บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน* (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?" เชิญติดตาม
ตอนที่ 1. อุบัติเหตุ
1.
จิตใจของชินอิชิโรเริ่มกระวนกระวายมาตั้งแต่เมื่อรถไฟเคลื่อนขบวนออกจากสถานีโอฟุนะ และกลาย เป็นความหงุดหงิดเมื่อรถจอดถี่ๆ อีกห้าหกสถานีกว่าจะถึงโคซึ
ชายหนุ่มเร่งเวลาที่จะได้พบกับชิซุโกะ จะได้โอบกอดโลมเล้าละมุนละไมให้สมกับความคิดถึงคนึงหา
สีเขียวของหมู่ไม้ข้างทางและบนทิวเขาในช่วงต้นเดือนมิถุนายนเช่นนี้ สูญสิ้นความสดของเมื่อแรกผลิใบอ่อน เมื่อรถไฟแล่นผ่านกิ่งก้านของมันดูราวกับกำลังวิ่งไล่โถมถลาเข้าใส่บานหน้าต่าง พอพ้นแมกไม้ออก มาได้จึงดูดีขึ้น ได้เห็นต้นกล้าสีเขียวอ่อนที่ปลูกไว้เป็นหย่อมๆ ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง โอนยอดเรียวบางลู่ไปกับสายลมเย็นต้นฤดูร้อน
ตามปกติตู้รถไฟชั้นสองที่เขาโดยสารมานี้จะเนืองแน่นไปด้วยผู้โดยสารที่ขึ้นจากฮะโกะเนะ มุ่งไปยังออนเซ็นในคาบสมุทรอิซุ แต่วันในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนอย่างวันนี้ดูจะครึ่งๆ กลางๆ ไม่เหมาะที่จะไปพักผ่อนแช่น้ำแร่ตามออนเซ็น ยิ่งกว่านั้น ฝนที่ตกยืดเยื้อมาตลอดอาทิตย์ก็เพิ่งจะขาดเม็ดจึงมองไม่เห็นใครที่มีท่าทางว่าจะไปออนเซ็นโดยสารมากับรถเที่ยวนี้ ชาวต่างชาติครอบครัวหนึ่งดูเหมือนจะเป็นชาวฝรั่งเศสที่จับกลุ่มกันอยู่ด้านหนึ่งของตู้รถ เป็นจุดสนใจของชินอิชิโรมาตั้งแต่ต้น สามีภรรยาวัยสูง อายุมากับเด็กหนุ่มอายุราว 15-16 ซึ่งคงจะเป็นลูกชาย เขาเฝ้าสังเกตอากัปกริยาของเด็กหนุ่มแขนขายาวราวกวางป่า พลางเงี่ยหูฟังคำสนทนาง่าย ๆ ของพ่อแม่ลูกอย่างไม่รู้เบื่อ ผู้โดยสารในรถตู้เดียวกับเขามีคนกลุ่มนี้ ชายสองคนในชุดสูทเหมือนพวกพนักงานบริษัทและแม่ลูกท่าทางเป็นชาวต่างจังหวัดอีกคู่หนึ่งเท่านั้น
แต่ชินอิชิโรก็สบายใจที่ไม่ต้องตกอยู่ในหมู่ชนชั้นที่นิยมไปพักผ่อนเปลี่ยนอิริยาบถกันตามออนเซ็น ซึ่งไม่ว่าชายหรือหญิงจะแต่งตัวมาอวดกันเต็มที่ ตั้งแต่กิโมโนผ้าไหมอย่างดีเข้าชุดกัน ไปจนถึงเครื่องประดับที่เพียบไปด้วยทอง ทองคำขาว เพชรพลอย อัญมณี แวววาวบาดตา และเมื่อมาชุมนุมกันก็จะสนทนากันด้วยเสียงแหลมสูงใส่จริต พลางกินโน่นกินนี่จุบจิบ ทิ้งเศษขนมบ้างอะไรบ้างเกลื่อนกระจาย ถ้าเจอแบบนั้นชินอิชิโรคิดว่าเขาคงยิ่งหงุดหงิดกว่าตอนนี้อีกหลายเท่า
