ระบบการศึกษาของญี่ปุ่นเผชิญวิกฤต เมื่อครูเป็นอาชีพที่ทำงานหนักที่สุดจนเสี่ยงจะเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไป ขณะที่จำนวนเด็กก็ลดลงจนโรงเรียนหลายแห่งต้องปิดตัว
ครูหนุ่มวัย 40 ปีของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดชิบะ ต้องมาถึงโรงเรียนเวลา 6.50น.ทุกเช้า ไม่ใช่เพื่อเข้าสอน แต่เพื่อดูแลนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมชมรมต่างๆ หลังจากนั้นเขาก็ต้องเข้าสอนตามปกติ และเมื่อกระดิ่งเลิกเรียนดังขึ้น คุณครูคนนี้ยังต้องไปดูแลชมรมยูโดในช่วงเย็น จนกระทั่งเด็กนักเรียนทุกคนเก็บกระเป๋ากลับบ้าน แต่ภารกิจของครูก็ยังไม่จบสิ้น เขาต้องอยู่เตรียมการสอนและทำงานธุรการต่างๆอีกมากมาย กว่าจะเสร็จสิ้นกลับบ้านได้ก็ราว 2 ทุ่ม
นอกจากนี้ กิจกรรมชมรมที่เขาดูแลอยู่มักมีการซ้อมในเช้าวันเสาร์ และแข่งขันในวันอาทิตย์ ซึ่งหมายความว่าครูก็ต้องมาทำงานถึงแม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์
ครูสาวอีกรายหนึ่งในโรงเรียนประถมที่กรุงโตเกียวก็มีชีวิตที่ไม่แตกต่างกัน เธอต้องตื่นนอนทุกวันเวลาตี 5 และไปถึงโรงเรียนก่อนเวลา 7.30 น. นอกจากงานสอนแล้ว เธอยังมีภาระงานอื่นอีก 5 อย่าง ทั้งการจัดทำตารางสอนและดูแลห้องสมุด นอกจากนี้ ในระหว่างวันเธอยังต้องรับโทรศัพท์จากพ่อแม่ผู้ปกครองที่โทรมาร้องเรียนหรือปรึกษาปัญหาสารพัด แม้กระทั่งลูกทะเลาะวิวาทกับเด็กแถวบ้าน ก็ยังต้องมาปรึกษาครู
ถึงแม้งานสอนของเธอจะจบลงในเวลา 5 โมงเย็น แต่ภาระงานยังไม่สิ้นสุด เธอต้องเตรียมการสอนและจัดทำเอกสารประเมินผลต่างๆ กว่าจะกลับบ้านได้ก็ราว 3 ทุ่มครึ่ง นอกจากนี้ ในวันเสาร์อาทิตย์ เธอยังต้องเข้าร่วมการประชุมผู้ปกครอง หรือกิจกรรมกับชุมชน เช่น การซ้อมอพยพหนีภัยต่างๆ
แม่พิมพ์ชาติ ทำงานจนตาย
ภาระงานอันท่วมท้นของครู 2 คนนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของครูจำนวนมากในญี่ปุ่น ที่เป็นอาชีพที่ทำงานหนักที่สุด จนกระทรวงศึกษาธิการกังวลว่าเสี่ยงที่จะทำงานจนตาย
ผลการสำรวจของกระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่น พบว่า ครูเป็นอาชีพที่ทำงานหนักที่สุด โดยครูโรงเรียนประถมทำงานเฉลี่ยวันละ 11 ชั่วโมง 15 นาที ส่วนครูโรงเรียนมัธยมทำงานเฉลี่ยวันละ 11 ชั่วโมง 32นาที และครูส่วนมากไม่ได้รับค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลาแต่อย่างใด
รัฐบาลญี่ปุ่นออกกฎหมายจำกัดชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาไม่ให้เกิน 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อป้องกันการเสียชีวิตจากการทำงาน โดยหากใช้เกณฑ์นี้ ครูโรงเรียนประถม 17% และครูโรงเรียนมัธยม 41% ทำงานเกินเวลาจนเข้าข่ายอันตรายต่อชีวิต
และที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือ การทำงานเกินเวลาของครูทั้งหลายไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเดือนสองเดือน แต่เป็นภาระประจำต่อเนื่อง
กระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่น พยายามลดภาระนอกเหนืองานสอนของครู โดยให้โรงเรียนว่าจ้างผู้ฝึกสอนมาช่วยดูแลกิจกรรมกีฬาและงานชมรมต่างๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหามากนัก เพราะก็ต้องมีครูมาประสานงานอยู่ดี
โรงเรียนบางแห่งที่ชั่วโมงทำงานของครูเข้าขั้นวิกฤต ก็ใช้วิธี “เลี่ยงบาลี” โดยให้ครูกลับไปเตรียมการสอนที่บ้าน เพื่อไม่ให้ตัวเลขชั่วโมงทำงานผิดกฎหมาย แต่หารู้ไม่ว่าการเตรียมการสอนนั้นใช้เวลามากกว่าการสอนจริงด้วยซ้ำ โดยเคยมีกรณีครูสาวเสียชีวิตจากการที่ต้องนำงานกลับไปทำที่บ้านมาแล้ว
โรงเรียนในญี่ปุ่นต้องเผชิญกับความยากลำบากจากงบประมาณที่ถูกตัดลดลงจึงจ้างครูได้น้อยลง และต้องเพิ่มจำนวนนักเรียนต่อห้อง นอกจากนี้ สังคมญี่ปุ่นที่จำนวนเด็กลดลงอย่างมาก ก็ส่งผลให้โรงเรียนหลายแห่งต้องปิดตัวลง เพราะนักเรียนลดลงแทบไม่เหลือ
ระบบการศึกษาของญี่ปุ่นที่ได้รับยกย่องว่าสามารถสร้างนักเรียนที่มีศักยภาพด้านวิชาการ และมีพัฒนาการที่รอบด้าน ต้องพบความท้าทายครั้งสำคัญ เพราะจำนวนนักเรียนลดลง ส่วนครูก็ต้องทำงานอย่างหนัก โดยถึงแม้ญี่ปุ่นจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีสูงล้ำแค่ไหน ก็ไม่อาจจะทดแทนศักยภาพของคนได้ สังคมที่ "แม่พิมพ์หัก" และ ขาดแคลน "เมล็ดพันธุ์ใหม่" จึงไม่มีความหวัง และไม่มีอนาคต.