รัฐบาลญี่ปุ่นยอมออกค่าใช้จ่ายทุกสิ่งทุกอย่างในการให้สหรัฐอเมริกาป้องกันประเทศ หากแต่พันธะที่ญี่ปุ่นมีต่อสหรัฐฯนั้นต้องแลกมาด้วยเงินมหาศาล รวมทั้งความขมขื่นของประชาชนในพื้นที่
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยประกาศว่าบรรดาชาติพันธมิตรต่างๆจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายมากขึ้น หากต้องการให้สหรัฐฯช่วยเหลือปกป้องประเทศ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นกังวลอย่างมาก เนื่องจากญี่ปุ่นมีเพียง “กองกำลังป้องกันตนเอง” ซึ่งไม่ใช่กองทัพเต็มรูปแบบ ที่สามารถต่อกรกับภัยคุกคามจากจีนและเกาหลีเหนือได้
รัฐบาลญี่ปุ่นเบาใจลงเมื่อนายจิม แมตทิส รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ เดินทางเยือนญี่ปุ่นพร้อมยืนยันว่า สหรัฐยังคงมุ่งมั่นทำตามพันธกรณีด้านการป้องกันประเทศของญี่ปุ่น หากแต่พันธะที่ญี่ปุ่นมีต่อสหรัฐฯมากยิ่งกว่าประเทศใดๆ จนแทบไม่แตกต่างจาก "สัญญาทาส" ในยุคอาณานิคม
ฐานทัพของสหรัฐฯในญี่ปุ่นมีหลายพื้นที่ แต่ที่ใหญ่ที่สุด คือ หมู่เกาะโอกินาวะ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นต้องจ่ายเงินมากกว่าปีละ 760,000 ล้านเยนให้กับสหรัฐฯ ครอบคลุมทั้งค่าบำรุงรักษาสถานที่,ค่าแรงของเจ้าหน้าที่และลูกจ้างในฐานทัพ รวมทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส และค่าปรับอากาศด้วย
ภาระของญี่ปุ่นถือว่ามากที่สุดในบรรดาชาติพันธมิตรที่มีฐานทัพสหรัฐฯตั้งอยู่ เช่น เกาหลีใต้ไม่จ่ายค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ส่วนเยอรมนีและอิตาลีไม่จ่ายค่าใช้จ่ายใดๆเลย
จึงไม่แปลกที่นายจิม แมตทิส รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ จะบอกว่า “ญี่ปุ่นเป็นต้นแบบของการร่วมกันรับค่าใช้จ่าย และจะพิจารณานำไปใช้กับชาติพันธมิตรอื่น”
จำใจ “กินน้ำใต้ศอก” แม้ทหารสหรัฐฯย่ำยี
ถึงแม้ญี่ปุ่นจะออกค่าใช้จ่ายแทบทุกอย่างให้กับทหารและพนักงานในฐานทัพสหรัฐฯ แต่ทหารอเมริกันยังคงก่อเหตุทำร้าย,บุกรุก, ขับรถชนคนตาย รวมทั้งข่มขืนชาวเกาะโอกินาวะเป็นประจำ หลังเกิดเหตุแต่จะครั้ง ฝ่ายสหรัฐฯก็จะออกมา “ตีหน้าเศร้า” พร้อมออกมาตรการควบคุมห้ามออกนอกฐานทัพยามวิกาล แต่เมื่อ “ล้อมคอกหลังวัวหาย” ได้ไม่นาน ทหารสหรัฐฯก็กลับมาประพฤติดังเดิม
ความขัดแย้งเรื่องกองทัพสหรัฐฯ ยังกลายเป็นปมขัดแย้งปัญหาระหว่างชาวญี่ปุ่นด้วยกันเอง เพราะรัฐบาลท้องถิ่นและประชาชนในโอกินาวะเกือบทั้งหมดคัดค้านการตั้งฐานทัพสหรัฐฯ แต่รัฐบาลกลางอ้างว่า จำเป็นต้องพึ่งพาสหรัฐฯในการป้องกันประเทศ ชาวเมืองหลวงหลายคนยังระบุว่า ชาวโอกินาวะ “ไม่รักชาติ” ทั้งๆที่คนเมืองเหล่านี้ไม่เคยรับรู้ถึงความขมขื่นที่ชาวโอกินาวะต้องจำทน “เสียสละเพื่อประเทศ” มาหลายสิบปี
