xs
xsm
sm
md
lg

คุณนายไข่มุก ตอนที่ 5 (ต่อ) แค้นของโชดะ โชเฮ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน* (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"

ตอนที่ 5 (ต่อ)
โชดะ โชเฮ

4

หนุ่มสาววัยรุ่นยังคุยกันอย่างคึกคะนองต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าคำพูดแต่ละคำเฉือดเฉือนจิตใจของโชเฮเจ้าของคฤหาสน์ใหญ่โตโอฬารที่นั่งขบกรามฟังอยู่ห่างไม่ถึงคืบอย่างสาหัสสากรรจ์

“มางานเขาแล้วนินทาเจ้าภาพแบบนี้ มันไม่ดีนะคุณ”

สาวน้อยเงยหน้าขึ้นติงเพื่อนชายพลางโบกพัดก้านงาช้างที่ดูสูงค่าราคาแพงในมือเบา ๆ พอเป็นจริตสมหญิง

“ผมมีสิทธิพูดได้มากกว่านี้”

ใบหน้าคล้ำแดดสมชายของเขาดูขึงขังขึ้น

“อย่างแรกเลยคุณดูพวกเชื้อพระวงศ์พงศ์ผู้ดีที่ทำท่าตีสนิทกับเหล่าเศรษฐีใหม่นั่นซิ ผมว่าน่าเกลียดที่สุด ปกติเห็นเย่อหยิ่งเป็นชนชั้นสูงเชิดหน้าปรายตาเหยียดพวกนั้นว่าเป็นไพร่บ้างละชาวบ้านบ้างละ ดูถูกเขาต่ำต้อยขนาดนั้น แต่พอเห็นเขาอู่ฟู่มีเงินมีทองมหาศาลขึ้นมา ก็พากันระริกระรี้เข้าไปก้มหัวผงก ๆ ตอมเป็นฝูง มิใยว่าจะเป็นไพร่หรือว่าชาวบ้านร้านถิ่นที่ตัวเองเคยปรามาสเอาไว้ ท่านพ่อผมก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปรู้จักและคบหาสมาคมกับพวกนั้นมาตั้งแต่เมื่อไร ไม่นานมานี้เอง มาบอกกับพวกเราว่าเขามาทาบทามให้ไปรับตำแหน่งสำคัญในบริษัทอะไรสักอย่างที่เปิดใหม่ ผมเห็นภูมิอกภูมิใจนักยืนกรานจะไปให้ได้ก็เลยบอกว่าตามใจก็แล้วกัน”

“ตายจริง บาตขอส่วนบุญเวียนมาถึงท่านพ่อคุณแล้วหรือนี่”

เจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นหัวเราะเบา ๆ กับคู่สนทนา

“เมื่อพูดกันถึงเรื่องนี้ ผมขอบอกว่านับถือท่านพ่อของคุณจริง ๆ ที่อุดมการณ์สูงส่งไม่ยอมก้มหัวให้กับเงิน คุยกับใครก็ไม่อายเขา”

ชายหนุ่มพูดพลางใช้ปลายรองเท้าบดขยี้เม็ดถั่วลิสงที่ใครทำตกไม้แถวนั้นจนแหลก

“ฉันว่าท่านพ่อไม่ค่อยปกติมากกว่า”

เจ้าหล่อนหน้าสลดลงนิดหนึ่ง เสริมด้วยเสียงเจือเศร้า

“อายุขนาดนั้นแล้วยังเที่ยวเตร่เป็นบุรุษเจ้าสำราญไม่เลิก”

“บุรุษเจ้าสำราญที่ไหนกัน ไม่มีใครลืมหรอกว่าท่านเป็นสุภาพบุรุษนักสู้อยู่ในสภาขุนนางมาถึงสามสิบปีแล้ว ผ่านการต่อสู้กับพวกเจ้านครมาอย่างโชกโชนเพียงใด อย่าไปว่าท่านเลย”

ชายหนุ่มปลอบเสียงอ่อนโยนราวกับคนละคนกับที่โจมตีเศรษฐีใหม่รุนแรงเมื่อครู่ก่อน การสนทนาเริ่มจริงจังขึ้นจนในที่สุดก็เงียบไปเมื่อฝ่ายหนึ่งหยุดต่อคำ ชายหนุ่มลากม้านั่งอีกตัวหนึ่งมานั่งเคียงกับหญิงสาว ซากุระพริ้วกลีบเมื่อต้องสายลมอุ่น ๆ ปลายฤดูใบไม้ผลิ

ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วโชเฮอยากจะลุกหนีไปจากตรงนั้นไม่รู้ว่ากี่ครั้งแต่ความทรนงในศักดิ์ศรีหยุดยั้งเขาเอาไว้...มีหรือคนอย่างเขาจะกลัวคำติฉินนินทาถึงกับต้องหนีไปให้พ้น...โชเฮสะกดกลั้นความโกรธรุนแรงเอาไว้ในอกขณะนิ่งฟังชายหนุ่มคนนั้นโจมตีอย่างเผ็ดร้อน

เมื่อราวสิบนาทีก่อนหน้านี้เองโชเฮยังคิดว่าแขกทุกคนในงานอุทยานสโมสรวันนี้ล้วนยกย่องสรรเสริญความมั่งคั่งรุ่งเรืองของเขาแม้บางคนอาจอิจฉาด้วยซ้ำ คิดว่าอย่างน้อยเงินของเขาก็มีอำนาจพอที่จะให้สังคมชั้นสูงเปิดรับเขาอย่างอบอุ่น คิดว่าเงินของเขามีมนต์อำนาจบันดาลให้คนที่มาชุมนุมกันในวันนี้ ตั้งแต่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี, ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในหลายกระทรวงทบวงกรม ประธานสภาขุนนางผู้สูงศักดิ์และบรรดาสมาชิกสภา ไปจนถึงนายทหารระดับนายพลของกองทัพบกกองทัพเรือ เจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารและบริษัทใหญ่ นักวิชาการและบุคคลสำคัญในวงการศาสนา ซูโม่และดาราเรืองนาม ทุกคนไม่ว่าใครต่างยกย่องสรรเสริญและเปิดรับเขาเข้าร่วมสมาคมด้วย

แต่นี่มันอะไรกัน เขากำลังถูกหนุ่มสาวที่คงไม่โตเกินกว่านักศึกษา แต่สำหรับเขาไม่ต่างกับเด็กเมื่อวานซืนที่ไม่สำคัญพอที่เขาคิดจะต่อกรด้วยแม้จะเป็นลูกท่านหลานเธอก็ตามที ประณามเอาต่อหน้าต่อตาที่ตรงใจกลางของงาน ไม่เพียงเท่านั้นเด็กสองคนยังไม่ก้มหัวให้กับอำนาจเงินที่เขาถือว่าเป็นเชือกยึกโยงชีวิตเส้นสำคัญที่แข็งแกร่งเหนียวแน่นของเขา สรรหาถ้อยคำมาเหยียดหยามคนมีเงินอย่างพวกเขาให้ได้อาย หัวใจของโชเฮที่กำลังสว่างไสวด้วยประกายแสงแห่งความอิ่มเอมเปรมใจวูบดับดิ่งลงไปในความคับแค้นอันดำมืด ลำคอขื่นระคายเหมือนถูกบังคับให้เคี้ยวกลืนผักขม ใบหน้าของเขาถมึงถึงราวกับเสือดาวที่บันดาลโทสะเมื่อถูกศัตรูกางกรงเล็บตะปบเฉี่ยวเอาจนเลือดไหลซิบ ๆ ...ลองสำรากอะไรออกมาอีกสักคำซีไอ้เด็กถ่อย กูไม่เอามึงไว้แน่...โชเฮคำรามอยู่ในใจด้วยอารมณ์ที่กำลังเดือดพลุ่งสุดขีด

5

สองหนุ่มสาวไม่ระแวงเลยจนนิดเดียวว่ามีเสือดาวที่บาดเจ็บด้วยคมคำพูดของพวกเขากำลังหมอบนิ่งอยู่ข้างหลังคอยจังหวะกระโจนเข้าใส่อยู่ทุกขณะจิต แต่การที่อยู่ ๆ ทั้งสองก็เงียบไปนั้นทำให้โชเฮเสียจังหวะที่มุ่งมาดไว้ว่า...ลองสำรากอะไรออกมาอีกสักคำซีไอ้เด็กถ่อย กูไม่เอามึงไว้แน่...ใจหนึ่งก็อยากลุกไปเสียให้พ้น ๆ ก่อนที่จะเดือดดาลจนระเบิดออกมา แต่ก็ไปไหนไม่ได้จนแล้วจนรอดคงได้แต่นั่งเขม้นมองคู่อริอยู่อย่างนั้น

