สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้วครับ อาทิตย์ที่แล้วผมพูดถึงโอกินาว่านิดหน่อย โอกินาว่าเป็นเกาะเล็กๆ ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น มีทะเลสวย มีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความเป็นญี่ปุ่นและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ผสมผสานกันอย่างลงตัว ผมชอบจังหวัดโอกินาว่ามาก สามครั้งที่ไปมาประทับใจที่นี่ตลอดทุกทริป
โอกินาว่า เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของญี่ปุ่น ประกอบด้วยหมู่เกาะริวกิว (琉球諸島 Ryūkyū Shotō) นับร้อยเกาะ มีเมืองนาฮาเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด ที่โอกินาว่านี้ยังเป็นที่ตั้งฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเหลืออยู่ครับ โอกินาว่าเป็นต้นกำเนิดศิลปะการต่อสู้คาราเต้ มีหาดทรายขาวสวย น้ำทะเลสีครามและปะการังที่ยังสมบูรณ์ ทำให้จังหวัดโอกินาว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักร้อนในฝันของชาวญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ครั้งแรกที่ผมไปเที่ยวที่โอกินาว่านั้นผมไปที่หมู่เกาะคุเมจิม่า ต้องเดินทางโดยเครื่องบินจากโตเกียวไปลงที่สนามบินหลักของเกาะคือที่นาฮาใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ แล้วต่อเครื่องใบพัดเล็กๆ ไปที่เกาะคุเมจิม่า การเดินทางโดยเรือระหว่างเกาะก็ได้นะครับ แต่ส่วนใหญ่ถ้าซื้อเป็นแพ็คเกจก็จะได้ต่อเครื่องทีเดียวเลยไม่ต้องออกจากสนามบินไปท่าเรือ ก็สะดวกกว่า แต่ไกลเอาเรื่องเลยนะครับ พอมาถึงจุดหมายปลายทางหายเหนื่อยครับธรรมชาติมาก กลิ่นอายเอเซียและญี่ปุ่นผสมผสานกันอย่างมีเอกลักษณ์จริงๆ พืชพันธ์ที่ไม่ได้เห็นตามเมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่นก็ปลูกกันเต็มไปหมด เหมือนเมืองไทยเลย มีไร่อ้อย มีไร่มัน มีต้นกระถิ่น ต้นชะอม ดอกไม้ก็มีทั้งดอกไม้แบบเมืองไทยและที่ปลูกเมืองหนาว คือดีงามและทำให้จิตใจสบายมาก เพราะถนนหนทาง สาธารณูปโภคเป็นแบบเดียวกับเมืองอื่นๆ ของญี่ปุ่นทั้งหมด จึงให้ฟิลที่ผมชอบมากๆ คือบรรยากาศแบบเมืองไทยที่มีความสะอาดปลอดภัยแบบญี่ปุ่น แถมไม่หนาวมาก ไม่ร้อนมาก ทะเลสวย เป็นที่ที่ผมอยากไปบ่อยๆ เลยทีเดียวถ้าไม่ติดเรื่องค่าใช้จ่าย (ฮ่าๆ)
มี 3 สิ่งที่ผมลงเครื่องปุ๊บผมแปลกใจกับที่นี่ คือ
① วันนั้นผมลงเครื่องแล้วต้องต่อรถบัสไปโรงแรม มีคนในรถแค่ผมกับคุณลุงอีกคน นั่งคุยกันตลอดทาง คนญี่ปุ่นเหมือนกันคุยกัน ลุงเข้าใจภาษาที่ผมพูดแน่ๆ แต่ฝ่ายผมยอมรับเลยว่าผมไม่ค่อยเข้าใจภาษาถิ่นที่คุณลุงพูดเลย ครั้งแรกกับโอกินาว่าวันนั้นผมนึกว่าที่นี่ต่างประเทศใช่ไหม(´ω` )
