คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"
ตั้งแต่มีโอกาสไปร่วมงานแต่งงานคนญี่ปุ่น ฉันถึงเริ่มสังเกตว่าคนญี่ปุ่นชอบใช้คำอวยพรงานแต่งงานภาษาอังกฤษกันว่า “Happy Wedding” ซึ่งเข้าใจว่าคงเป็นคำที่คนญี่ปุ่นคิดขึ้นมาใช้เอง พอไปถามเพื่อนชาวอเมริกันว่ามีคำนี้ในภาษาอังกฤษด้วยหรือ เขาก็ขำ ๆ บอกว่า “ไม่มีหรอก เขาไม่ใช้กันแบบนี้ แต่ก็ฟังดูน่ารักดีนะ” (เวลาอวยพรภาษาอังกฤษจะใช้ว่า “Congratulations” หรือ “Congratulations on your wedding” ถ้าเป็นภาษาเขียน ตามด้วยคำอวยพรอะไรก็แล้วแต่ที่อยากจะอวยพร) เวลาไปหาซื้อการ์ดอวยพรงานแต่งงานที่ญี่ปุ่นจะหาที่เขียนว่า “Congratulations on your wedding” ไม่เจอเลย มีแต่ “Happy Wedding” กันหมด
งานแต่งงานแรกของคนญี่ปุ่นที่ฉันไปร่วมงานเป็นงานของลูกพี่ลูกน้องสามี ซึ่งได้รับเชิญผ่านมาทางคุณอา เนื่องจากถือเป็นญาติสนิท ฉันเลยได้เข้าร่วมในส่วนหลังฉากที่แขกเหรื่ออื่นๆ ไม่เห็นด้วย
เมื่อไปถึงบริเวณงานก็จะเห็นคนยืนอยู่โต๊ะหน้างานรอรับซองจากแขกเหรื่อ สามีฉันบอกว่าโดยธรรมเนียมแล้วเราจะถือซองไปโดด ๆ อย่างนั้นไม่ได้ ต้องใส่ในซองผ้าแบบญี่ปุ่นที่ใช้ห่อเงินอีกชั้นก่อนเรียกว่า “ฟุคุสะ” แล้วพอจะให้ก็เปิดซองผ้านี้ยื่นซองเงินส่งให้ ซึ่งฝ่ายยื่นและฝ่ายรับจะโค้งให้กันและกันก่อนคนรับจะหย่อนลงกล่อง ถ้าไม่มีซองอย่างนี้ สามารถใช้ผ้าญี่ปุ่นที่เรียกว่า “ฟุโระชิกิ” ห่อซองเงินแทนได้ ซึ่งมันมีวิธีในการพับให้เป็นซองได้ด้วย
เราเจอคุณอากับคุณอาสะใภ้รออยู่แล้ว บรรดาญาติผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงใส่ชุดกิโมโนสีดำเป็นทางการกัน แม้จะเป็นสีดำแต่ก็มีลวดลายฉูดฉาดสวยงาม คนละแบบกับกิโมโนดำทั้งชุดซึ่งใช้ในงานศพ ส่วนญาติผู้ใหญ่ผู้ชายใส่สูท เจ้าหน้าที่จะจัดห้องสำหรับญาติให้นั่งรอจนกว่าจะมากันครบ เสร็จแล้วก็พาพวกเราไปอีกห้องหนึ่ง ห้องนั้นมีขนาดใหญ่โต มีแท่นยืนยาว ๆ ความสูงหลั่นกันสำหรับญาติ ๆ ยืนเรียงกัน เจ้าหน้าที่จะเป็นคนจัดให้ว่าใครยืนตรงไหนติดกับใคร พอเรียบร้อยดีแล้วก็ได้เวลาคู่บ่าวสาวออกโรง จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะอ่านชื่อญาติแต่ละฝ่ายเรียงกันไปเพื่อแนะนำให้ญาติของอีกฝ่ายรู้จัก คนไหนถูกระบุชื่อก็ต้องโค้งคำนับญาติอีกฝ่าย อีกฝ่ายจะโค้งตอบ จากนั้นก็มีการถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก
ด้วยความที่คนญี่ปุ่นไม่ค่อยได้สมาคมกับพี่น้องตัวเองบ่อยนักหลังแต่งงานแยกย้ายกันไป หรืออาจไปอยู่กันคนละจังหวัดด้วย บรรดาลูก ๆ ของแต่ละฝ่ายก็อาจไม่เคยได้เจอกันเลย หรือไม่เจอกันนานมาก พอมาเจอกันทีก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร สามีฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นใคร พอถ่ายรูปหมู่ของตระกูลเสร็จ ลูกพี่ลูกน้องสามีคนหนึ่งเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อไปพลางถามฉันไปพลางว่า “เอ่อ ผมอาจจะไม่ได้เจอญาติ ๆ นาน ไม่ทราบว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งไหนนะครับ” ฉันแอบขำเพราะฉันไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้องเขาแน่ ๆ ว่าแต่นี่ขนาดเป็นญาติกันและอีกฝ่ายโตกว่า คนญี่ปุ่นก็ยังพูดจาด้วยภาษาสุภาพเป็นทางการเลย ไม่ใช่ว่าญาติกันปุ๊บคุยสนิทได้ทันใด เว้นแต่จะสนิทกันมากในระดับหนึ่ง
