xs
xsm
sm
md
lg

คุณนายไข่มุก(ตอนที่ 1 ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน* (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"

ตอนที่ 1. อุบัติเหตุ (ต่อ)

5.

ทั้งสองนั่งเงียบ ๆ ไปจนถึงตัวเมืองโอะดะวะระ ชินอิชิโรรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้อยากคุยกับเพื่อนเดินทางคนนี้ แต่เห็นเขานั่งนิ่งเงียบเหมือนกำลังอยู่ในภวังค์ล้ำลึก จึงหาโอกาสทำดังใจคิดไม่ได้ ยิ่งมาอยู่ในระยะประชิดห่างกันไม่ถึงหนึ่งฟุตอย่างนี้ชินอิชิโรยิ่งเห็นความละเอียดเนียนของผิวผู้ดีชัดยิ่งขึ้น ทว่าไม่รู้ว่าเหตุผลกลใดใบหน้านั้นจึงดูซีดเซียว ดวงตาเศร้าซึมโรยแรงสะท้อนความทุกข์ระทมที่ซ่อนอยู่ในใจ

การนั่งรถมาด้วยกันเงียบ ๆ อย่างนี้ชินอิชิโรชักรู้สึกอึดอัด จึงตกลงใจชวนคุยแต่ก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่พูดอะไรที่เป็นการกวนใจคู่สนทนาของเขาให้ขุ่นมัว

“คุณมากับรถไฟขบวนเมื่อกี้หรือครับ”

ชินอิชิโรเอ่ยขึ้นในที่สุด ด้วยคำถามที่คิดว่าเหมาะสำหรับการเริ่มต้นการสนทนา แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“ไม่ใช่ครับ ผมมาขบวนก่อนหน้านั้น” คำตอบของหนุ่มนักศึกษาผิดจากที่เขาคิดไว้

“อ้าวไม่ได้มาจากโตเกียวหรอกหรือครับ”

“เปล่าครับ ผมกลับจากมิโฮะ”

พอชวนคุยก็รู้สึกว่าหนุ่มนักศึกษาเต็มอกเต็มใจตอบ แม้ลักษณะการพูดออกจะเป็นทางการไปสักหน่อย

“อ้อมิโฮะ ไปเที่ยวมิโฮะ-โนะ-มะสึบะระมาหรือครับ”

“ใช่ครับ ผมพักอยู่ที่นั่นอาทิตย์หนึ่ง รู้สึกเบื่อก็เลยกลับ”

“ไปพักฟื้นหรือครับ”

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ แค่รู้สึกศีรษะมึน ๆ อยากพักผ่อนเท่านั้น” สีหน้าของผู้พูดหมองลงไปอีก

“เครียดหรือครับ”

“ไม่ใช่หรอกครับ” หนุ่มนักศึกษาเม้มปาก คงมีอะไรที่เขาไม่อาจอธิบายง่าย ๆ ได้ด้วยคำพูด

“อย่างนี้ก็ต้องหยุดเรียนยาวเลยซิครับ”

“ครับ ผมไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยเดือนหนึ่งแล้ว”

“ความจริงคนเรียนสายศิลป์เข้าเรียนไม่เข้าเรียนก็เหมือนกัน” ชินอิชิโรรู้เพราะเมื่อครู่ก่อนเขาเหลือบเห็นตัวอักษร L ที่คอเสื้อ
รถไฟไต่เขาฮาโกเนะ
หนุ่มนักศึกษาเงียบไปอีก อาจเป็นเพราะรู้สึกไม่พอใจการถามซอกแซกของคู่สนทนา ส่วนชินอิชิโรที่จบกฎหมายมาจากสถาบันเดียวกันและสนิทสนมกับผู้คนในวงการวรรณศิลป์มาตั้งแต่เด็ก พอมาเจอคนเรียนสายศิลป์เข้าการสนทนาก็เลยออกมาในแนวนี้

“ขอโทษนะครับ คุณจบมอปลายที่ไหน” ชินอิชิโรซัก

“โตเกียวครับ” หนุ่มนักศึกษาตอบโดยไม่หันหน้ามา

“ผมก็เหมือนกัน แต่ไม่คุ้นหน้าเลย จบปีไหนหรือครับ”

คำถามของชินอิชิโรดูเหมือนจะจับใจคู่สนทนาของเขาที่กำลังอ่อนไหวได้ถูกจังหวะ ความสนิทชิดเชื้ออย่างที่ชาวหอมุโคงะโอะกะเท่านั้นที่มีให้กันและกันในช่วงวัยหวาน เอ่อขึ้นมาอบอุ่นอยู่ในหัวใจทันควัน