โชเฮไม่ได้มองหน้าสองหนุ่มสาวอย่างถนัดตาตั้งแต่แรกเพราะถูกยั่วโมโหเสียก่อน ดังนั้นพออารมณ์สงบลงเขาจึงเริ่มมีใจที่จะเพ่งพิศรูปโฉมของหนุ่มสาวทั้งสองอีกครั้ง

ยิ่งพิศก็ยิ่งเห็นความหล่อเหลาสมชายและความสวยสดสมหญิง โดยเฉพาะความงามของหญิงสาวนั้นช่างบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่โชเฮไม่เคยเห็นมาก่อนแม้ในความฝัน เมื่อลองคิดเทียบกับสาวเจ้าเสน่ห์หลายคนที่คุ้นเคยกันตามสถานเริงรมย์แถวชิมบะชิและอะกะซะกะก็พบว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความงามของเจ้าหล่อนเหล่านั้นคือความงามของดอกไม้เทียม ความงามของไข่มุกเทียม เมื่อได้เห็นเป็นครั้งแรกก็พอจะล่อตาล่อใจให้ลุ่มหลง แต่พอครั้งหลัง ๆ ก็จะเริ่มเห็นเนื้อในที่แท้จริงและเบื่อหน่ายในที่สุด

ทว่าความงามสาวน้อยคนนี้เป็นความงามบริสุทธิ์สดใสตามธรรมชาติราวดอกไม้แรกแย้มที่เบ่งบานรับน้ำค้างยามดึก เป็นความงามที่เปล่งประกายยองใยราวไข่มุกที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมา ณ ใต้ทะเลลึก รอดพ้นจากมือมนุษย์ที่จะมาแตะต้องเชยชม มองแล้วงามมองอีกก็งาม พิศอีกครั้งพิศซ้ำอีกหนยิ่งยลงามไม่เว้นวาย เมื่อเห็นหน้าสาวน้อยตรง ๆ เช่นนี้โชเฮรู้สึกขึ้นมาทันทีเลยว่าความงามของหญิงที่โชเฮซื้อมาด้วยเงินนั้นเป็นความงามจอมปลอมทั้งสิ้น ความหรูตัวในอำนาจเงินของเขาถูกลบเหลี่ยมลงอีกครั้ง ด้วยความงามของเด็กสาวคนนี้

ไม่ใช่เท่านั้น โชเฮยังตระหนักว่าหนุ่มสาวทั้งสองเป็นคู่รักกัน แม้ในช่วงหลังสองคนจะคุยกันเบา ๆ ไม่ได้ยินมาถึงหูโชเฮ แต่เสียงหัวเราะประสานกันที่แว่วมาเป็นระยะ ๆ นั้นเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ใยดีที่ทั้งสองมีต่อกัน เสียงหัวเราะแจ่มใสบริสุทธิ์แฝงเอาไว้ซึ่งความรักที่กำลังอบอุ่นและร้อนรุ่มขึ้นตามลำดับ

ขณะที่ลอบสังเกตความสนิทสนมกลมเกลียวของสองหนุ่มสาวอยู่นั้น โชเฮเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าความโกรธเกรี้ยวได้กลายไปเป็นความริษยาไปตั้งแต่เมื่อไร “ทุกอย่างอยู่ที่เงิน เงินเนรมิตได้ทุกอย่าง” ความหยิ่งผยองของเขากำลังจะแผลงฤทธิ แต่ในส่วนลึกโชเฮไม่มั่นใจเลยว่าทรัพย์สินทั้งหมดของเขาจะสามารถซื้อความสุขอย่างที่หนุ่มสาวทั้งคู่กำลังรู้สึกอยู่นี้ได้หรือไม่ ใบหน้าสาวน้อยลอยเด่นขึ้นมาในห้วงคิด เงินของเขามีค่าพอที่จะซื้อรอยยิ้มสวยสดใสบริสุทธิ์ของเจ้าหล่อนแม้เพียงครั้งเดียวได้ไหม โชเฮไม่เคยแล้งเสน่ห์สาว ผู้หญิงแถวชิมบะชิและอะกะซะกะออดอ้อนเขาส่งยิ้มให้เขาเป็นพันเป็นหมื่นหน ถึงเขาจะรู้ดีว่าแต่ละนางซุกซ่อนความละโมบ กิเลสตัณหา และเล่ห์เหลี่ยมราวนางจิ้งจอกตัวร้ายเอาไว้ในส่วนลึก ยิ้มของพวกหล่อนแตกต่างกับยิ้มที่สองหนุ่มสาวตรงหน้าเขาส่งให้แก่กันราวกับเพชรกับก้อนถ่าน ถึงจะเป็นยิ้มเหมือนกันแต่เนื้อแท้ของมันต่างกันลิบลับ เหมือนเพชรกับก้อนถ่านที่แม้จะมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันก็เถอะ

