xs
xsm
sm
md
lg

คุณนายไข่มุก(ตอนที่ 3)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน* (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"

ตอนที่ 3 เทพธิดาไข่มุก

1

ตลอดทางตั้งแต่มะนะซึรุจนถึงยุงะวะระอันเป็นจุดหมายปลายทาง สมองของชินอิชิโรสับสนอลหม่านไปด้วยความรู้สึกหลายหลากระคนความตื่นเต้นที่ไม่สามารถระงับไว้ได้ แม้ระหว่างอยู่ในรถไฟไต่เขา หรืออยู่ในรถม้าจากสถานีรถไฟมายังโรงแรมที่พัก ยิ่งกว่านั้นยังเริ่มปวดหัวตุ๊บ ๆ ไม่รู้ว่าเกิดจากแรงกระเทือนเมื่อตอนรถชนภูเขาหรือไม่

เสียงครางด้วยความเจ็บปวดของชายหนุ่ม ความทุกข์ทรมานเมื่ออาเจียนออกมาเป็นเลือดสด ๆ ใบหน้าที่ซีดขาวลงไปทุกทีเมื่อใกล้วาระสุดท้ายของชีวิตยังติดหูติดตา ให้เห็นเป็นภาพหลอนและเสียงแว่วให้หวาดหวั่นอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เหตุการณ์นองเลือดที่เพิ่งประสบมาสด ๆ ร้อน ๆ ทำให้ความสุขสดชื่นที่ชินอิชิโรหวังเอาไว้เมื่อได้พบกับชิซุโกะหลังจากที่จากกันไปชั่วระยะหนึ่งนั้นมลายหายไปสิ้น เขานึกวาดภาพใบหน้างดงามน่าเอ็นดูของ ชิซุโกะภรรยาอันเป็นที่รัก แต่ใบหน้านั้นกลับกลายเป็นใบหน้าซีดขาวไร้ชีวิตของอะโอะกิ และพอเรียกชื่อ “ชิซุโกะ” “ชิซุโกะ” เพื่อกระตุ้นความรู้สึกของตนเองให้ชัดเจนขึ้น แต่เสียงเรียกนั้นกลับกลายเป็นเสียงของอะโอะกิที่เพ้อเรียก “รุริโกะ” “รุริโกะ” ก่อนสิ้นใจ

รถม้าแล่นไปตามทางผ่านทุ่งนามืดสลัวและพอเลี้ยวไปทางซ้าย ก็เริ่มเห็นแสงไฟจากเมืองอนเซ็นเชิงภูเขา
โรงแรมแบบญี่ปุ่นที่ยุงะวะระอนเซ็น
ชินอิชิโรพยายามระงับจิตใจที่กำลังปั่นป่วนให้สงบลงก่อนพบภรรยาที่รักของเขา พยายามทำสีหน้าให้ราบเรียบเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้ภรรยาพลอยตื่นตะหนกตามไปด้วย ทั้งยังตั้งใจไว้ว่าถ้าเป็นไปได้ก็จะไม่เล่าถึงวาระสุดท้ายของชายหนุ่มที่อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เพราะคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นร้ายแรงและเสียดแทงใจเกินกว่าหัวใจอันอ่อนโยนของชิซุโกะจะรับได้

รถม้าวิ่งเลียบฝั่งซ้ายของแม่น้ำฟุจิกิและข้ามสะพานไม้ที่เพิ่งสร้างใหม่มาจอดที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรมฮะชิทะโมะโตะ-โนะ-ยุ

หญิงรับใช้ประจำตัวของชิซุโกะซึ่งออกมาต้อนรับพร้อมกับพนักงานโรงแรมรายงานว่า

“คุณนายคอยอยู่เจ้าค่ะ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกันที่จูงใจให้ชินอิชิโรมองเข้าไปข้างในและเห็นใครคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็น ชิซุโกะภริยาของเขายืนอยู่กลางบันไดขึ้นไปชั้นสองซึ่งอยู่สุดห้องโถงทางเข้าโรงแรม ทำท่าเหมือนกำลังลังเลว่าจะลงไปรับดีหรือไม่ดีเพราะดูออกจะน่าเกลียดที่มาทำอะไรออกนอกหน้าเช่นนั้น แต่พอเห็นหน้าสามีที่รักเธอก็ยิ้มออกมาได้ แล้วรีบลงบันไดมาด้วยท่าทีของกุลสตรีที่พยายามระงับใจเอาไว้ไม่ให้แสดงความดีใจออกมาเกินควร

“มาแล้วหรือคะคุณ ทำไมช้าจังเลย” ชิซุโกะทำหน้าไม่พอใจนิด ๆ แต่ก็ถูกความปิติยินดีบดบังไว้จนมิด