“จริงหรือครับ ผมจบมอปลายเมื่อสองปีที่แล้ว คุณล่ะครับ”

หนุ่มนักศึกษายิ้มน้อย ๆ ให้เห็นเป็นครั้งแรก แม้จะดูเศร้าแต่ก็เป็นยิ้ม

“อย่างนั้นคุณกับผมก็สวนกันตอนปีสุดท้ายพอดี ไม่แปลกที่ผมจะจำหน้าคุณไม่ได้”

ชินอิชิโรบอกพลางหยิบนามบัตรส่งให้คู่สนทนาแผ่นหนึ่ง

“คุณอะสึมิ ขอโทษนะครับเผอิญไม่มีนามบัตร ผมจุน อะโอะกิ ครับ”
หนุ่มนักศึกษาบอกพลางจ้องนามบัตรของชินอิชิโรไม่วางตา

6.

พอรู้ชื่อกันและกัน เพื่อนร่วมเดินทางทั้งสองก็รู้สึกสนิทสนมกันขึ้นมาโดยเร็วราวกับคนละคนกับเมื่อครู่ก่อน

อะโอะกิดูเผิน ๆ เป็นคนขี้อายแต่พอเอาเข้าจริงเขากลับเข้ากับคนง่ายมาก ตอนแรกเขานั่งหน้าตรงทำเย็นชาไม่สนใจแม้จะหันไปมองชินอิชิโรซึ่งสำหรับเขาไม่มีความสำคัญมากไปกว่าการเป็นผู้ร่วมทางคนหนึ่ง แต่พอรู้ว่าจบจากโรงเรียนเดียวกันเท่านั้นเอง เขาก็แสดงธาตุแท้ของความเป็นคนจิตใจอ่อนโยนและช่างออดอ้อนออกมาด้วยการวางตัวสนิทกับชินอิชิโรซึ่งเป็นรุ่นพี่อย่างรวดเร็ว

“ผมออกจากโตเกียวมาตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภา เดินทางไปเรื่อย ๆ แบบค่ำไหนนอนนั่นมาได้เดือนหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรที่ไหนช่วยให้จิตใจผมสงบลงได้”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กกำลังฟ้องผู้ใหญ่เมื่อไม่ได้ดังใจ ชินอิชิโรฟังแล้วคิดว่าสาเหตุที่ทำให้จิตใจของหนุ่มคนนี้หวั่นไหวนั้นคงไม่พ้นปัญหาวัยรุ่น คือถ้าไม่ใช่เพราะเกิดความกังขาเกี่ยวกับโลกและชีวิต ก็เป็นเรื่องความรัก แต่ยังนึกไม่ออกว่าควรให้คำแนะนำอย่างไรดี

“ผมว่าตอนนี้คุณกลับโตเกียวก่อนดีไหม ผมเองเวลามีเรื่องวุ่นวายใจส่วนใหญ่ก็จะออกเดินทางไปสงบสติอารมณ์ตามทะเลบ้างภูเขาบ้าง แต่ที่ไหนได้พอไปอยู่คนเดียวหลายวันแทนที่ใจจะสงบกลับมีความเหงาซ้ำเติมเข้ามาอีกจนทนไม่ไหวต้องกลับไปหาชีวิตในเมืองใหญ่ตามเดิม ในความคิดของผมความสับสนวุ่นวายของชีวิตในโตเกียวเป็นยาขนานเดียวที่จะบำบัดอาการพวกนั้นได้”
ถนนขึ้นไปที่สถานีรถไต่เขาฮาโกเนะ
ชินอิชิโรพูดพลางนึกย้อนไปถึงประสบการณ์เช่นนั้นสองสามครั้งของตนเองในอดีต

“แต่ผมไม่เหมือนคุณ คือทนอยู่โตเกียวไม่ได้เลย และไม่กล้ากลับไปด้วย”

พูดจบอะโอะกิก็เงียบไปอีก ท่าทางบาดแผลในใจคงจะฉกาจฉกรรจ์ไม่น้อย ชินอิชิโรเห็นแล้วอดเวทนาไม่ได้

รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีปรากฏว่ารถแล่นผ่านโอะดะวะระมาแล้วและกำลังเร่งความเร็วเลียบทางรถไฟไต่เขาอยู่บนหน้าผาสูงชันมองลงไปเห็นฟองคลื่นซัดสาดโขดหินเป็นฟองขาวสะท้อนแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำ

ถนนแคบมาก ขวามือคือภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบหนา ซ้ายมือเป็นเนินลาดชันมองลงไปเห็นท้องทะเล รถแล่นผ่านบริเวณหน้าผาที่ไม่สูงชันนักพอที่ชาวบ้านจะขึ้นมาทำไร่ส้มได้ ดอกส้มกำลังเริ่มผลิบานโชยกลิ่นหอมอ่อน ๆ เข้ามาในรถที่กำลังตะบึงไปข้างหน้า

“ถ้าถึงอะตะมิได้ก่อนค่ำก็จะดี” ชินอิชิโรเอ่ยทำลายความเงียบ

“ผมกำลังคิดว่าถ้าช้านักก็จะค้างที่ยุงะวะระสักคืนนึง ความจริงผมไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องไปทำที่อะตะมิหรอกครับ”

“งั้นก็ดีน่ะซี คืนนี้พักที่ยุงะวะระเลยนะ จะได้คุยกันให้สนุกสมกับที่มารู้จักกันเข้าโดยบังเอิญอย่างนี้”

“คุณจะพักอยู่หลายวันหรือครับ” อะโอะกิถาม

“ไม่หรอก ผมมารับภรรยาน่ะ”

“ภรรยาหรือครับ” ผู้พูดดูหน้าเศร้าไปเมื่อพูดคำนี้ออกมา

คนขับรถพารถของเขาแล่นฉิวไปข้างหน้า แม้ทางจะวิบากไม่น้อยแต่คนขับรถซึ่งดูเหมือนจะชำนาญทางมากเพราะบอกว่าวันหนึ่ง ๆ ขับขึ้นขับลงหลายเที่ยว บังคับพวงมาลัยหักเลี้ยวโค้งไปตามไหล่ด้วยความเร็วถึงใจโโยไม่ต้องกังวลว่าจะมีรถสวนไปสวนมาเหมือนบนถนนในโตเกียว การขับอย่างค่อนข้างจะบ้าบิ่นเช่นนี้ทำให้บางช่วงตอนผู้โดยสารทั้งสองต้องกลั้นใจนั่งตัวแข็งด้วยความหวาดเสียว
บรรยากาศในรถเสบียงของรถไฟสมัยต้นโชวะ ช่วงก่อนสงคราม
“นั่นเสียงรถไฟไต่เขาละมัง”

อะโอะกิเปรยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแผ่นดินสะเทือนแทรกเข้ามาในเสียงกึงกังของรถยนต์ เสียงนั้นสะท้อนขึ้นไปบนภูเขาและลงไปยังทะเลขณะรถที่ทั้งสองโดยสารมากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางของเสียงนั้น

7.

เสียงสะท้านแผ่นดินของรถไฟไต่เขาดังใกล้เข้ามาทุกที และพอรถเลี้ยวโค้งพ้นชะโงกเขาทุกคนก็เห็นรถไฟสีดำสนิทอยู่ตรงหน้า กลุ่มควันดำที่พวยพุ่งไม่ขาดสายและลักษณะการเคลื่อนไหวเชื่องช้าดูเหมือนสัตว์ประหลาดอะไรสักตัวที่กำลังอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเต็มทนเป็นที่น่าเวทนา

พอเห็นยานพาหนะโบราณล้าสมัยขบวนนั้นเข้าคนขับรถก็ทำท่าเย้ยหยันเหมือนกระต่ายทำกับเต่าในนิทานโบราณ เขาไม่ยอมชลอความเร็วเพื่อสวนกับรถไฟ แต่กลับเร่งเครื่องพารถวิ่งตะบึงไปบนทางระหว่างภูเขาด้านขวามือกับทางรถไฟไต่เขาหวังที่จะสวนผ่านขบวนรถไฟโดยเร็ว โดยไม่รู้ว่าข้างหน้านั้นเป็นช่วงที่ทางรถไฟอยู่ชิดภูเขาจนไม่มีที่สำหรับรถแล่นผ่าน มารู้สึกตัวว่าตนกะพลาดไปถนัดใจก็เมื่อรถวิ่งเข้าไปเผชิญหน้ากับรถไฟไต่เขาในระยะประชิดห่างไม่ถึงสี่เมตรเสียแล้ว

“ไอ้บ้า อันตรายนะเว้ย ระวังหน่อย”

