นักวิชาการชาวญี่ปุ่น วิเคราะห์สุนทรพจน์สาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยเห็นว่า เต็มไปด้วยความก้าวร้าว และจะจุดชนวนความขัดแย้งในหมู่ประชาชนชาวสหรัฐฯ
สถานีวิทยุ NHK สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น เกี่ยวกับสุนทรพจน์สาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มกราคม ซึ่งวิเคราะห์ว่า สุนทรพจน์ของทรัมป์เหมือนกับที่เขาใช้ในการรณรงค์หาเสียงไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งเป็นการสื่อสารไปยังกลุ่มผู้สนับสนุนตัวเขา โดยไม่ใส่ใจว่ามีชาวอเมริดันอีกมากมายที่คิดไม่เหมือนกัน
นายทรัมป์ กล่าวว่า ในปัจจุบันสหรัฐฯอยู่ในสถานะที่เรียกในภาษาอังกฤษ ว่า carnage โดยปกติแล้วคำนี้จะใช้อธิบายผลของการโจมตี หรือการสังหารหมู่ในสงคราม ทรัมป์ระบุว่า ความเสียหายอย่างหนักเช่นนี้ เกิดขึ้นจากการผูกขาดความมั่งคั่ง โดยชนชั้นนำกลุ่มเล็กๆ ของสหรัฐฯ ที่แทบไม่ได้ให้ความสนใจกับประชาชนชาวสหรัฐฯ
นักวิชาการชาวญี่ปุ่น เห็นว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์ แทบไม่ได้กล่าวอะไรเกี่ยวกับอุดมคติของสหรัฐฯ ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับสุนทรพจน์ของอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ที่กล่าวย้ำหลายครั้ง ว่า ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ประชาชนชาวสหรัฐฯได้เสรีภาพมาได้อย่างไร
ประธานาธิบดี ทรัมป์ ยังพยายามสร้างภาพ ว่า บริษัทต่างชาติแย่งชิงงาน และธุรกิจไปจากสหรัฐฯ และสร้างความเสียหายแก่สหรัฐฯ โดยใช้คำว่า ravages หรือการปล้นสะดม
นายทรัมป์ ยังใช้คำว่า “การก่อการร้ายโดยอิสลามหัวรุนแรง” พร้อมวิจารณ์ที่นายโอบามา หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “อิสลาม” มาตลอด ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น กังวลว่า ผู้นำสหรัฐฯอาจคิดง่ายๆ ว่า สามารถกำจัดการก่อการร้ายได้ หากทิ้งระเบิดใส่พื้นที่ ซึ่งกลุ่มติดอาวุธรัฐของอิสลาม และกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีใครที่จะทราบว่าจะเกิดผลอะไรตามมา
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สรุปสุนทรพจน์ของเขาด้วยวาทะเด็ด คือ “ทำให้สหรัฐฯกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ในสังคมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ เช่น สหรัฐฯ นิยามของคำว่าความยิ่งใหญ่นั้นแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล
หน้าที่ของประธานาธิบดี คือ การประสาน และทำให้ความแตกต่างกันอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน แต่ดูเหมือนว่า นายทรัมป์ ต้องการจะทำให้สหรัฐฯกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งตามค่านิยมที่ตนยึดถือเท่านั้น มุมมองเช่นนี้จะจุดชนวนความโกรธแค้นในหมู่ผู้คนที่ต่อต้านนายทรัมป์ และได้ทำให้เกิดการประท้วงขึ้นอย่างกว้างขวางทันทีที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนรับตำแหน่ง