ท้องฟ้ามืดครึ้ม พื้นน้ำในทะเลบริเวณอ่าวซะงะมิที่มองเห็นลอดแนวทิวไม้เป็นระยะๆ ดูเป็นสีเงินขุ่นมัว แนวเขาอะมะงิที่มองเห็นอยู่เมื่อครู่ก่อนเลือนหายไปกับหลืบเงาสีเทา กลุ่มเมฆมืดทะมึนดูหนักเหมือนอุ้มฝนไว้เต็มที่ เบียดอยู่กับขอบฟ้าด้านโน้น สี่โมงแล้ว
“ป่านนี้ ชิซุโกะ ต้องกำลังตั้งตาคอยอยู่แน่เลย”
คิดขึ้นมาทีไร ก็ให้รู้สึกว่ารถไฟขบวนนี้ช่างเชื่องช้าอืดอาดเสียจริง ชินอิชิโรพยายามกลั้นความกระวนกระวายใจไว้ด้วยการคิดวาดภาพภรรยายอดรักกำลังเฝ้าคอยการมาของเขาอยู่ในโรงแรมออนเซ็นที่ยุงะฮะระ สิ่งแรกที่ปรากฏเด่นขึ้นมาในห้วงจินตนาการคือรอยยิ้มบนแก้มสีชมพูอ่อนราวสีของกลีบดอกไม้ ตามมาด้วยลักยิ้ม ริมฝีปากนุ่มละมุน จมูกงามสมส่วนแม้ไม่โด่งเด่น และที่เหนือกว่าปากแก้มคิ้วคางจิ้มลิ้มพริ้มเพรา คือใบหน้างามซ่านสเน่ห์สมหญิงยามชายตาเอียงอาย
นึกถึงภาพนี้ทีไรสีหน้าของชินอิชิโรก็พลอยชื่น เผลอยิ้มส่งตาหวานให้ศรีภรรยาที่มิได้มีตัวตนอยู่ตรงนั้น พอรู้สึกตัวก็ชักอาย เกรงว่าใครจะหันมาเห็นเข้า ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตู้รถ พอดีกับเด็กหนุ่มฝรั่งเศสส่งเสียงเรียกแม่ของเขา
“มาม็อง!”
ส่วนผู้โดยสารคนอื่นต่างคนดูเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงคิดของตนเอง รถไฟแล่นผ่านแนวป่าสนเลียบชายฝั่งทะเลสู่จุดหมายปลายทาง
2.
ภาพภริยายอดรักทอดกายพิงลูกกรงระเบียงห้องพักในโรงแรมออนเซ็นรอคอยการมาของสามี เดี๋ยวก็ผ่านวูบขึ้นมา เดี๋ยวก็จางหายไปตามจังหวะวงล้อรถไฟที่หมุนเบียดไปกับราง เห็นไหมว่าชินอิชิโรมอบกายมอบใจให้แก่ชิซุโกะ ที่เพิ่งเริ่มชีวิตคู่กันเมื่อไม่นานมานี้เพียงใด
เมื่อหวนคิดไปถึงงานแต่งงานที่บ้านนอกเมื่อราวสามเดือนที่ผ่านมา และระหว่างแวะดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่นะระและเกียวโตระหว่างทางกลับโตเกียว ไม่ว่าจะคิดถึงตอนไหนที่เขาอยู่กับเธอ ชินอิชิโรซึมซาบอยู่ในใจเสมอว่า การที่ได้ชิซุโกะมาเป็นคู่ครองนั้นช่างเป็นความสุขไม่มีใดปาน