② อย่างที่บอกเมื่อกี้คือไร่อ้อยมีตลอดทางเลย ผมไม่เคยเห็นปลูกกันเป็นไร่ๆ แบบนี้ที่จังหวัดอื่น แถมมีป้ายเขียนประท้วงขึ้นค่าแรงค่าตัดอ้อย คือเป็นความประทับใจอีกแบบหนึ่งจริงๆ
③ มีสินค้าแปลกใหม่ที่ไม่มีขายแล้วในเมืองอื่นๆ ของญี่ปุ่น และสินค้าแบบเดียวกันแต่มีราคาถูกกว่าที่ขายปกติตามเมืองอื่นๆ มาก เป็นเรื่องที่ผมต้องร้อง เอ๋!... เพราะสินค้าบางตัวผมเคยเห็นตั้งแต่ผมเด็กๆ โน้นแนะตอนนี้เมืองอื่นไม่มีวางขายแล้ว เช่น
(⚫´ω`⚫)☀ Blue seal ice cream เมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่นอาจทำเท่ห์มีไอศรีมแบรนด์ฝรั่งขายกันเต็มไปหมดที่นี่มีแบรนด์ท้องถิ่นที่อร่อยไม่แพ้ใครเลย ต้องลองครับ
(⚫´ω`⚫)☀ Orion beer เป็นเบียร์ท้องถิ่มที่ทำที่นี่ มีขายเกือบทั่วญี่ปุ่นแหละครับแต่มาซื้อที่ท้องถิ่นแล้วรู้สึกมาถึงที่จริงๆ
(⚫´ω`⚫)☀ うっちん茶 Ucchin-cha 、さんぴん茶 Sanpin-cha ชานี้ปกติขายตามตู้กดอัตโนมัติราคาที่ประมาณ 120 เยน แต่ขายที่นี่ 110 เยน เข้าใจผมนะครับว่าเห็นปุ๊บแปลกใจแต่แบบน่ารักอ้ะ ทำไมของชนิดเดียวกันขายที่นี่ราคาถูกกว่า ส่วนหนึ่งคงเป็นเรื่องค่าครองชีพ แต่มันรู้สึกว่ามาเที่ยวญี่ปุ่นที่ไม่ใช่ญี่ปุ่น ดีงามครับ
ครั้งนั้นผมเดินทางไปทริปดำน้ำ เพราะเกาะน้อยใหญ่ที่โอกินาว่านี้มีแนวปะการังอันงดงาม แนวปะการังอันงดงามของโอกินาว่าเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักดำน้ำทั่วโลกครับ น้ำทะเลก็ยังคงสะอาดเพราะได้รับการดูแลอย่างใส่ใจ มีความใสมากเป็นพิเศษ ทะเลที่โอกินาว่านี้เป็นสีฟ้าไล่ระดับสวยเกินบรรยายจริงๆ โอกินาว่ามีจุดดำน้ำหลากหลายแบบ บางเกาะมีถ้ำหินปูนใต้น้ำ บางเกาะมีผาสูงชันรอบเกาะเลย ก่อนดำน้ำหนึ่งวันผมดื่มเหล้าอาวาโมริ 泡盛 หรือเหล้าขาวแบบญี่ปุ่น ที่ได้รับการสอนการทำเหล้ามาจากเมืองไทยนั่นเอง แม้แต่ปัจจุบันนี้ยังได้ข่าวว่าข้าวที่นำมาหมักทำเหล้ายังนำเข้ามาจากเมืองไทยอยู่เลยครับ ความจริงก่อนไปดำน้ำไม่ควรดื่มเหล้าเลย แต่ดื่มกับคนท้องถิ่นสนุกมากครับ และโชคดีที่วันรุ่งขึ้นดำน้ำได้อย่างปลอดภัย
หลังจากทริปแห่งความประทับใจครั้งนั้นทำให้อีก 3 เดือนต่อมาช่วงวันหยุดยาวของมหาวิทยาลัยผมกลับมาเที่ยวที่โอกินาว่าอีกครั้ง แต่ครั้งที่สองนี้แบ็คแพ็คมาจากโตเกียวโดยรถไฟและเรือเท่านั้น แล้วก็ถุงนอนหนึ่งเซ็ท ช่วงวันหยุดฤดูร้อนจะมีตั๋วรถไฟแบบราคาพิเศษสำหรับนักเรียนนักศึกษา แบบตั๋วเหมานั่งแบบไปกลับกี่รอบก็ได้ จำนวนกี่วันๆ ตามแต่ระยะทริปที่เราต้องการ เช่นตั๋ว 5 วัน ราคา หนึ่งหมื่นเยน ( หรือประมาณสามพันบาท) สามารถนั่งรถไฟสายธรรมดาได้ทั่วประเทศ