อเมริกาไม่ไว้ใจ หวังกดญี่ปุ่นเป็น “เบี้ยล่าง” ตลอดไป
สหรัฐอเมริกาอ้างมาตลอดว่า ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุด แต่ความจริงแล้วสหรัฐฯใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขในชัยชนะหลังสงครามโลกที่ไม่ให้ญี่ปุ่นมีกองทัพ เพื่อกดให้ญี่ปุ่นไม่มีศักยภาพในการต่อกรกับสหรัฐฯได้ และต้องพึ่งพาสหรัฐฯตลอดไป
ญี่ปุ่นไม่เพียงต้องออกค่าใช้จ่ายแทบทุกอย่างให้กับฝ่ายสหรัฐฯ แต่กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นยังมีหน้าที่อารักขาและปกป้องเรือรบของสหรัฐฯด้วย
สหรัฐฯไม่เพียงได้ “เงิน” จากญี่ปุ่น แต่ยังใช้แดนอาทิตย์อุทัยเป็นฐานสอดส่องความเป็นไปในเอเชีย โดยเฉพาะจีนและเกาหลีเหนือ การมีกองกำลังในญี่ปุ่นยังเป็นการรักษาอิทธิพลของอเมริกาในภูมิภาคเอเชียด้วย
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังต้องซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เช่น ระบบป้องกันขีปนาวุธต่างๆ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องหาหนทางเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 1 ของ GDP ทั้งๆที่เงินสวัสดิการต่างๆของชาวญี่ปุ่นก็แทบจะยากลำบากอยู่แล้ว
อเมริกาคือมหามิตรจริงหรือ?
สหรัฐฯเขียนเสือให้วัวกลัว ตอกย้ำว่าผู้นำโสมแดงเป็นเผด็จการที่คาดเดาไม่ได้ พร้อมจะกดปุ่มยิงจรวดนิวเคลียร์ถล่มเพื่อนบ้านได้ทุกเมื่อ แต่ความจริงแล้วนักยุทธศาสตร์ต่างรู้ดีว่า รัฐบาลโสมแดงไม่กล้าและไม่มีศักยภาพมากเพียงพอที่จะทำสงครามจริงๆ พฤติกรรมของเกาหลีเหนือเป็นเพียงการข่มขู่เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์มาค้ำจุนประเทศที่ยากจนของตัวเองเท่านั้น
เช่นเดียวกับ จีน ที่ผู้นำแดนมังกรประเมินว่า ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธกับญี่ปุ่นเลย การส่งเรือมาลาดตะเวนในน่านน้ำพื้นที่พิพาทก็เป็นเพียงแค่ “ตีปลาหน้าไซ”เท่านั้น
รัฐบาลญี่ปุ่นแก้ไขกฎมายความมั่นคงเพื่อเพิ่มศักยภาพของกองทัพ โดยอ้างว่าจีนและเกาหลีเหนือเป็น “ภัยคุกคาม” ทั้งๆที่คนที่จะคัดค้านเต็มตัวหากญี่ปุ่นต้องการพึ่งพาตัวเองด้านความมั่นคง ก็คือ สหรัฐอเมริกา
รัฐบาลญี่ปุ่นพึงศึกษาภาษิตโบราณที่ว่า เพื่อนบ้านดีมีค่ายิ่งกว่ามิตรแดนไกล ซ้ำร้ายคนที่คิดว่าเป็น “มิตร” นั้น แท้จริงอาจเป็น “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” ก็ได้.