณผู้หญิงไปไหนฮึ”
นายโชดะตะคอกถามสาวใช้วัยสิบห้าสิบปีที่ลุกลี้ลุกลนอยู่ตรงนั้น ด้วยเสียงดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“อยู่ในสวนเจ้าค่ะ”
“ไปเรียกให้กลับเข้ามาเร็ว ๆ ฉันตื่นแล้วเห็นหรือเปล่า”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้ตัวน้อยตัวลีบด้วยความเกรงโทสะของท่านประมุข รีบออกไปเรียกรุริโกะตามคำสั่งโดยเร็ว
...ขอให้กลับเข้ามาก่อนเถอะ ฉันจะเล่นงานให้หนักอย่างไม่ไว้หน้ากันเลยทีเดียว มีอย่างรึไปทำกับเด็กปัญญาด้อยราวกับเป็นของเล่นแบบนั้น...นายโชดะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวขณะรอการมาของรุริโกะ
ไม่ถึงสองสามนาทีก็มีเสียงผ้าเสียดสีกันดังเข้ามาจากระเบียงทางเดิน ก่อนที่รุริโกะจะวิ่งเหยาะเข้ามาด้วยท่าทีของสาวน้อยที่ร่าเริงเบิกบาน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นนานแล้วหรือคะ ดิฉันไม่ยักทราบ ตามปกติคุณเป็นคนตื่นสาย ดิฉันก็เลยนึกว่าจะเดินเล่นอยู่ข้างนอกได้จนถึงราวสิบเอ็ดโมง ตื่นเช้าจังนะคะทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนกลับเข้านอนดึกขนาดนั้น...ดอกไม้นี่สวยดีใช่ไหม ดอกใหญ่และก็สีจัดดีด้วย ดิฉันชอบดอกไม้นี้จังเลย”
รุริโกะร่าเริงเต็มที่ เธอปักดอกรักเร่สีแดงดอกใหญ่ที่เก็บมาจากสวนลงไปในแจกันบนโต๊ะอาหารอย่างง่าย ๆ
นายโชดะคิดที่จะเอาเรื่องกับรุริโกะให้ได้ แต่พอได้ฟังคำพูดที่มีกังวานสดใส ได้เห็นเธอยิ้มอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่หยุด เขาก็ลืมตัวลืมใจ คำพูดทั้งหมดติดอยู่แค่ลำคอเท่านั้นเอง
“เมื่อคืนนอนหลับไหมคะ ดิฉันเหนื่อยกลับมาจากดูละครก็เลยหลับปุ๋ย ระยะนี้ไม่เคยหลับสนิทเหมือนเมื่อคืนนี้เลยค่ะ”
รุริโกะปลายนิ้วเรียบงามบังคับตะเกียบให้เคลื่อนไหวช้าง ๆ ขณะพูดกับสามีในนาม ใบหน้างามผ่องของโฉมงามปราศจากร่องรอยที่จะบ่งบอกเป็นนัยแม้แต่นิดเดียวว่าเจ้าตัวรู้หรือไม่รู้เรื่องราวที่สามคนพ่อลูกมาถกเถียงกันอยู่ที่หน้าห้องส่วนตัวของเธอ
นายโชดะอารมณ์ขุ่นมัวด้วยไม่รู้ว่าจะหาช่องเล่นงานรุริโกะอย่างไรดี จะพูดยกเอาเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาพูดได้อย่างไรในเมื่อเจ้าตัวไม่มีทีท่าว่าจะรู้เรื่องราวเลยสักนิด เขาก็เลยไม่พูดตอบรุริโกะแม้แต่คำเดียว แต่ท่าทางการใช้ตะเกียบคีบนั่นคีบนี่เป็นระวิงนั้นแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหงุดหงิดมากทีเดียว
รุริโกะยังพูดจายิ้มแย้มไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจกับอารมณ์ไม่ดีของนายโชดะ
“วันนี้ดิฉันอยากไปห้างมิสึโคะชิ คุณช่วยพาไปหน่อยได้ไหมคะ”
หญิงสาวอ้อนราวกับเด็ก ๆ
“ผมไปไม่ได้ วันนี้มีประชุมวิสามัญบริษัทต่อเรือโตโย”
เป็นครั้งแรกที่นายโชดะพูดห้วน ๆ กับรุริโกะ แต่หญิงสาวก็ตอบโต้เสียงห้วนของคนอารมณ์เสียทันควันเหมือนกัน
“อ๋อ หรือคะ ถ้างั้นดิฉันให้คุณคะสึฮิโกะพาไป...ได้ใช่ไหมคะ”
7
พอชื่อของคะสึฮิโกะหลุดออกจากริมฝีปากของรุริโกะ ใบหน้ากว้างใหญ่ของนายโชดะก็ยิ่งถมึงถึงขึ้นไปอีก รุริโกะพูดต่อไปเหมือนไร้เดียงสาโดยไม่สนใจสังเกตดูสีหน้าของคู่สนทนาเลยสักนิด
“ให้คุณคะสึฮิโกะพาไปไม่ได้หรือคะ ดิฉันไปคนเดียวใจไม่ดีเลย เวลาซื้อของคนเดียวก็ลำบากเพราะตัดสินใจไม่ได้ อยากได้ใครไปเป็นเพื่อนคอยพยักหน้าบ้างอะไรบ้างเวลาพบอะไรเห็นอะไรน่ะค่ะ”