อันที่จริงก็สมแล้วที่ชายหนุ่มผู้นี้จะประณามอำนาจเงินของโชเฮอย่างเผ็ดร้อนขนาดนั้น เพราะความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าขณะนี้พิสูจน์แล้วว่าในโลกนี้มีความสุขชนิดที่เขาไม่อาจซื้อได้ด้วยเงิน สำหรับโชเฮคำพูดของชายหนุ่มไม่ได้เป็นแค่การนินทาว่าร้าย แต่มันคือความจริงอันแสนขื่นขมที่เสียดแทงเข้าไปจนถึงกระดูกดำ และยิ่งเห็นเจ้าของคำประณามแสดงกิริยาท่าทีว่าตนมีสิทธิที่จะกล่าวว่าเขาเช่นนั้นด้วยแล้ว โชเฮยิ่งบันดาลโทสะราวกับวัวกระทิงที่ถูกมาธาดอร์ทิ่มแทงด้วยประตักในสนามสู้วัว...ทนไม่ไหวแล้ว...โชเฮกำหมัดแน่นพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่คู่อริ...หูตาพร่าพรายไปด้วยโทสะสุดขีด ไม่คำนึงถึงหน้าตาในวงสังคมอะไรทั้งนั้น

จังหวะเดียวกันนั้นเองชายหนุ่มกับหญิงสาวผลุดลุกขึ้นจากที่นั่ง โดยฝ่ายหญิงชวนขึ้นว่า

“เราไปหาอะไรรับประทานกันดีกว่า ไหน ๆ ก็มาแล้ว”

“ผมทำใจรับประทานข้าวปลาของเศรษฐีใหม่พวกนี้ไม่ลงหรอกคุณ”

ชายหนุ่มหัวเราะเชิงให้ฟังดูเป็นเรื่องขบขัน แต่สำหรับโชเฮที่กำลังโกรธสุดขีดแล้ว มันคือคำประกาศสงคราม เขาลุกจากม้านั่งทันทีเหมือนสิงโตที่หมอบซุ่มอยู่ได้จังหวะกระโจนเข้าตะครุบเหยื่อ

6

พอดีกับที่ชายหนุ่มผู้ไม่รู้สึกตัวเลยว่าทำให้โชเฮโกรธถึงขนาดนั้นกำลังพาหญิงสาวเดินลงจากเนิน

“นี่คุณ คุณ หยุดก่อน”

โชเฮเรียกเอาไว้ เสียงห้าวของเขาไม่วายสั่น

“อะไรหรือครับ”

ชายหนุ่มที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรหันมาถามด้วยเสียงที่มีกังวานของผู้ดีมีตระกูล หญิงสาวพลอยหันตามมาด้วย เจ้าหล่อนขมวดคิ้วโก่งงามได้รูปนิดหนึ่งเมื่อเห็นท่าทางอุกอาจของโชเฮ

“ขอโทษด้วยที่เรียกเอาไว้ ไม่มีอะไรหรอกครับ นอกจากอยากทักทายตามธรรมเนียมเท่านั้น”

โชเฮลอบถอนใจหลังพูดได้จนจบ เพราะการที่ต้องระงับอารมณ์รุนแรงไม่ให้ระเบิดออกมานั้น ทำให้เขาหาคำพูดไม่ได้ดังใจ สองหนุ่มสาวมองท่าทางกระอักกระอ่วนของโชเฮอย่างพิศวง