ทริปโอกินาว่าครั้งที่ 2 นี้ ผมซื้อตั๋วเหมาอย่างที่บอก 青春18きっぷ ตั๋วเหมาชนิด 5 วันนี้นับเวลาจาก 0.01 นาฬิกาไปจนถึงเที่ยงคืนของอีกวันเป็นรอบหนึ่งวัน จะไม่เหมือนตั๋วอื่นๆ ที่นับจากเวลาเริ่มใช้ไปสิ้นสุด 24 ชั่วโมง แต่เวลารถที่จะออกคืนนั้นคือ 23.55 น. คือถ้าใช้ตั๋วเหมาแบบที่บอกเท่ากับเสียวันแรกไปหนึ่งวันทันที แต่นายสถานีใจดีมาก แนะนำระบบนี้และบอกให้ซื้อตั๋วราคาที่ถูกที่สุดเพื่อเข้าสถานีไปก่อน แล้วพอขึ้นรถปุ๊บจะมีนายสถานีมาตรวจตั๋วหลังเที่ยงคืนค่อยแสดงตั๋วเหมาเพราะจะได้เริ่มสตารท์การใช้เป็นวันแรกจะคุ้มกว่ามาก สรุปว่าวันนั้นผมออกเดินทางจากสถานีชินากาว่า นักเรียนรอรถคันนี้กันแน่นไม่แพ้หัวลำโพงช่วงวันหยุดปีใหม่หรือสงกรานต์เลยครับ นึกภาพตามเลย
รถด่วนคันนี้ชื่อว่า ムーンライト Moonlight ชื่อหรูน่านอนเป็นที่สุดผมนึกภาพแบบองค์ชายเลย แต่คนที่รอแต่ละคนนี้หนุ่มๆ สาวๆ นักเรียนที่หิ้วถุงนอนคนละถุงๆ ยืนอัดกันแน่นชานชลา พอรถมา พระเจ้า! รถมันแน่นมากมาจากสถานีโตเกียวแล้วอ้ะ แล้วไอ้พวกที่ยืนรอๆ กันอยู่นี่ละจะอัดกันเข้าไปอีกงั้นละสิ ก็ช่ายสิครับไม่ไปก็ตกรถสิครับ เข้าไปข้างในรถมองหาที่นั่ง..หามีที่นั่งไม่ ฮ่าๆ แต่เจอซอกเล็กๆ หลังเบาะสุดท้ายที่มีช่องพอให้ผมจับจองเข้าไปหาที่นอนได้ ผมก็เข้าถุงนอนเลยครับ แต่มันคือสภาพปลากระป๋องดีๆ นี่เองรอบๆ มีทั้งคนนั่งคนยืนเต็มแน่นไปหมด เหนื่อยมากไม่ไหวต้องลงหาข้าวกินที่สถานีโอซาก้าช่วงบ่ายๆ ของวันถัดไป แล้วต่อรถไฟสายอื่นๆ ไปลงที่ฮิเมจิ แวะเที่ยวปราสาทฮิเมจิแล้วต่อรถไฟไปเรื่อยๆ ลงใต้ไปจนถึงฟุกุโอกะ แล้วไปหาที่นอนหน้าตึกสำนักงานเขตฟุกุโอกะ ( จากนั้นเมื่อทำงานแล้วไปเที่ยวที่ฟุกุโอกะอีกเลยแวะไปดูจุดที่เคยมานอนเดี๋ยวนี้มีป้ายเขียนว่าห้ามนอนแล้วล่ะครับ:)
วันรุ่งขึ้นต่อเรือที่ท่าเรือฟุกุโอกะเพื่อจะไปเกาะโอกินาว่า ใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมง นานก็จริงแต่หลังจากเหนื่อยกับรถไฟมาแล้วที่เรือนี่เหมือนสวรรค์เลยเพราะมีเตียงให้นอนด้วยล่ะครับ พอถึงจุดหมายปลายทางผมก็เที่ยวที่เกาะโอกินาว่าอีกหลายวัน และกลับมาที่ฟุกุโอกะอีกแต่ขากลับโตเกียวนี่พี่ไม่นั่งมูนไลท์แล้วครับ ยอมซื้อตั๋วชินกันเซ็นกลับได้ไวในพริบตาสบายกว่ากันเยอะเลย เป็นอันว่ายังไงการไปเที่ยวโอกินาว่าก็ยังเป็นความประทับใจของผมเช่นเคย จนครั้งที่สามผมก็ไปพร้อมกับเพื่อนคนไทยแล้วไปคุเมจิม่าเหมือนเดิมครับ ทุกคนประทับใจอย่างที่ผมบอกไป