“ขอโทษนะที่มาช้า”

ชินอิชิโรพูดเป็นเชิงเห็นใจที่ต้องรอแล้วเดินนำหน้าเข้าไปในห้องพักของภรรยา

พอดีนึกขึ้นได้ว่าสมุดบันทึกที่ชายหนุ่มผู้ตายสั่งเสียเอาไว้ยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุม สมุดเล่มนี้เขาคิดจะฉีกทิ้งเสียหลายครั้งระหว่างเดินจากที่เกิดเหตุมายังมะนะสึรุ แต่ก็ไม่อาจทำได้ต่อหน้าตำรวจรับใช้ที่ทำหน้าที่นำทางให้ ความอึดอัดจากการที่ทำอะไรไม่ได้ดังใจทำให้หน้าเขาดูเครียด

“คุณเป็นอะไรไปหรือคะ ท่าทางไม่ค่อยสบายเลย เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ใส่กิโมโนอยู่กับบ้านชุดนี้สบายดีกว่า หรือถ้าหนาวดิฉันจะหาชุดที่ผ้าหนากว่าให้เอาไหมคะ”

ชิซุโกะกระวีกระวาดช่วยสามีเปลี่ยนเสื้อผ้า รับเสื้อนอกที่ชินอิชิโรถอดออกมาวางไว้แล้วช่วยเขาถอดเสื้อเชิ้ต

ขณะที่กำลังหยิบเสื้อนอกที่วางไว้ขึ้นมาแขวนกับไม้แขวนเสื้อ ชิซุโกะก็อุทานเสียงหลง

“ต๊าย”

“อะไรรึ” ชินอิชิโรหันมาถามด้วยความตกใจ

“นี่มันอะไรกัน เลือดนี่คะคุณ”

ชิซุโกะหน้าซีด เธอยกแขนเสื้อตรงที่กลัดกระดุมข้อมือขึ้นไปส่องดูจนชิดหลอดไฟ มีเลือดซึมเป็นจุดไม่ใหญ่นักอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ด้วย

“นึกแล้วเชียวว่าคงต้องมีติดมา”

ถึงจะพยายามให้ฟังดูว่าไม่มีอะไรมากแต่เสียงของเขาก็ยังสั่นน้อย ๆ

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ เกิดอะไรขึ้น” ชิซุโกะถามเสียงแหลมตามประสาคนขี้กลัวเมื่อเห็นเลือด

ชินอิชิโรตอบเสียงเรียบ ๆ พยายามหาถ้อยคำมากลบเกลื่อนเพื่อไม่ให้ภริยาตระหนกตกใจจนเกินไป

“ไม่มีอะไรหรอก แค่รถยนต์ที่นั่งมาวิ่งไปชนภูเขา และนักศึกษาที่นั่งมาด้วยได้รับบาดเจ็บ ก็เท่านั้น”

“แล้วคุณไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนเลยหรือคะ”

“โชคดีที่ผมไม่เป็นอะไร ไม่มีบาดแผลแม้แต่รอยขีดข่วน”

“แล้วนักศึกษาที่บาดเจ็บล่ะคะ”

“อาการสาหัสนะ อาจไม่รอด คือมันเป็นอุบัติเหตุน่ะ”

ชิซุโกะตกตะลึงพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง แค่วาดภาพเหตุการณ์เสี่ยงอันตรายที่สามีประสบมาเท่านั้นก็ทำให้เธอตกใจมากเหลือเกินแล้ว

ชินอิชิโรเริ่มหวั่นวิตกขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคิดขึ้นมาว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ไม่เพียงแต่คร่าชีวิตของอะโอะกินักศึกษาหนุ่มไปอย่างน่าเวทนาเท่านั้น ชีวิตอันสงบสุขของเขาและภรรยาจะต้องพลอยได้รับผลกระทบให้มีอันเป็นต้องสับสนวุ่นวายตามไปด้วย ทั้งยังรู้สึกด้วยว่าการรับเป็นธุระเรื่องนาฬิกากับสมุดบันทึกตามคำสั่งเสียของผู้ตายนั้นเท่ากับเป็นการสืบทอดดวงชะตาอันแสนอาภัพของอะโอะกิซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ชินอิชิโรได้พบกับชิซุโกะสมหวังแล้วก็จริง แต่บรรยากาศของการพบกันครั้งนี้ไม่เอื้อให้เขาเอ่ยคำหวานกับภรรยาที่รักเลยแม้แต่คำเดียว