“ผมน่าจะได้พบคุณทั้งสองที่หน้างาน แต่รู้สึกว่าคุณจะมากันช้าก็เลยยังไม่ได้ทักทายกัน ผมคือโชดะ โชเฮ เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้”

โชเฮบอกพร้อมกับก้มศีรษะอย่างให้ดูเป็นพิธีรีตรอง ขณะที่มือทั้งสองที่กำหมัดเอาไว้สั่นเทิ้มด้วยโทสะ

สองหนุ่มสาวหน้าถอดสีแต่ไม่มีแววของความประหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใด

“อย่างนั้นหรือครับ ขอบคุณมากครับที่กรุณาเชิญเรามางานวันนี้” ชายหนุ่มกล่าวทักทายตามมารยาทสังคม “ผมเป็นบุตรชายของซุงิโนะ ทะดะชิ ที่ท่านคงรู้จักดี และนี่คือบุตรสาวของท่านคะระซะวะ สมาชิกสภาขุนนางครับ”

ชายหนุ่มหน้าซีดแต่สงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ออกนอกหน้าอย่างคนที่ผ่านการอบรมมารยาทสังคมมาแล้วเป็นอย่างดี ส่วนสาวงามน้อมศีรษะอ่อนช้อยเมื่อเพื่อนชายออกนามแนะนำตัวโดยไม่มีอาการสะทกสะท้านแม้แต่น้อย

“ผมเผอิญได้ยินคุณสองคนคุยกัน มันช่างมีเนื้อหาสาระน่าคิดสำหรับพวกเรามากเหลือเกิน”

โชเฮหัวเราะเสียงดังตั้งใจจะให้เป็นการยกตนข่มคู่สนทนา แต่เสียงหัวเราะกลับลงไปติดอยู่ในลำคอทำให้กระแสเสียงที่เปล่งออกมาแปร่งไปฟังคล้ายคำราม เมื่อรู้ชัดแล้วว่าการนินทาว่าร้ายของเขาส่งผลออกมาเหมือนจุดไต้ตำตอเช่นนี้ชายหนุ่มก็หน้าชาไปเหมือนกัน แต่ก็ยังกล่าวตอบได้ด้วยเสียงราบเรียบ

“ขอโทษครับที่ผมเสียมารยาทมาก แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะนั่นคือความคิดส่วนตัวของผม ต้องขออภัยที่ผมไม่ได้ระวังคำพูด ความคิดส่วนตัวก็คือส่วนตัวครับ”

ชายหนุ่มยิ้มเย็น ๆ หลังพูดจบ

โชเฮคาดผิด คิดว่าพอตนแสดงตัวออกมาทั้งสองจะหวั่นไหวและเสียท่าจนงก ๆ เงิ่น ๆ ทำอะไรไม่ถูกเมื่อถูกจับได้ว่าแอบนินทาลับหลัง ความเจ็บแค้นจึงพลุ่งขึ้นมาแน่นอยู่ในอกเมื่อเห็นคู่อริแกร่งกว่าที่คิด

“ไม่หรอกคุณ ตอนหนุ่ม ๆ คนเรามักจะดูถูกว่าเงินมันจะมีคุณค่าสักเท่าไรกัน พวกผมก็เคยกันมาก่อน แต่ไม่นานคุณก็จะเข้าใจเองว่าเงินสำคัญต่อชีวิตแค่ไหน”

โชเฮพยายามข่มคู่อริเท่าที่จะทำได้ แต่ชายหนุ่มไม่ยอมจำนน

“แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น เท่าที่เห็นคนที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะมีโอกาสทำงานสูงเกียรติในสังคม พยายามใช้เงินเพื่อยกระดับตนเองให้มีหน้ามีตากันทั้งนั้น ผมชอบนักธุรกิจที่ทำธุรกิจด้วยใจรักงาน แต่เกลียดพวกที่ทำธุรกิจเพราะเห็นแก่เงินและแสดงอำนาจเงินอวดคนอื่น”

เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเป็นอันว่าไม่ต้องรักษามารยาทอะไรกันอีกแล้ว ชายหนุ่มกับโชเฮหน้าแดงบ้างเขียวบ้างไปทั้งคู่ขณะต่อปากต่อคำกันอย่างไม่ยอมแพ้