ยิ่งหวนคิดถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องอ่อนช้อยเอียงอายเยี่ยงสตรีสาวที่ประทับใจเขาในวันแต่งงาน และนิสัยดีงามที่ได้เริ่มปรากฏขึ้นมาทีละน้อยเมื่อมาอยู่ด้วยกันราวสมบัติล้ำค่าที่ถูกเก็บฝังเอาไว้ ชินอิชิโรก็ยิ่งอยากให้รถไฟถึงที่หมายไวๆ เพื่อจะได้เชยคางยอดรักขึ้นเชยชม อยากจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
“จากกันแค่อาทิตย์เดียว คิดถึงจนทนไม่ไหวอย่างนี้เชียวหรือ” ชายหนุ่มนึกย้อนถามตัวเองแล้วก็ชักละอายที่ปล่อยใจให้เพริดไปเหมือนเด็กดื้อที่เอาแต่ใจตนเอง
แต่ก็นั่นแหละ สำหรับคนที่แต่งงานได้ไม่กี่วันอย่างชินอิชิโร การต้องจากยอดรักไปเพียง 1 สัปดาห์นั้น มันช่างยาวนานราวกับ 3 เดือน 4 เดือนเลยทีเดียว ชินอิชิโรจำได้ว่าตอนที่ชิซุโกะหายป่วยโรคปอดบวมแล้วคุณหมอแนะนำให้ไปพักฟื้นที่ออนเซ็นนั้น เขาใจหายเพราะเพียงแค่คิดว่าต้องปล่อยภรรยาจากอ้อมแขนไปเพียงวันครึ่งวันก็ทรมานใจนัก จะลางานตามไปด้วยวันลาก็หมดไปตั้งแต่ตอนแต่งงานแล้ว เมื่อไม่มีทางเลือก อื่น เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วชินอิชิโรจึงพาชิซุโกะกับเด็กรับใช้ไปส่งไว้ที่ยุงะวะระ แล้วกลับโตเกียวในวันนั้น เอง
จากข้อความในจดหมายที่มาถึงเมื่อเช้านี้ ดูเหมือนว่าชิซุโกะจะหายดีแล้ว พอพบกันชิซุโกะคงจะอ้อนให้พากลับโตเกียวในวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ บางทีชิซุโกะอาจจะมารับที่สถานีก็ได้ แต่ไม่น่า...ชิซุโกะไม่ ใช่ผู้หญิงที่คิดทำอะไรแบบนั้น หล่อนเป็นกุลสตรีที่เฝ้าคอยการมาของสามีอย่างสงบต่างหาก หล่อนคงจะได้แต่นั่งนิ่งๆ พิงราวลูกกรงบนห้องชั้นสองของอาคารโรงแรมหลังใหม่ มองลงมาที่สะพานไม้ทอดข้ามแม่น้ำ ฟุจิกิอย่างใจจดใจจ่อ ทุกครั้งที่มีรถม้าหรือรถยนต์แล่นผ่านสะพานไม้เสียงดังโคร่งคร่าง ใจของชิซุโกะก็จะเต้น เพราะคิดว่าผู้ที่มาเยือนน่าจะเป็นคนที่ตนรอคอย
ภาพจินตนาการของภรรยายอดรักกระจายสลายไปในอากาศพร้อมกับเสียงหวูดรถไฟดังแหลมราวกับ จะเสียดแทรกเข้าไปในกลุ่มเมฆฝนยามเย็น เมื่อมองจากหน้าต่างผ่านแนวต้นสนออกไปจึงแลเห็นท้องทะเลยามเย็นสีครามจัดที่เลื่องลือของโคซึสะท้อนเงาเลื่อมลายอยู่ในความมืดสลัว
เพราะท้องฟ้าโปร่งราวฤดูใบไม้ร่วง จึงมองเห็นไปได้ไกลถึงแนวที่พื้นดินกับผืนน้ำจรดกันในโทนสีสงบ ขรึมยามใกล้ค่ำคืน ชินอิชิโรสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือโคซึ เขาผลุดลุกขึ้นจากที่นั่งราวกับถูกเข็มแทง
3.
