ผู้นำญี่ปุ่นประกาศความสำเร็จหลังการพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งผู้นำสหรัฐได้ประกาศสนับสนุนญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ในการรับมือกับเกาหลีเหนือ แต่ท่าที “เอาแน่เอานอนไม่ได้” ของทรัมป์ ทำให้การพบปะครั้งนี้อาจเป็นเพียงฉากละครประโลมโลกเท่านั้น
คำประกาศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ที่ว่า “สหรัฐอเมริกายืนอยู่เบื้องหลังญี่ปุ่น ในฐานะพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ 100%” อาจทำให้ผู้นำญี่ปุ่นดีใจจนเนื้อเต้น เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ที่เคยโจมตีญี่ปุ่นว่าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อเอาเปรียบสหรัฐ, ดุลการค้าที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งเรียกร้องให้ญี่ปุ่นรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของกองทัพสหรัฐประจำการในญี่ปุ่น ทั้งหมดล้วนไม่ปรากฏในการหารือกันระหว่าง 2 ผู้นำให้ขุ่นข้องหมองใจ
นายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะ ได้โพสต์ข้อความขอบคุณทรัมป์ผ่านเฟชบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า “ขอขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์สำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ทั้งอาหารค่ำและเล่นกอล์ฟร่วมกัน เราได้ใช้เวลาที่มากกว่าในการหารือระหว่างผู้นำตามปกติ ภายใต้บรรยากาศผ่อนคลาย ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทั้งในเรื่องของภูมิภาคและโลก
ด้วยมิตรภาพอันลึกซึ้งและความเข้าใจร่วมกันในสถานการณ์โลก ผมคาดหวังที่จะร่วมทำงานกับประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อสันติภาพและความรุ่งเรืองของโลกในการประชุมระหว่างประเทศทั้งจี20 และจี7”
ความสำเร็จที่ชัดเจนที่ญี่ปุ่นได้รับในครั้งนี้ คือ แถลงการณ์ร่วมประณามการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ หากแต่ประเด็นหลักๆทั้งในเรื่องความสัมพันธ์กับจีน และการค้าระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐ แทบจะไม่เห็นผลเป็นชิ้นเป็นอัน
ก่อนหน้าที่นายกฯญี่ปุ้นจะเดินทางถึงสหรัฐ นายทรัมป์ได้ต่อโทรศัพท์คุยกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน แสดงจุดยืนสนับสนุนนโยบาย “จีนเดียว” กลืนน้ำลายตัวเองที่เคยบอกว่าสหรัฐไม่จำเป็นต้องยึดถือนโยบายนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ทรัมป์ใช้ท่าทีต่อต้านจีนเพื่อเรียกคะแนนนิยมเท่านั้น แต่เมื่อคิดสะระตะก็รู้ดีว่า สหรัฐไม่อาจคัดง้างกับจีนได้เลย
ส่วนเรื่องเศรษฐกิจก็ถูกยกยอดไปในในการหารือระหว่างนายทะโร อะโซ รองนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และนายไมก์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะจัดขึ้นเมื่อไร?
แต่ที่แน่นอน คือ รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ยึดแนวทาง "อเมริกามาก่อน" และให้ความสำคัญกับการสร้างงานในประเทศเป็นอันดับต้นๆ สหรัฐจะหยิบยกข้อเรียกร้องที่แข็งกร้าวในการเจรจาการค้าระดับทวิภาคีกับญี่ปุ่น เช่น การจำกัดการส่งออกไปยังสหรัฐ ทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นจะต้องเผชิญงานหนักในการหาจุดประนีประนอมที่สหรัฐยอมรับได้
นายกฯอะเบะยืนยันตลอดว่าจะพยายามชี้แจงให้ประธานาธิบดีทรัมป์เห็นความสำคัญของการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกหรือ TPP ทั้งๆที่ทรัมป์ลงนามถอนตัวไปแล้ว
สาเหตุก็คือ ญี่ปุ่นรู้ดีว่า TPP ทำให้ญี่ปุ่นได้เปรียบมาก เพราะสหรัฐยอมลดภาษีนำเข้ามากกว่าและหลากหลายกว่าฝ่ายญี่ปุ่น ทำให้สินค้าญี่ปุ่นมีโอกาสเข้าสู่สหรัฐมากกว่าสินค้าอเมริกาจะเข้ามาขายที่ญี่ปุ่น
แต่รัฐบาลของทรัมป์ต้องการเจรจาทวิภาคีกับญี่ปุ่น และตั้งธงไว้แล้วว่ามีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่น ไม่ใช่ข้อตกลงการค้าเสรีร่วมกัน โดยอาจบังคับให้ญี่ปุ่นเพิ่มโควตานำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้น หรือกดดันให้ญี่ปุ่นไม่สามารถบริหารค่าเงินเยนให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองได้
รัฐบาลของนายอะเบะอ้างมาตลอดว่า จำเป็นต้องพึ่งพาสหรัฐอย่างขาดไม่ได้ แต่หากต้องยอมรับข้อเสนอจากฝ่ายอเมริกาแบบ “ได้หมดถ้าสดชื่น” แน่ใจหรือว่าจะไม่ซ้ำเติมให้สถานะทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่แพ้จีน และกำลังถูกเกาหลีใต้ไล่กวดอยู่ทุกวันนี้ ไม่ถอยหลังลงคลองไปอีก.