“จะพูดอะไรยังไงก็ตามใจคุณ แต่ขอบอกว่ามันไร้สาระ โลกและชีวิตไม่ได้เป็นไปตามอุดมการณ์ของคุณหนูอย่างคุณ วันหนึ่งคุณจะรู้เองว่าอำนาจเงินน่ากลัวแค่ไหน วันนั้นจะต้องมาถึงแน่นอน”

โชเฮเม้มปากกว้างของเขาแน่นขณะจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง แต่พอเบนสายตาไปที่ร่างระหงที่ยืนตัวตรงราวรูปปั้นอยู่ชิดกับชายหนุ่ม โชเฮถึงกับใจหายอย่างไม่รู้ตัวเมื่อกระทบกับสายตาที่พุ่งมองมายังเขาด้วยความชิงชัง

7

ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยอะไรออกมาแต่ถูกเจ้าหล่อนขัดเอาไว้

“พอเถอะค่ะ เราไม่ดีเอง ท่านเจ้าภาพมีอุดมการณ์ของท่านและคุณก็มีของคุณ ส่วนของใครจะถูกนั้นก็คงต้องดูกันไปว่าชีวิตของใครจะเป็นอย่างไร ดิฉันคิดว่าเราลาท่านตรงนี้เลยดีไหม”

สาวน้อยเข้มแข็งกว่ามากน้ำเสียงของหล่อนคมและเฉียบขาดแทบจะมีประกายไฟแวบออกมา สายตาที่ปรายมาทาง โชเฮฉายแววดูถูกดูแคลนอย่างโจ่งแจ้ง บนใบหน้ามีร่องรอยตรงไหนซักแห่งที่พออ่านออกว่า...แค่ต้องทักทายกับนายคนนี้ ฉันก็คิดว่าบ้าบอเต็มทนแล้ว...ความงามราวนางพญานกยูงแฝงความเย่อหยิ่งของนางนกไว้ไม่ยิ่งหย่อนกัน

ชายหนุ่มคงจะสำนึกขึ้นได้ว่าตนทำอะไรลงไปเหมือนเด็ก ๆ จึงถือโอกาสพูดทิ้งท้ายพอเป็นพิธี

“ขอโทษครับที่พูดจาล่วงเกิน”

แล้วเร่งฝีเท้าตามหญิงสาวลงเนินไป การที่คู่อริถอนตัวจากการประคารมเอาดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ทันตอกหน้าแรง ๆ ให้พอคลายอารมณ์โกรธ ทำให้โชเฮเสียดายที่ไม่ได้พูดอะไรหยามน้ำหน้าเจ้าหนุ่มอ่อนหัดคนนั้นให้ได้อายมากไปกว่านี้ ยิ่งมองตามสองหนุ่มสาวที่พากันเดินเคียงคู่ไกลออกไปด้วยท่าทางสนิทชิดเชื้อด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้แพ้ ความจริงเขาน่าจะเป็นต่อตอนที่แสดงตัวออกมาว่าเป็นคนที่สองคนนั่นกำลังนินทาว่าร้ายเอาอย่างเจ็บแสบ แต่ที่ไหนได้คนที่ก้าวร้าวเขานั้นไม่มีทีท่าว่าจะสลดสดโศกแม้แต่น้อย กลับอหังการขึ้นมาเดินแต้มเหนือกว่าแล้วต้อนเขาให้เข้ามุมอับ ยิ่งต่อปากต่อคำก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่มีอะไรดี เป็นผู้แพ้อย่างน่าเวทนา

การทุ่มเงินกว่าห้าหมื่นเพื่อจัดงานอุทยานสโมสรอันโอ่อ่าอลังการนี้ขึ้นมากลายการกระทำที่โง่เขลาเบาปัญญา ความรู้สึกปลาบปลื้มจนตัวลอยไปกับคำสรรเสริญเยินยอของบรรดารัฐมนตรี เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง และแขกผู้มีเกียรติอื่น ๆ ได้ถูกเด็กเมื่อวานซืนทั้งสองฉุดดิ่งลงใต้พื้นพิภพ