รถไฟแล่นเข้าเทียบจอดที่ชานชาลาสถานี ผู้โดยสารที่มีอยู่ไม่มากนักแย่งกันลงเพราะต้องรีบไปต่อรถอีกขบวนหนึ่งให้ทัน แผล็บเดียวก็ไม่เหลือสักคน รถไฟขบวนนี้มาถึงสุดทางของมันแล้ว ยิ่งมองก็ยิ่งดูเหมือนกำลังเหนื่อยล้าและเปล่าเปลี่ยวอย่างไรชอบกล
ผู้โดยสารเพียงห้าสิบกว่าคน ไม่ได้ทำให้การตรวจตั๋วขาออกที่สถานีปลายทางแห่งนี้สับสนเลยสักนิดเดียว ชินอิชิโรเสียเวลาตรวจดูสัมภาระติดตัวให้แน่ใจว่าไม่ลืมอะไรจึงลงรถช้ากว่าคนอื่น พอผ่านช่องตรวจตั๋วออกมาก็พบว่ารถไฟไปยุโมะโตะกำลังทำท่าว่าจะเคลื่อนขบวนออกจากที่จอดกลางจตุรัสหน้าสถานีในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า รถไม่แน่นเหมือนขบวนที่เขาโดยสารมาเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว น่าจะมีที่ว่างให้เลือกนั่งตามสบายด้วยซ้ำ ชินอิชิโรเห็นรถไฟแล้วนึกภาพออกทันทีเลยว่ามันจะแล่นแบบถึงก็ชั่งไม่ถึงก็ชั่งอย่างนี้ไปจอดทุกสถานีจนกว่าจะถึงที่หมาย มีอีกทางเลือกหนึ่งคือนั่งรถไฟนี้ไปลงสถานีโอะดะวะระแล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟไต่เขาที่น่าจะไปได้เร็วกว่านั้น แต่ก็อีกนั่นแหละมีช่วงหนึ่งที่รถไฟจะต้องแล่นช้า ๆ เหมือนตัวตะขาบหรืออะไรสักอย่างผ่านไปบนทางแคบ ๆ เลียบหน้าผาที่ด้านขวาเป็นภูเขาด้านซ้ายเป็นทะเล ความคิดนั้นหยุดชายหนุ่มเอาไว้ไม่ให้วิ่งไปขึ้นรถไฟ เพราะคิดคร่าว ๆ แล้ว ไม่ว่าเลือกทางไหนเขาต้องเสียเวลาถึงราวสามชั่วโมงกว่าจะถึงยุงะวะระ และเมื่อลงรถไฟที่สถานียุงะวะระแล้วยังต้องนั่งรถม้ากระโดกกระเดกไปบนทางขรุขระอีกราว 30 นาที กว่าจะถึงที่หมายก็คงเกือบสี่ทุ่ม ชินอิชิโรไม่กล้าเลือกเดินทางต่อไปด้วยรถไฟเมื่อแน่ใจว่าตนเองจะต้องหงุดหงิดกระสับกระส่ายมากไปกว่าช่วงที่นั่งจากโตเกียวมาถึงที่นี่เป็นสิบเท่ายี่สิบเท่า แต่พอเห็นรถไฟกำลังจะออกไปจริง ๆ ชินอิชิโรกลับรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาทันทีเหมือนคนถูกทิ้งให้เผชิญกับความยาก ลำบากโดยไม่คาด หมายตามลำพัง ชายร่างใหญ่คนหนึ่งวิ่งกุบกับตามมาได้จังหวะพอดี และทักถามเขาว่า
“เอายังไงครับคุณ ไปรถยนต์ดีกว่าไหม”
ชินอิชิโรชะงักเท้าหันไปมองและเมื่อเห็นชายคนนั้นสวมหมวกบริษัทรถยนต์ฟุจิยะเขาก็รู้สึกเหมือนคนเรือแตกที่พบเรือช่วยชีวิต แต่เขาซ่อนความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ในหน้าเพราะรู้ว่าจะมีผลกระทบต่อการต่อรองค่าโดย สาร
“จริงด้วย ไปรถยนต์ก็ดีนะ ถ้าไม่แพง” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ เหมือนไม่เดือดร้อนอะไร
“ไปถึงไหนครับ”
“ยุงะวะระ”
“ไปถึงยุงะวะระคิด 15 เยนแล้วกัน ความจริงต้องขอรับมากกว่านี้นิดหนึ่ง แต่นี่ผมเป็นคนชวนก็คิดแค่นี้แหละครับ”