นี่ก็เป็นเรื่องราวเล็กๆ สำหรับการเดินทางแบบคนญี่ปุ่นแบ็คแพ็คในประเทศโดยรถไฟและเรือ รู้สึกก่อนหน้านี้ผมเคยเล่าเรื่องโบกรถเที่ยวในญี่ปุ่นไปบ้างแล้วเหมือนกันนะครับ ผมอยากแนะนำว่าถ้าท่านใดสนใจลองไปเที่ยวโอกินาว่าดูนะครับ น่าจะมีสายการบินที่บินจากเมืองไทยไปด้วย ยิ่งช่วงหน้าหนาวญี่ปุ่นแบบนี้ราคาโรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่โอกินาว่าจะถูกกว่าช่วงหน้าร้อนมาก เพราะช่วงนั้นเป็นไฮท์ซีซันนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะทั้งคนญี่ปุ่นและคนต่างประเทศ ส่วนแหล่งท่องเที่ยวนั้นมีมากมายนอกจากทะเลและหาดทรายสวยๆ แล้วเพื่อนๆ อาจจะไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวในเมือง ยกตัวอย่างนิดหน่อยเช่น
☆ ปราสาทชูริ (首里城 Shuri-jou) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักและควรไปอีกที่หนึ่งในโอกินาว่า มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมายังปราสาทชูริแห่งนี้เพื่อเข้าชมความงดงามของปราสาทอันเก่าแก่แห่งนี้ ซึ่งถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 โดยกษัตริย์แห่งริวกิว และถูกบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่อีกครั้งภายครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสถานที่ที่น่าไปเยือนสักครั้งครับ
☆Ocean Expo Park เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะโอกินาว่า เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1975 ตามคอนเซ็ปต์ของพระอาทิตย์ ดอกไม้ และมหาสมุทร โดย Ocean Expo Park แบ่งออกเป็น 3 โซนหลักๆ ได้แก่ โซนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม สามารถชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวโอกินาว่าชาวริวกิวดั้งเดิม มีการจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวประมง ถัดมาเป็นโซนมหาสมุทรเป็นที่ที่จะได้เพลิดเพลินชมความงามของใต้ท้องทะเลในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 沖縄美ら海水族館 Okinawa Churaumi Aquarium และชมการแสดงปลาโลมา เต่าทะเลหายาก และอีกมากมาย และโซนสวนดอกไม้และพื้นที่สีเขียวจะมีสวนไม้รุกขชาติและชมความงดงามของพืชไม้สายพันธุ์ต่างๆ มากมายเลยครับ
วันนี้เล่าเรื่องเบาๆ ชวนเที่ยวญี่ปุ่นกันเท่านี้ วันนี้สวัสดีครับ
โอกินาว่า เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของญี่ปุ่น ประกอบด้วยหมู่เกาะริวกิว (琉球諸島 Ryūkyū Shotō) นับร้อยเกาะ มีเมืองนาฮาเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด ที่โอกินาว่านี้ยังเป็นที่ตั้งฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเหลืออยู่ครับ โอกินาว่าเป็นต้นกำเนิดศิลปะการต่อสู้คาราเต้ มีหาดทรายขาวสวย น้ำทะเลสีครามและปะการังที่ยังสมบูรณ์ ทำให้จังหวัดโอกินาว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักร้อนในฝันของชาวญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ครั้งแรกที่ผมไปเที่ยวที่โอกินาว่านั้นผมไปที่หมู่เกาะคุเมจิม่า ต้องเดินทางโดยเครื่องบินจากโตเกียวไปลงที่สนามบินหลักของเกาะคือที่นาฮาใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ แล้วต่อเครื่องใบพัดเล็กๆ ไปที่เกาะคุเมจิม่า การเดินทางโดยเรือระหว่างเกาะก็ได้นะครับ แต่ส่วนใหญ่ถ้าซื้อเป็นแพ็คเกจก็จะได้ต่อเครื่องทีเดียวเลยไม่ต้องออกจากสนามบินไปท่าเรือ ก็สะดวกกว่า แต่ไกลเอาเรื่องเลยนะครับ พอมาถึงจุดหมายปลายทางหายเหนื่อยครับธรรมชาติมาก กลิ่นอายเอเซียและญี่ปุ่นผสมผสานกันอย่างมีเอกลักษณ์จริงๆ พืชพันธ์ที่ไม่ได้เห็นตามเมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่นก็ปลูกกันเต็มไปหมด เหมือนเมืองไทยเลย มีไร่อ้อย มีไร่มัน มีต้นกระถิ่น ต้นชะอม ดอกไม้ก็มีทั้งดอกไม้แบบเมืองไทยและที่ปลูกเมืองหนาว คือดีงามและทำให้จิตใจสบายมาก เพราะถนนหนทาง สาธารณูปโภคเป็นแบบเดียวกับเมืองอื่นๆ ของญี่ปุ่นทั้งหมด จึงให้ฟิลที่ผมชอบมากๆ คือบรรยากาศแบบเมืองไทยที่มีความสะอาดปลอดภัยแบบญี่ปุ่น แถมไม่หนาวมาก ไม่ร้อนมาก ทะเลสวย เป็นที่ที่ผมอยากไปบ่อยๆ เลยทีเดียวถ้าไม่ติดเรื่องค่าใช้จ่าย (ฮ่าๆ)
มี 3 สิ่งที่ผมลงเครื่องปุ๊บผมแปลกใจกับที่นี่ คือ
① วันนั้นผมลงเครื่องแล้วต้องต่อรถบัสไปโรงแรม มีคนในรถแค่ผมกับคุณลุงอีกคน นั่งคุยกันตลอดทาง คนญี่ปุ่นเหมือนกันคุยกัน ลุงเข้าใจภาษาที่ผมพูดแน่ๆ แต่ฝ่ายผมยอมรับเลยว่าผมไม่ค่อยเข้าใจภาษาถิ่นที่คุณลุงพูดเลย ครั้งแรกกับโอกินาว่าวันนั้นผมนึกว่าที่นี่ต่างประเทศใช่ไหม(´ω` )
② อย่างที่บอกเมื่อกี้คือไร่อ้อยมีตลอดทางเลย ผมไม่เคยเห็นปลูกกันเป็นไร่ๆ แบบนี้ที่จังหวัดอื่น แถมมีป้ายเขียนประท้วงขึ้นค่าแรงค่าตัดอ้อย คือเป็นความประทับใจอีกแบบหนึ่งจริงๆ
③ มีสินค้าแปลกใหม่ที่ไม่มีขายแล้วในเมืองอื่นๆ ของญี่ปุ่น และสินค้าแบบเดียวกันแต่มีราคาถูกกว่าที่ขายปกติตามเมืองอื่นๆ มาก เป็นเรื่องที่ผมต้องร้อง เอ๋!... เพราะสินค้าบางตัวผมเคยเห็นตั้งแต่ผมเด็กๆ โน้นแนะตอนนี้เมืองอื่นไม่มีวางขายแล้ว เช่น
(⚫´ω`⚫)☀ Blue seal ice cream เมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่นอาจทำเท่ห์มีไอศรีมแบรนด์ฝรั่งขายกันเต็มไปหมดที่นี่มีแบรนด์ท้องถิ่นที่อร่อยไม่แพ้ใครเลย ต้องลองครับ
(⚫´ω`⚫)☀ Orion beer เป็นเบียร์ท้องถิ่มที่ทำที่นี่ มีขายเกือบทั่วญี่ปุ่นแหละครับแต่มาซื้อที่ท้องถิ่นแล้วรู้สึกมาถึงที่จริงๆ