“งั้นก็ไปกับมินะโกะ”
นายโชดะยังโกรธเหมือนวัวกระทิงที่ตั้งท่ากระโจนเข้าขวิดแต่ยังไม่ได้จังหวะ
“ได้ยังไงคะ มินะโกะกว่าจะกลับจากโรงเรียนตั้งสามโมง กลับมาแล้วก็ยังต้องแต่งตัวอีก กว่าจะได้ไปก็ค่ำกันพอดี”
รุริโกะทำตะบึงตะบอนเหมือนเด็กที่ไม่ได้อะไรดังใจ มีแต่ใบหน้าเท่านั้นที่ยังยิ้มไม่หยุด นายโชดะเงียบไป
หญิงสาวได้ทีจึงรุกต่อไป
“ทำไมถึงให้ดิฉันไปกับคุณคะสึฮิโกะไม่ได้ล่ะคะ”
ใบหน้าของนายโชดะเปลี่ยนสีฉับพลัน ขมับเต้นตุบ ๆ จนเห็นได้ชัด เขาวางตะเกียบลงดังกึก เสียงที่พยายามกดไว้ไม่ได้ไม่ให้ดังสนั่นออกมา กลับกลายเป็นเสียงสูงที่แปลกจนน่าขัน
“คะสึฮิโกะ...คะสึฮิโกะ ดูเธอจะพร่ำถึงเจ้าคนนี้บ่อยเหลือเกินนะ เธอคิดว่าคะสึฮิโกะเป็นตัวอะไร เธอมาอยู่บ้านนี้ได้เดือนกว่าแล้ว คงสังเกตแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ฉันเป็นพ่อเองยังอายที่จะเอ่ยปากออกมา เจ้านั่นมันเด็กปัญญาอ่อน เธอก็เห็น...เธอก็รู้ แล้วเธอยังจะพาคนอย่างนั้นไปเดินห้างมิสึโคะชิ มันเท่ากับเอาความอับอายของครอบครัวโชดะ ของฉัน...นายโชดะ ไปเดินโฆษณาให้ใคร ๆ เขารู้กันทั่วกรุง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นคนในครอบครัวนี้แล้ว ไม่ต้องหวังดีพาเจ้าลูกชายไม่เต็มเต็งคนนี้ออกไปเที่ยวประจานไปทั่วดีกว่าไหม”
ตั้งแต่แต่งงานกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่นายโชดะพูดจารุนแรงกับรุริโกะ หญิงสาวหยุดตะเกียบงาช้างอยู่ที่ถ้วยข้าว นิ่งฟังด้วยใบหน้านิ่งสนิทไม่ขยับเยื้อนแม้แต่แนวคิ้วที่โก่งงาม พอนายโชดะพูดจบเธอก็ทำตาโตอย่างประหลาดใจ
“ตายจริง คุณคิดเลยเถิดไปถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ ดิฉันไม่เคยคิดรังเกียจว่าคุณคะสึฮิโกะจะเป็นคนปัญญาด้อยปัญญาอ่อนเลยสักครั้งเดียว คิดแต่ว่าไม่มีใครจะมีจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเท่าเธออีกแล้ว ความจริงจะว่าเธอมีอะไรไม่ครบถ้วนเหมือนคนอื่นเขามันก็ใช่ แต่เธอเป็นคนซื่อตรงอย่างที่ดิฉันไม่เคยพบมาก่อน ตอนนี้ไม่ว่าดิฉันจะขอให้ทำอะไรเธอจะทำให้ทุกอย่าง วันก่อนพอดิฉันบอกเธอว่าคฤหาสน์หลังนี้กว้างขวางนัก เวลาอยู่ในห้องนอนคนเดียวรู้สึกอ้างว้างวังเวง เท่านั้นเองคุณคะสึฮิโกะก็บอกว่าจะมายืนเฝ้าที่นอกห้องให้ทุกคืน แต่แรกดิฉันก็คิดว่าเธอพูดเล่น ๆ ที่ไหนได้เมื่อคืนก่อนคืนที่แล้วหลังตีสองไม่นาน ดิฉันรู้สึกเหมือนมีใครมาอยู่แถว ๆ หน้าห้องจึงเปิดประตูออกไปดูก็พบคุณคะสึฮิโกะยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยท่าทางเหมือนขุนพลที่ยืนเฝ้าจอมนางผู้สูงศักดิ์ด้วยความจงรักภักดี
ดิฉันทั้งขำทั้งรู้สึกขอบใจ พอดีกับที่ดิฉันก็กำลังเบื่อหน่ายผู้คนที่ทำตัวว่าเป็นคนมีสติปัญญาล้ำเลิศอยู่แล้วด้วย จึงรู้สึกว่าความบริสุทธิ์ของเธอช่วยเยียวยาสังคมที่เต็ไปด้วยความแก่งแย่งชิงดี ดิฉันรู้สึกนิยมชมชอบวิถีทางการใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ด้วยจิตใจที่กว้างขวางอย่างคุณคะสึฮิโกะมาก มันอาจไม่ดีเลยที่จะพูดต่อหน้าคุณว่า ดิฉันเสียใจมากที่ทิ้งคุณคะสึฮิโกะ มาเลือกคุณแทน”
คำพูดของรุริโกะมีอิทธิพลพอที่จะทำให้ใบหน้าของนายโชดะดำเป็นสีม่วงแก่ด้วยความโกรธและความริษยา