อารมณ์ด้านลบนั้นคนญี่ปุ่นกล่าวว่าทำให้จิตใจขุ่นมัว ไม่ว่าจะเป็นความอิจฉาตาร้อน เห็นใครดีกว่าเป็นไม่ได้จะรู้สึกตัวร้อนผ่าวๆ เหมือนไฟเผา อยากได้แบบเขาบ้าง เป็นต้น อารมณ์เหล่านี้ถ้ายิ่งสะสมไว้กับตัวมากขึ้นมีแต่จะทำให้จิตใจว้าวุ่นและไม่มีความสุขในชีวิต มองใครๆ ก็เห็นว่าเค้าได้ดีกว่าตน เกิดผลร้ายอย่างอื่นตามมาอีกได้ ไม่ใช่แค่ทำให้เกิดความทุกข์แก่ตนเท่านั้นฝ่ายตรงข้ามก็อาจรับรู้อารมณ์นั้นและไม่มีความสุขไปด้วย ดังนั้นมาลบความขี้อิจฉาออกกันดีกว่า
1. ควบคุมอารมณ์ด้านลบ มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะตนเองหรือคนอื่นๆ ถ้ามีรอยยิ้มสดใสร่าเริงได้ทุกวันโลกนี้คงจะดีงามขึ้นเยอะเลย ใครๆ ก็อยากให้เป็นเช่นนี้ ( อาจจะ:) ไม่มีใครที่อยากเริ่มต้นชีวิตมาก็ทุกข์ระทมใช่ไหมล่ะ ดังนั้นต้องคิดว่าถ้าเราอยากได้อะไรๆ คนอื่นๆ เขาก็มีความต้องการเช่นกัน สำหรับเรื่องการควบคุมอารมณ์ขี้อิจฉานั้น สมมุติว่า เพื่อนร่วมงานที่เข้ามาทำงานรุ่นเดียวกับเรากำลังจะได้รับมอบหมายให้ทำโปรเจ็คงานชิ้นใหญ่ ลองสังเกตความรู้สึกตนเองดูว่าช่วงแรกๆ เราอาจจะดีใจปนอิจฉาเพื่อนเล็กๆ แต่ถ้ายิ่งเก็บนู้นเก็บนี่มาคิดมาผสมความอิจฉาตาร้อนจะค่อยๆ เพิ่มทวีคูณขึ้น และพฤติกรรมที่แสดงออกอาจเริ่มเปลี่ยนไปในทางลบ จุดนี้เองที่เราต้องควบคุม คือควบคุมไม่ได้คิดมากเกินกว่าสิ่งที่ควรคิด เพื่อไม่ให้เก็บสะสมความขุ่นข้องหมองใจนั่นเอง
2. รู้เท่าทันอารมณ์อิจฉาที่กำลังเกิดขึ้น และสร้างความพอเพียง อารมณ์ขี้อิจฉาเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อไหร่ ถ้าเรารู้ตัวทันเราก็จะได้ระงับอารมณ์นั้น ความขี้อิจฉานั้นอาจจะเกิดขึ้นเมื่อ มีความรู้สึกว่าตัวเองขาด หรือยังไม่เพียงพอในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อที่จะไม่ให้อารมณ์รู้สึกขาดเกิดขึ้นก็ต้องสร้างความรู้สึกว่าเรามีพอแล้วขึ้นมาด้วย คิดว่าเราโอเคเพียงพอแล้ว จะสร้างอย่างไร หนึ่งในการสร้างอารมณ์ความรู้สึกที่เราเราเพียงพอแล้วคือ การรักตัวเอง แล้วจะทำให้เราเกิดความเข้าใจตนเองและเข้าใจคนอื่นๆ รู้ว่าแค่ไหนเราอยู่ได้แค่ไหนมากไป เกิดความเพียงพอขึ้นในใจ
3. รู้สาเหตุของอาการอิจฉานั้นๆ แล้วแก้ที่นั่น บางกรณีเราอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์แห่งความขี้อิจฉา แต่ถ้าเริ่มไม่มีความสุขเราต้องพยายามหาสาเหตุของอาการนั้น ถ้ารู้สาเหตุที่แท้จริงเราก็มุ่งแก้ไขที่นั่น เช่น อยากมีลูกมากๆ แต่ก็ไม่สมหวังสักที ทั้งๆที่เพื่อนๆ มีลูกกันเกือบหมดแล้ว ดูในเฟซบุ๊คใครๆ ก็โชว์แต่รูปลูกๆ เพื่อนๆ โพสนู้นนี่นั่นเกี่ยวกับเด็กๆ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ กรณีเช่นนี้ เราก็อาจจะเเก้โดยพยามไม่เล่นสื่อโซเซี่ยลมีเดีย , มีลูกแบบธรรมชาติไม่ได้ก็ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง , หรือหากลุ่มพูดคุยปรึกษาหารือสำหรับคนมีลูกยากเช่นกัน เป็นต้น
4. ไม่เปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นๆ คล้ายๆ ที่เขียนไปด้านบนว่าความอิจฉาอาจจะเกิดจากรู้สึกว่าตนเองขาด ยังไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบกันระหว่างตัวเองและคนอื่นๆ ไม่เปรียบเทียบก็ไม่รู้สึกไม่มีเท่าเขา ก็ไม่รูสึกอิจฉาตาร้อน ให้พยายามคิดว่า เราส่วนเรา คนอื่นก็มีทางของตน ต่างคนต่างมีดีคนละอย่างไม่มีใครเหมือนใคร
5. ไม่ควรคิดว่ามีอะไรที่ยังไม่พอ แต่ให้โฟกัสไปในสิ่งที่เรามี ถ้าคิดว่ายังไม่พอ ยังไงๆก็เกิดความอิจฉาขึ้นมาได้ สิ่งที่ควรตะหนักมากกว่านั้นคือสิ่งที่เราครอบครองอยู่ สิ่งที่เรามีอยู่ต่างหาก สิ่งที่เรามีเราควรให้คุณค่ากับสิ่งนั้นเพราะอาจจะเป็นสิ่งที่มีค่ามีความหมายและเหมาะสมกับเรามากที่สุดแล้ว ตัวอย่างเช่น เรายังไม่มีแฟนแต่เพื่อนๆ ควงแฟนมาให้เห็นบ่อยๆ กรณีเช่นนี้ให้มองจุดดีที่เรามี คือเรามีเวลาอิสระมากมาย ที่จะใช้สำหรับไปเที่ยวไปช้อปปิ้งจะเสริมสวย อ่านหนังสือดีๆ หรือนอนเล่นอินเทอร์เน็ตทั้งวัน เป็นต้น
แค่นี้ก็จะสามารถระงับอารมณ์ขี้อิจฉาตาร้อนได้บ้างแล้ว ถ้าทุกคนต่างคนต่างเอื้อเฟื้อแบ่งบันกัน ไม่อิจฉาตาร้อนกันไม่สร้างความวุ่นวายโลกนี้คงสวยงามน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ มาลบอารมณ์ขี้อิจฉากันเถอะ