จากนั้นพวกเราก็ถูกพาไปห้องอื่นอีกจัดบรรยากาศคล้ายๆ โบสถ์คริสต์ (ภายหลังถึงทราบว่าเป็นโบสถ์เทียมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่จัดงาน) มีเก้าอี้เรียงรายติดกันเป็นแถว ๆ มีคนที่ดูเหมือนเป็นบาทหลวงชาวฝรั่งยืนอยู่หน้าแท่นทำพิธีแบบคริสต์ และถามเจ้าบ่าวเจ้าสาวว่าจะสาบานได้ไหมว่ารับอีกฝ่ายเป็นคู่ครอง จะดูแลกันในยามสุขและยามทุกข์หรือไม่ แล้วต่างฝ่ายก็จะตอบว่าสาบาน ตรงจุดนี้ก็แอบซึ้งอยู่เหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วคนญี่ปุ่นที่นับถือคริสต์มีน้อยมาก และในบรรดางานแต่งที่ฉันไปร่วมงานมาจนบัดนี้ไม่มีใครเป็นคริสต์แม้สักคนเดียว แต่ทุกคนจัดงานในโบสถ์(เทียม)กันหมด
เวลาเจ้าบ่าวคนญี่ปุ่นจะจุ๊บปากเจ้าสาวหลังสาบานว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนี่ ไม่ทราบทำไมเจ้าบ่าวต้องจับไหล่เจ้าสาวไว้ทั้งสองข้างยึดไว้ ราวกับกลัวว่าเจ้าสาวจะเปลี่ยนใจเผ่นหนีไปเหมือนในหนัง ดูแล้วเหมือนบังคับกันอย่างไรชอบกล เสียความโรแมนติกหมดเลย
ฉันจำได้ว่าเจ้าหน้าที่บริษัทจัดงานแต่งที่ดูแลลำดับงานและเป็นพิธีกรไปด้วยในตัวจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ปั้นให้ดูร่าเริงสดใสสุดขีดในขณะที่แขกเหรื่อเงียบกริบกันสนิทเพราะเป็นงานทางการ ฉันจำได้ว่าพิธีกรพูดว่า “ยินดีด้วยจริง ๆ ค่ะ!” ด้วยเสียงสูงปรี๊ดไม่รู้กี่สิบครั้งอย่างจัดหนักในอารมณ์ให้ร่าเริงสดใส ซึ่งมันดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างไรก็ไม่รู้ สงสัยว่าเธอจะเครียดไหมหนอที่ต้องปั้นมู้ดให้ร่าเริงอยู่คนเดียว นึกในใจอยากให้เธอเลิกพูด แต่เธออ่านใจฉันไม่ออก
อีกงานแต่งงานที่ฉันจำได้ค่อนข้างแม่นคืองานของเพื่อนสนิทซึ่งจัดที่ต่างจังหวัด ต้องนั่งรถไฟชิงคันเซ็นไป 4 ชั่วโมงจากกรุงโตเกียว ค่ารถไฟไปกลับราว ๆ 4 หมื่นเยน เมื่อไปถึงงานแม่ของเพื่อนซึ่งเอ็นดูฉันเหมือนลูกอีกคนลากฉันไปนั่งคุยกันขโมงโฉงเฉง แล้วให้ค่ารถไฟมาส่วนหนึ่ง ฉันจะไม่รับแต่แม่ยืนกรานเด็ดขาด ก็เลยต้องรับมาเพราะแม่ชักดุ
เมื่อถึงเวลางานเลี้ยงเริ่ม แขกจะต้องไปประจำที่โต๊ะของตัวเอง โดยมากคู่บ่าวสาวก็จะจัดให้คนที่สนิทกันที่สุดนั่งติดกัน ซึ่งบนโต๊ะด้านหน้าเก้าอี้ที่เขาจัดให้เรานั่งจะมีป้ายชื่อและนามสกุลของเราตั้งไว้อยู่ มีสมุดเล่มบางวางไว้เบื้องหน้าคนละเล่ม ภายในสมุดมีประวัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว และรายชื่อแขกที่ได้รับเชิญมาในงานแยกตามโต๊ะ ระบุว่าโต๊ะญาติ โต๊ะคนที่ทำงาน โต๊ะเพื่อนสมัยมัธยม โต๊ะเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย ฯลฯ เมื่องานเริ่มก็มีการแนะนำเจ้าบ่าวเจ้าสาวผ่านวีดีโอพรีเซนเทชั่นคล้าย ๆ แบบบ้านเรา จากนั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ปรากฏตัวในเรือกอนโดล่าที่หย่อนลงมาที่เวที เป็นที่ฮือฮาและเฮฮามาก เพราะรูปแบบการจัดงานแบบนี้เป็นที่นิยมกันในยุคสมัยหนึ่งก่อนนี้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำแล้ว