สามีกับภรรยาหน้าซีดขาวด้วยกันทั้งคู่นั่งมองตากันเงียบ ๆ ระหว่างนั้นชินอิชิโรเริ่มรู้สึกขยะแขยงเหมือนกับว่านาฬิกาในกระเป๋าเสื้อคลุมเรือนนั้นเป็นสิ่งอัปมงคลที่ถูกปลุกเสกด้วยมนต์ดำ
ฌาปนสถานอะโอะยะมะที่มีชื่อเสียงของกรุงโตเกียว
2

หนังสือพิมพ์ในโตเกียวแทบทุกฉบับประโคมข่าวอะโอะกิ จุน ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝันกันอย่างครึกโครม พิสูจน์ให้เห็นว่าชายหนุ่มเป็นลูกชายคนใหญ่คนโตระดับสมาชิกสภาขุนนางจริงอย่างที่ ชินอิชิโรคิดและให้บอกกับตำรวจที่ที่เกิดเหตุ เขาโล่งใจที่ไม่มีหนังสือพิมพ์สักฉบับเดียวเอ่ยถึงคนที่นั่งรถไปด้วยกันกับผู้ตาย

ครอบครัวอะโอะกิจัดงานศพทายาทของตระกูลอย่างสมเกียรติที่ฌาปนสถานอะโอะยะมะ ในวันรุ่งขึ้นจากที่ชินอิชิโรกับชิซุโกะภรรยาของเขาเดินทางกลับถึงโตเกียว

ชินอิชิโรไม่คิดแม้แต่นิดเดียวที่จะออกไปแสดงตัวว่าเขาเป็นคนที่ร่วมเป็นร่วมตายอยู่ในอุบัติเหตุร้ายแรงและเป็นคนเดียวที่อยู่ดูใจชายหนุ่มผู้เป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ผู้นี้จนสิ้นลมหายใจไปบนทางเปลี่ยวริมหน้าผามืดมิดอย่างไร้ญาติขาดมิตร แต่...แม้วันคืนจะผ่านพ้นไปชินอิชิโรก็ไม่อาจสลัดความสะเทือนใจที่เต็มตื้นขึ้นมาเมื่อชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายสิ้นใจตายอยู่ในอ้อมแขน ความรู้สึกที่เขามีต่ออะโอะกิไม่ใช่อย่างที่มีต่อคนแปลกหน้า แต่เป็นความรู้สึกเหมือนที่มีกับเพื่อนคนหนึ่งที่คบกันมาเป็นสิบ ๆ ปี พอคิดถึงหน้าอะโอะกิขึ้นมาทีไรอกใจของชินอิชิโรก็สะท้านสะเทือนจนน้ำตาซึมทุกครั้งไป

ชินอิชิโรไม่เคยรู้จักหรือมีความข้องเกี่ยวกับญาติพี่น้องของผู้ตายมาก่อน แต่ก็รู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างที่เหมือนสายใยแน่นเหนียวที่ผูกพันเขากับชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นเอาไว้ ใจเขาจึงมุ่งมั่นที่จะไปร่วมในงานฌาปนกิจอันสูงเกียรติครั้งนี้ให้ได้

อีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยให้เขาตัดสินใจได้ว่าต้องไปงานศพอะโอะกิให้ได้โดยไม่ลังเล ก็คือความแน่ใจที่ว่าเขาต้องได้พบทั้งพี่สาวน้องสาว ผู้หญิงที่ชื่อรุริโกะ เจ้าของนาฬิกาที่ชายหนุ่มฝากไว้ แม้จนกระทั่งคู่รัก (ถ้ามี) ในงาน ชินอิชิโรแน่ใจว่าจะหาตัวเจ้าของนาฬิกาที่อยู่ในบรรดาผู้หญิงที่เป็นญาติสนิทมิตรสหายของอะโอะกิได้ไม่ยาก คิดว่าอย่างน้อยก็จะได้รู้สักทีว่าผู้หญิงที่ชื่อรุริโกะที่อะโอะกิเพ้อหาก่อนสิ้นใจคือใคร

วันนั้นเป็นวันอากาศแจ่มใสวันหนึ่งในฤดูร้อน เมฆขาวกระจายตัวบางเบาสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เปิดกว้างรับแสงแดดสาดส่องลงมาร้อนระอุไปทั่ว ฉาบฉายเงาของผู้มาร่วมพิธีกลุ่มใหญ่ที่ยืนสงบนิ่งเหงื่อซึมชื้นไปทั้งตัวลงบนพื้นดินบริเวณสุสาน