พอได้ยินคำว่า 15 เยน ชินอิชิโรก็ล้มเลิกความคิดที่จะขึ้นรถเช่าทันทีโดยไม่มีอาการลังเล เขาไม่ได้ยากจน หลังจบคณะนิติศาสตร์เมื่อสองปีก่อนเขาได้เข้าทำงานในบริษัทมิสึบิชิได้เงินเดือนสูงมาจนทุกวันนี้ บวกกับรายได้จากส่วนแบ่งทรัพย์สินของพ่อแม่ในต่างจังหวัดด้วยแล้วเดือนหนึ่งมีเงินถึงเกือบ 500 เยน แต่การจ่าย 15 เยนเพื่อประหยัดเวลาเดินทางแต่สองสามชั่วโมงนั้นเป็นอะไรที่ฟุ่มเฟือยเกินเหตุ แม้จะคำนึงถึงการเฝ้ารอของชิซุโกะ ภรรยายอดรักเพียงใดก็ตาม
“ไม่เอาดีกว่า ไปรถไฟก็ได้” ชายหนุ่มคิดในใจแต่พูดชี้แจงเหตุผลไปอีกอย่างหนึ่งเป็นการตัดบท หันหลังให้ชายร่างใหญ่ในชุดสากลคนนั้นแล้วเดินไปขึ้นรถไฟ แต่ชายร่างใหญ่ไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ
“ขอเวลาแป็บเดียวครับ ขอปรึกษาอะไรนิดหนึ่ง ความจริงมีผู้โดยสารคนหนึ่งกำลังจะไปอะคะมิทางเดียว กันเลย คุณนั่งไปกับเขาดีไหม ถ้าตกลงค่าโดยสารก็จะถูกลงมากเลย ผมคิดคุณแค่ 7 เยนเท่านั้น”
คำชวนนั้นมีพลังจูงใจชินอิชิโร พอดูเลยทีเดียว เขาชักมือที่กำลังเอื้อมไปจะถึงราวบันไดตู้รถไฟอยู่แล้วกลับพลางถามว่า “ผู้โดยสารคนนั้นท่าทางเป็นยังไง”
4.
ชายร่างใหญ่ในชุดสากลเดินตรงไปยังห้องพักผู้โดยสารตรงข้ามกับสถานีเพื่อรับคนที่จะนั่งรถของเขาไปกับชินอิชิโร
ชายหนุ่มมองตามหลังชายร่างใหญ่พลางคิดว่าคนที่จะนั่งรถไปด้วยจะเป็นใครก็ทนเอาหน่อยเพราะระยะเวลาก็ไม่ใช่จะยาวนานอะไรนัก แต่ถึงอย่างไรก็อยากได้ผู้ร่วมทางดี ๆ มากกว่า
ถ้าเจอพวกเศรษฐีใหม่อวดมั่งมีไปเที่ยวพักออนเซ็นชั้นหรูเลิศน่าทุเรศละก็เห็นจะทนไปด้วยไหว ชินอิชิโร วาดภาพชายอ้วนพุงพลุ้ยใส่แหวนทองแกะสลักตราประทับชื่อแลอร่าม เดินตามชายร่างใหญ่มาที่เขา แต่อาจเป็นสาวสวยก็ได้ใครจะรู้ ไม่ใช่แน่...ชายหนุ่มลบความคิดนั้นออกไป ค่ำมืดอย่างนี้สุภาพสตรีที่ไหนจะยอมขึ้นรถไปกับคนไม่รู้จัก
ชินอิชิโรยืนรอคนที่จะมาเป็นเพื่อนร่วมทางด้วยความสนใจใคร่รู้อยู่ราวสามนาทีเห็นจะได้ ชายร่างใหญ่ก็เดินยิ้มกริ่มออกมาจากห้องพักผู้โดยสาร ดูก็รู้ว่าคงเจรจาต่อรองสำเร็จด้วยดี เขาชำเลืองข้ามไหล่ชายร่างใหญ่ไปแวบเดียวก็ทันเห็นว่าคนที่เดินตามมาคือเด็กหนุ่มใส่หมวกนักศึกษามหาวิทยาลัย ชินอิชิโรดีใจที่ได้เพื่อนร่วมทางเป็นนักศึกษา และดีใจด้วยว่ามาจากสถาบันเดียวกัน แม้จะไม่ถึงกับรู้สึกสนิทใจอะไรเป็นพิเศษ
“ขอโทษครับที่ให้รอเสียนาย คุณคนนี้ไงครับ”
ชายร่างใหญ่บอกพลางแนะนำให้ชินอิชิโรรู้จักหนุ่มนักศึกษา
