การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสในเดือนเมษายนถูกจับตาว่า หากผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมชนะเลือกอาจนำไปสู่การถอนตัวจาการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เลิกใช้เงินยูโร และจุดชนวนให้ชาติอื่นๆทั่วยุโรปเกิดความปั่นป่วนไปด้วย
สถานีวิทยุ NHK สัมภาษณ์ความคิดเห็นของผู้สื่อข่าวประจำยุโรปเรื่องการเลือกตั้งผู้นำฝรั่งเศสในวันที่ 23 เมษายน โดยการสำรวจความคิดเห็นประชาชนครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นว่านางมารีน เลอ เพน ผู้นำพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองขวาจัดของ ที่ประกาศนโยบาย “ฝรั่งเศสต้องมาก่อน” และมีจุดยืนต่อต้านสหภาพยุโรป ได้รับเสียงสนับสนุนร้อยละ 26.5 ตามมาด้วยนายเอ็มมานูเอล มาครง ผู้สมัครอิสระที่มีแนวคิดสายกลางและอดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนร้อยละ 25.5
ขณะที่ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันและพรรคโซเชียลลิสต์ ซึ่งเป็น 2 พรรคที่ครองการเมืองฝรั่งเศสมาหลายทศวรรษ เสียเสียงสนับสนุนจากสาธารณชน มีคะแนนนิยมเพีนงร้อยละ 14-18 เท่านั้น
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้สมัครฝ่ายขวาจัดและผู้สมัครอิสระเป็นตัวเต็ง คือสาธารณชนไม่พอใจกับการเมืองที่เป็นอยู่ เนื่องจากฝรั่งเศสมีอัตราคนว่างงานราวร้อยละ 10 และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมายืดเยื้อเนิ่นนาน
ทั้งนี้ ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสแบ่งออกเป็น 2 รอบ ถ้าไม่มีใครได้คะแนนเสียงเกินครึ่งของทั้งหมดในรอบแรก ผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุด 2 คนจะต้องแข่งขันกันอีกครั้งในรอบที่ 2
ปัจจุบัน คาดว่านางเลอ เพนและนายมาครงจะเป็นผู้สมัครที่ต้องไปลงคะแนนตัดเชือกกันอีกครั้งในรอบที่ 2
ฝรั่งเศสเป็นชาติสำคัญในยุโรปคู่กับเยอรมนี และถ้านางเลอ เพน ชนะการเลือกตั้งก็จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจฝรั่งเศส เพราะเธอได้ประกาศว่าถ้าได้เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศส จะเริ่มการเจรจากับ EUเพื่อเลิกใช้เงินสกุลยูโร และถ้า EU ปฏิเสธไม่ยินยอม ก็จะจัดลงประชามติเพื่อสอบถามประชาชนว่าฝรั่งเศสควรออกจากอียูหรือไม่
ความเสี่ยงของการที่ฝรั่งเศสจะออกจาก EU ทำให้ตอนนี้มีการขายพันธบัตรฝรั่งเศสแล้วในตลาดค้าตราสารหนี้ ซึ่งทำให้ดอกเบี้ยฝรั่งเศสปรับเพิ่มสูงขึ้น
ผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นประจำยุโรป ระบุว่า สิ่งที่น่ากังวลที่สุด คือ ถ้าฝรั่งเศสถอนตัวจาก เหมือนอังกฤษ อาจส่งผลเป็น “โดมิโน” ให้พรรคการเมืองที่ต่อด้าน EU ในอิตาลีก็จะได้แรงหนุนมากขึ้น และจะส่งผลสะเทือนขั้นวิกฤตต่อเงินสกุลยูโร รวมทั้งต่อองค์กรสหภาพยุโรปด้วย
หลังจากที่ชาวอังกฤษลงประชามติถอนตัวจาก EU ค่าเงินเยนได้พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เพราะนักลงทุนแห่ซื้อเงินเยนที่มีความมั่นคงมากกว่าเงินยูโร นอกจากนี้ธุรกิจของญี่ปุ่นในอังกฤษก็ได้รับผลกระทบ หลายธุรกิจต้องย้ายฐานจากอังกฤษเพื่อเชื่อมโยงกับ EU ความปั่นป่วนในยุโรปจึงส่งผลกระทบต่อญี่ปุ่นอย่างมาก.