จุดเด่นของงานแต่งคนญี่ปุ่นอย่างหนึ่งคือ ในทุก ๆ งานจะเห็นเจ้าสาวอ่านจดหมายที่เขียนถึงพ่อแม่ตัวเองเพื่อเรียกความซึ้ง จะแอบเห็นแม่เจ้าสาวซับน้ำตา แม้เนื้อหาจดหมายเหล่านี้จะดีก็จริง แต่ส่วนตัวฉันว่ามันออกจะผิดที่ผิดทาง น่าจะเป็นเรื่องในครอบครัวที่ลูกบอกกับพ่อแม่เอาเองตรง ๆ ที่บ้านมากกว่ามาเรียกน้ำตาแขกในงาน หรือถ้าอยากให้ลูกแสดงความกตัญญูก็น่าจะให้เจ้าบ่าวเขียนจดหมายถึงพ่อแม่ตัวเองด้วยเหมือนกัน
ในงานเดียวนี้ เจ้าบ่าวเจ้าสาวเปลี่ยนชุดกันทีสามหน มีหลายแบบหรือหลายสี ของเพื่อนฉันมีทั้งชุดกิโมโนแดงแจ๋ ชุดกระโปรงสีทองระยิบระยับ และชุดเจ้าสาวสีขาว เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้ทานอาหารร่วมกับแขก โดยมีโต๊ะที่จัดให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งหน้าเวที และเพื่อนสนิทก็จะตั้งคำถามสนุกๆ กับเจ้าบ่าวเจ้าสาว สร้างความบันเทิงให้ผู้มาร่วมงาน ในงานแต่งงานแบบสากลที่ไทยจะไม่เห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวรับประทานอาหารเลย อย่างในงานแต่งฉัน แม่สามีและญาติ ๆ ฝ่ายญี่ปุ่นพากันเป็นห่วงเพราะเห็นสามีและฉันไม่ได้กินข้าวกินปลา แถมยังต้องยืนอยู่ตลอดหลายชั่วโมง ฉันเลยบอกว่าเจ้าหน้าที่โรงแรมเขาจัดข้าวผัดกระเพราให้กินกันคนละกล่องก่อนงานแล้ว (หรูไหม) พอฉันได้ยินว่าที่ญี่ปุ่นเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะกินพร้อมกับแขกก็ประหลาดใจไม่น้อย แอบคิดว่าขืนกินแล้วเผลอทำข้าวร่วงพรูจากปาก สำลัก ผักติดฟัน หรือลิปสติกแหว่งไปซีกนึงแล้วจะทำยังไงกันนะ
อาหารที่แขกจะได้รับประทานนั้นไม่ได้เป็นแบบโต๊ะจีนให้เลือกตักจากกลางโต๊ะกันเองเหมือนบ้านเรา แต่จะแยกเป็นจานของใครของมันมาเป็นคอร์ส จานหนึ่ง ๆ มีปริมาณไม่มาก แต่จัดไว้อย่างหรูหราสวยงาม ตับเป็ดฟรัวกราก็มีอยู่ในเมนูด้วย ค่าอาหารต่อหัวแขก 1 คนอยู่ที่ระหว่าง 10,000-30,000 เยน (ประมาณ 3,000-10,000 บาทแล้วแต่ค่าเงินเยน) ในงานนี้จะมีพนักงานเสิร์ฟเยอะมาก และทำงานกันอย่างรวดเร็วเพราะต้องให้ทันเวลายกอาหารอย่างเดิมออกไป เปลี่ยนอาหารจานใหม่ต่อ คนกินข้าวช้าผิดมนุษย์มนาอย่างฉันนี่ลำบากมากเพราะกินไม่ทันเขาเปลี่ยน ต้องพยายามรีบเต็มที่ และหาทางให้เพื่อนพูดมากกว่าตัวเอง
พอเลิกงานก็ได้รับของชำร่วยกันคนละถุง ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าพนักงานเขาจะเอามาวางให้ที่โต๊ะเลย ของใครของมัน ถุงหนึ่ง ๆ หนักเอาการอยู่ เจ้าบ่าวเจ้าสาวและพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจะยืนทักทายและส่งแขกที่ประตู เจ้าบ่าวเจ้าสาวแจกอมยิ้มกับคุ้กกี้ห่อแยกชิ้น บนห่อเขียนคำว่า “ขอบคุณ” ไว้ให้แขกแต่ละคนเป็นการส่งท้ายก่อนกลับ
นี่ก็เป็นประสบการณ์ร่วมงานแต่งของคนญี่ปุ่นเท่าที่ฉันพอจะจำได้ หวังว่าคงพอจะเห็นภาพกันบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ แล้วพบกันใหม่อาทิตย์หน้า สวัสดีค่ะ.
"ซาระซัง" สาวไทย ที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.