ขณะที่จิตใจของโชเฮกำลังรุ่มร้อนอยู่ในวังวนของอารมณ์โกรธและความเจ็บใจอย่างสุดทนที่กำลังเคี่ยวงวดอยู่นั้นเอง เขาก็พบลำแสงลาง ๆ ที่ค่อย ๆ สว่างเป็นวงกว้างขึ้น...มันคือการแก้แค้น ใช่...เขาจะใช้อำนาจของเงินสั่งสอนเจ้าหนุ่มที่ดูถูกอำนาจเงินของเขาถึงขนาดนั้นให้เจ็บแสบถึงกระดูกดำเลยทีเดียว ส่วนเจ้าหล่อนผู้เย่อหยิ่งที่เข้าข้างเจ้าหนุ่มและมองเขาด้วยสายตาเกลียดชังนั่นก็อีกคน ต้องสั่งสอนให้เจ็บแสบปานกัน พอคิดได้ดังนั้น โชเฮรู้สึกเหมือนกับมีพลังก่อเกิดขึ้นใหม่ในใจของเขา

วงสังคมชั้นสูงซุบซิบกันทั่วไปว่าสมาชิกสภาขุนนางทั้งสองคือซุงิโนะ บิดาของชายหนุ่ม และคะระซะวะ บิดาของหญิงสาว เป็นผู้ดีตกยาก มีแต่หอกทองโล่ห์ทองที่เอาไว้เชิดชูประดับเกียรติให้ฟูฟ่องจมไม่ลงเท่านั้น

ความที่โกรธจนหัวหมุนทำให้โชเฮคิดหากลยุทธ์ล้างแค้นครั้งนี้ไม่ออก อย่าว่าแต่จะคิดกลั่นแกล้งบิดาของคนทั้งสองเลย แค่จะจัดการกับสองหนุ่มสาวนักศึกษาอ่อนหัดทั้งสองก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรดี ระหว่างที่กำลังร้อนรนอยู่นั้นเองภาพของทั้งสองที่เดินคลอเคลียกันฉันคู่รักก็แวบกลับเข้ามาในห้วงคิดตามมาด้วยความคิดชั่วร้ายที่เปล่งประกายแสงเฉียบคมราวสายฟ้าฟาด สายฟ้าดับหายไปรวดเร็วแต่ความคิดนั้นยังคงอยู่และค่อย ๆ กัดกินลึกลงไปในใจของโชเฮ

ดวงอาทิตย์ฤดูใบไม้ผลิยังสาดแสงส่องสว่างอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แขกผู้รับเชิญของโชเฮเดินกระจายตัวหาความสำราญตามใจชอบในช่วงครึ่งวันที่เหลืออยู่ไปทั่วสวน มีแต่เจ้าภาพของงานอันอลังการงานนี้เท่านั้นที่ตกจมอยู่กับความเคียดแค้น ครุ่นคิดวางแผนชั่วร้ายอยู่คนเดียวท่ามกลางความสงบสุขของฤดูใบไม้ผลิ

“ตายจริง ท่านยังอยู่ที่นี่เอง ดิฉันเห็นใคร ๆ ถามหากันให้ควั่กนะเจ้าคะ”

เสียงแจ๋ว ๆ ดังขึ้นมาพร้อมกับเจ้าตัว ซึ่งก็คือนางเกอิชาคาดผ้ากันเปื้อนสีแดงคนเดียวกับที่ตามเขาขึ้นมาแล้วกลับไปเมื่อครู่ก่อน

“ไปทางทางโน้นกันเถิดเจ้าค่ะ”

นางเกอิชากับเพื่อนสองสามคนของหล่อนช่วยกันยื้อยุดเสื้อมอร์นิ่งโค้ทของเขาเป็นพัลวัน

“เออ ไป ไป กำลังอยากดื่มสาเกสักจอกสองจอกอยู่เหมือนกัน”

เขาพึมพำเสียงเพลีย ๆ ปล่อยตัวตามแรงฉุดดึงของนางเกอิชา ไปยังกลุ่มแขกที่มาชุมนุมกันอยู่ ด้วยใจที่หมดสนุกสิ้นความสนใจกับใคร ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตสักเพียงไร

ความคิดชั่วร้ายที่เปล่งประกายแสงเฉียบคมราวสายฟ้าฟาดลงมาใจของผู้ทรงอำนาจเงินผู้นี้คืออะไร เชิญติดตามตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น