เสียงตวาดลั่นของคนขับรถไฟเสียดแทงแก้วหูของคนขับที่กำลังละล้าละลังทำให้ตื่นตระหนกขึ้นไปอีก แต่ในระยะเผาขนนั้นเองสันชาติญานของความอยู่รอดบวกกับความชำนาญระดับมืออาชีพทำให้เขาได้สติหักพวงมาลัยเบี่ยงรถหลบไปทางซ้ายทันควันรอดจากการพุ่งเข้าชนรถไฟมาได้อย่างเฉียดฉิว ชินอิชิโรถอนใจยังไม่ทันโล่งอกดี พริบตาต่อมารถที่แล่นมาด้วยความเร็วและถูกเหวี่ยงไปทางซ้ายด้วยกำลังแรงอย่างทันทีทันใดนั้นพุ่งออกไปทางหน้าผาที่มีแนวต้นหญ้าไผ่กว้างประมาณเมตรเดียวก่อนถึงริมสุดของหน้าผาที่สูงประมาณ 300 เมตรจากทะเลเบื้องล่าง

คนขับที่เพิ่งใจชื้นขึ้นมาจากอันตรายระลอกแรกถึงกับสติแตกเมื่อเผชิญกับอันตรายระลอกสอง เขาแผดเสียงตะโกนอะไรออกมาฟังไม่ได้ศัพท์เหมือนคนบ้า ขณะจับพวงมาลัยแน่นขยับตัวดิ้นไปมาอยู่บนที่นั่งคนขับ โชคยังดีที่การดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายของเขาได้ผล ตัวรถที่คนทั้งสามฝากชีวิตเอาไว้ถูกหักเลี้ยวกลับเข้ามาทันทีก่อนที่จะตกดิ่งจากหน้าผาลงไปในทะเล แล้วพุ่งเข้าชนแนวโขดหินของภูเขาที่อยู่ห่างออกไปทางขวาประมาณ 10 เมตรเสียงดังสนั่นด้วยแรงที่เหลืออยู่

ชินอิชิโรตกใจสุดขีดกับเสียงรถชนภูเขาและแรงกระแทกกระทั้นรุนแรงที่เหวี่ยงตัวเขาไปกระทบด้านซ้ายและขวาของตัวรถแคบ ๆ จนตาพร่าพรายสับสนเหมือนตกอยู่ท่ามกลางพายุใหญ่

ชายหนุ่มรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองกระเด็นไปนอนขดตัวงอเหมือนกุ้งอยู่ภายในพื้นที่แคบ ๆ ของตัวรถ ชินอิชิโรยันตัวลุกขึ้นมาอย่างลำบาก ยกมือขึ้นคลำตั้งแต่หัวถึงหน้าอกพอรู้ว่าไม่มีบาดแผลอะไรก็พยายามปรับสายตาที่ยังพร่ามัวให้คงที่แล้วมองไปยังที่นั่งข้าง ๆ

เขาพบร่างอะโอะกิ หนุ่มนักศึกษาอยู่ตรงนั้นแต่ลำตัวท่อนบนหลุดออกไปนอกประตูรถที่เปิดอ้าอยู่ครึ่ง ๆ

“คุณ...คุณ”

ชินอิชิโรส่งเสียงเรียกอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วพยายามดึงตัวอะโอะกิเข้ามาในรถ เสียงครางด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวทำให้ชินอิชิโรตัวเย็นยะเยือกเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น

“คุณ...คุณ”

คราวนี้เขาเรียกด้วยความตื่นตระหนกแต่ไม่มีคำตอบใด ๆ จากอะโอะกิ มีแต่เสียงครวญครางลึก ๆ อยู่ในลำคอบาดใจคนที่ได้ยิน

ชินอิชิโรพยายามรวมรวมแรงทั้งหมดอุ้มตัวหนุ่มอะโอะกิเข้ามาในรถ และพอเห็นหน้าเขาก็ต้องกลั้นหายใจเพราะใบหน้าคมสันของอะโอะกิซีกหนึ่งช้ำเป็นสีแดงปนม่วง และที่บาดใจเขายิ่งไปกว่านั้นก็คือเลือดที่ไหลรินจากมุมปากขวาลงมาที่คาง ยิ่งกว่านั้นยังเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เลือดจากริมฝีปาก แต่เป็นเลือดแดงเข้มซึ่งทะลักออกมาจากอวัยวะภายในแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น