“คงไม่เป็นการรบกวนนะครับ ถ้าผมจะขอโดยสารไปด้วยคน” ชายหนุ่มทักทายอย่างคนมีอัธยาศัยไมตรี นักศึกษาก้มศีรษะรับคำทักทายแต่ไม่พูดอะไร พอได้เห็นอย่างเต็มตาแล้วต้องยอมรับว่านักศึกษาหนุ่มผู้นี้ดูเป็นผู้ดีมีสกุล อาจมาจากในรั้วในวังหรือไม่ก็เป็นศิษย์ของสำนักศิลปะระดับสมบัติวัฒนธรรมแห่งชาติ เครื่องหน้าที่คมคาย ไม่ว่าจะเป็นจมูกที่เป็นสันชัดเจนหรือดวงตาดำสุกใสล้วนบ่งบอกถึงการมีชาติกำเนิดสูงส่งอย่างแท้จริง โดยเฉพาะดวงตาอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยไมตรีจิตคู่นั้นคิอดว่าใครก็ตามที่ได้เห็นจะต้องรู้สึกดีกับเขาทุกคนไป เสื้อโค้ทแบบฝรั่งตามสมัยนิยมและกระเป๋าที่ถือติดมือมายิ่งช่วยเสริมบุคลิกให้ดูมีสง่าราศียิ่ง ขึ้นไปอีก
ชายร่างใหญ่บอกชินอิชิโรว่า “ผมจะไปส่งคุณให้ถึงโรงแรมที่ยุงะวะระ แล้วค่อยไปอะตะมิ คุณคนนี้ตกลงตามนั้นครับ”
“อย่างนั้นหรือ ขอโทษนะครับที่ทำให้คุณต้องพลอยลำบากไปด้วยอย่างนี้” ชินอิชิโรกล่าวมธุรสวาจาต่อหนุ่มนักศึกษาตามธรรมเนียมสุภาพชนอีกครั้ง และแล้วชายทั้งสองก็ได้เป็นผู้โดยสารรถยนต์ของชายร่างใหญ่ตามที่เขาจัดการ โดยชินอิชิโรนั่งด้านซ้ายและนักศึกษาหนุ่มนั่งด้านขวา
“ไปยุงะวะระใช้เวลา 40 นาที และไปอะตะมิ ใช้เวลา 50 นาที” ชายร่างใหญ่ประกาศก่อนขึ้นประจำที่นั่งคนขับ
เครื่องยนต์ของรถยนต์ที่ชินอิชิโรกับหนุ่มนักศึกษาส่งเสียงเสียงกึงกังตามรถไฟที่เพิ่งเคลื่อนขบวนออกจากสถานีไปหยก ๆ ผ่านเข้าไปในตัวเมืองโคซึ
พอคิดว่าอีกสี่สิบนาทีเท่านั้นก็จะได้พบหน้าภรรยาสุดที่รัก จิตใจของชินอิชิโรก็ปลอดโปร่งขึ้นมาทันที ลืม ความกระสับกระส่ายทุรนทุรายตลอดทางที่นั่งมาในรถไฟจนหมดสิ้น ปล่อยตัวให้ถูกโยนไปตามแรงกระแทก กระเทือนของตัวรถ ส่วนหัวใจนั้นเต้นโลดเมื่อคาดหมายถึงความหรรษาที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า ส่วนหนุ่มนั ศึกษาที่นั่งมาด้วยกันนั้นซุกตัวอยู่ตรงมุมที่นั่งด้านของเขาเงียบกริบจนเหมือนไม่ได้ขึ้นรถมาด้วย ทำคิ้วขมวดเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ลึก ๆ โดยไม่สนใจกับทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถ
* คิคุฉิ คัน (Kikuchi Kan) คือนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังผู้บุกเบิกวงการนวนิยายของญี่ปุ่นในช่วงปลายสมัยเมจิ นอกจากนั้นยังเป็นนักเขียนบทละคร นักหนักสือพิมพ์ และนักธุรกิจด้านสื่อผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งของญี่ปุ่นโดยเป็นผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ “บุนเงชุนชู” ผู้ออกนิตยสารนิยายแบบ “ศรีสัปดาห์” “สตรีสาร” “สกุลไทย” ฯลฯ ของไทย “คุณนายไข่มุก” เป็น นวนิยายเรื่องแรกของคิคุฉิ คัน ที่ได้นำลงอย่างต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์และทันทีที่จบบริบูรณ์ในปีค.ศ.1920 บริษัทภาพยนตร์ก็ได้นำไปสร้างเป็น “หนังเงียบ” และฉายในย่านบันเทิงที่ที่อะซะกุซะในปีเดียวกันนั้น