ดูเหมือนว่าผู้เข้าร่วมพิธีส่วนใหญ่ยังไม่หายตื่นตระหนกกับการเสียชีวิตอย่างกะทันหันทั้ง ๆ ที่ยังหนุ่มแน่นของอะโอะกิ จุนครั้งนี้ ความที่บิดาของเขาเป็นผู้มีเกียรติในวงสังคมจึงมีคนใหญ่คนโตมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ชินอิชิโรไปถึงก่อนบ่ายสามโมงซึ่งเป็นเวลาตามกำหนดการ แต่ก็มีรถยนต์ราว 10 คันและรถม้าเกือบร้อยคันจอดเรียงรายอยู่แล้วตามแนวถนนกว้างที่ตัดผ่านหน้าฌาปนสถานอะโอะยะมะ ในบรรดาแขกผู้ใหญ่ที่ชินอิชิโรเห็นทยอยกันเข้ามานั้นล้วนเป็นผู้นำทางการเมืองและธุรกิจ คนที่เห็นหน้าแล้วรู้ทันทีว่าเป็นใครเพราะเคยเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยครั้งมากก็คือ ฯพณฯ T ประธานสภาขุนนาง นายพล S ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ฯพณฯ N รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมร่างใหญ่ยักษ์ คาบซิการ์ไว้ที่มุมปากพลางหัวเราะเสียงดังวางอำนาจอย่างไม่คำนึงถึงกาลเทศะกับคู่สนทนาซึ่งก็คือท่าน G ขุนนางผู้สูงศักดิ์ซึ่งลือกันว่าเป็นหลังจากผ่านการเดินทางมาอย่างช่ำชองในเมืองนอกหลังสงคราม (สงครามโลกครั้งที่ 1) ก็ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการมองทิศทางการเคลื่อนไหวของเมฆและลมในแวดวงธุรกิจและการเมือง รัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายใน รัฐมนตรีกลาโหมก็มาด้วย ส่วนพวกนักธุรกิจก็มีบุคคลระดับผู้นำห้าหกคนที่คุ้นหน้า แต่เมื่อมองไปทั่งงานแล้วไม่มีใครที่ชินอิชิโรรู้จักพอที่จะเข้าไปทักทายได้สักคน เขายื่นนามบัตรให้กับคนรับรองแขกแล้วเลี่ยงไปยืนรอการเริ่มพิธีอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องรับรองแขก
บรรยากาศพิธีศพของคนใหญ่คนโตช่วงก่อนสงคราม
ไม่มีใครสนใจที่จะเข้ามาพูดจาไต่ถามเขา ตอนเดินเข้าประตูห้องรับรองคนที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกก็แค่กล่าวขอบคุณเขาตามประเพณี ทั้ง ๆ ที่เพิ่งโค้งคำนับผู้มีเกียรติคนที่ผ่านเข้าไปก่อนหน้าด้วยความเคารพนับถืออย่างสูงสุด

ถึงจะไม่มีใครสนใจเขาแต่ชินอิชิโรก็มีความมั่นใจในความสำคัญของตนเอง เพราะในบรรดาผู้คนมากหน้าหลายตาเกือบหนึ่งพันคนที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ เขาคนเดียวเท่านั้นมิใช่หรือที่เฝ้าอยู่เคียงข้างอะโอะกิ จุน จนสิ้นลมหายใจในวินาทีสุดท้าย เขาเป็นคนเดียวไม่ใช่หรือที่ได้ดูใจชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายก่อนสิ้นใจไปในความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวและมืดมิด เขาเป็นคนเดียวไม่ใช่หรือที่ได้รับเชื่อถือไว้วางใจจากชายหนุ่มผู้ตาย ถ้าวิญญาณมีจริงอะโอะกิจะปลื้มปิติเพียงไรที่เขามาร่วมพิธีศพด้วยใจ เป็นการมาร่วมพิธีอย่างมีความหมายอย่างแท้จริง ไม่เหมือนพวกรัฐมนตรี นักธุรกิจมีชื่อและเจ้าใหญ่นายโตทั้งหลายที่มากันตามธรรมเนียม ความคิดเช่นนั้นทำให้ชินอิชิโรรู้สึกอิ่มเอิบใจนัก และขณะที่กำลังมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังสนทนาพาทีกันด้วยความเจนสังคมนั้นเอง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับสะท้อนแทรกเสียงทักทายของผู้คนในห้องที่เริ่มซาลงไปบ้าง

รถม้าบรรทุกหีบศพพร้อมญาติพี่น้องที่เฝ้าอยู่รอบข้าง กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ทางเข้าฌาปนสถานอะโอะยะมะ

ชินอิชิโรจะได้พบเจ้าของนาฬิกาที่อะโอะกิผู้ตายฝากมาคืนในงานพิธีศพวันนี้ หรืออย่างน้อยจะได้พบเจ้าของชื่อ “รุริโกะ” ที่ชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายเพ้อออกมาเป็นคำสุดท้ายอย่างที่เขาแน่ใจหรือไม่ เชิญติดตามตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น