(⚫´ω`⚫)☀ うっちん茶 Ucchin-cha 、さんぴん茶 Sanpin-cha ชานี้ปกติขายตามตู้กดอัตโนมัติราคาที่ประมาณ 120 เยน แต่ขายที่นี่ 110 เยน เข้าใจผมนะครับว่าเห็นปุ๊บแปลกใจแต่แบบน่ารักอ้ะ ทำไมของชนิดเดียวกันขายที่นี่ราคาถูกกว่า ส่วนหนึ่งคงเป็นเรื่องค่าครองชีพ แต่มันรู้สึกว่ามาเที่ยวญี่ปุ่นที่ไม่ใช่ญี่ปุ่น ดีงามครับ
ครั้งนั้นผมเดินทางไปทริปดำน้ำ เพราะเกาะน้อยใหญ่ที่โอกินาว่านี้มีแนวปะการังอันงดงาม แนวปะการังอันงดงามของโอกินาว่าเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักดำน้ำทั่วโลกครับ น้ำทะเลก็ยังคงสะอาดเพราะได้รับการดูแลอย่างใส่ใจ มีความใสมากเป็นพิเศษ ทะเลที่โอกินาว่านี้เป็นสีฟ้าไล่ระดับสวยเกินบรรยายจริงๆ โอกินาว่ามีจุดดำน้ำหลากหลายแบบ บางเกาะมีถ้ำหินปูนใต้น้ำ บางเกาะมีผาสูงชันรอบเกาะเลย ก่อนดำน้ำหนึ่งวันผมดื่มเหล้าอาวาโมริ 泡盛 หรือเหล้าขาวแบบญี่ปุ่น ที่ได้รับการสอนการทำเหล้ามาจากเมืองไทยนั่นเอง แม้แต่ปัจจุบันนี้ยังได้ข่าวว่าข้าวที่นำมาหมักทำเหล้ายังนำเข้ามาจากเมืองไทยอยู่เลยครับ ความจริงก่อนไปดำน้ำไม่ควรดื่มเหล้าเลย แต่ดื่มกับคนท้องถิ่นสนุกมากครับ และโชคดีที่วันรุ่งขึ้นดำน้ำได้อย่างปลอดภัย
หลังจากทริปแห่งความประทับใจครั้งนั้นทำให้อีก 3 เดือนต่อมาช่วงวันหยุดยาวของมหาวิทยาลัยผมกลับมาเที่ยวที่โอกินาว่าอีกครั้ง แต่ครั้งที่สองนี้แบ็คแพ็คมาจากโตเกียวโดยรถไฟและเรือเท่านั้น แล้วก็ถุงนอนหนึ่งเซ็ท ช่วงวันหยุดฤดูร้อนจะมีตั๋วรถไฟแบบราคาพิเศษสำหรับนักเรียนนักศึกษา แบบตั๋วเหมานั่งแบบไปกลับกี่รอบก็ได้ จำนวนกี่วันๆ ตามแต่ระยะทริปที่เราต้องการ เช่นตั๋ว 5 วัน ราคา หนึ่งหมื่นเยน ( หรือประมาณสามพันบาท) สามารถนั่งรถไฟสายธรรมดาได้ทั่วประเทศ
ทริปโอกินาว่าครั้งที่ 2 นี้ ผมซื้อตั๋วเหมาอย่างที่บอก 青春18きっぷ ตั๋วเหมาชนิด 5 วันนี้นับเวลาจาก 0.01 นาฬิกาไปจนถึงเที่ยงคืนของอีกวันเป็นรอบหนึ่งวัน จะไม่เหมือนตั๋วอื่นๆ ที่นับจากเวลาเริ่มใช้ไปสิ้นสุด 24 ชั่วโมง แต่เวลารถที่จะออกคืนนั้นคือ 23.55 น. คือถ้าใช้ตั๋วเหมาแบบที่บอกเท่ากับเสียวันแรกไปหนึ่งวันทันที แต่นายสถานีใจดีมาก แนะนำระบบนี้และบอกให้ซื้อตั๋วราคาที่ถูกที่สุดเพื่อเข้าสถานีไปก่อน แล้วพอขึ้นรถปุ๊บจะมีนายสถานีมาตรวจตั๋วหลังเที่ยงคืนค่อยแสดงตั๋วเหมาเพราะจะได้เริ่มสตารท์การใช้เป็นวันแรกจะคุ้มกว่ามาก สรุปว่าวันนั้นผมออกเดินทางจากสถานีชินากาว่า นักเรียนรอรถคันนี้กันแน่นไม่แพ้หัวลำโพงช่วงวันหยุดปีใหม่หรือสงกรานต์เลยครับ นึกภาพตามเลย
รถด่วนคันนี้ชื่อว่า ムーンライト Moonlight ชื่อหรูน่านอนเป็นที่สุดผมนึกภาพแบบองค์ชายเลย แต่คนที่รอแต่ละคนนี้หนุ่มๆ สาวๆ นักเรียนที่หิ้วถุงนอนคนละถุงๆ ยืนอัดกันแน่นชานชลา พอรถมา พระเจ้า! รถมันแน่นมากมาจากสถานีโตเกียวแล้วอ้ะ แล้วไอ้พวกที่ยืนรอๆ กันอยู่นี่ละจะอัดกันเข้าไปอีกงั้นละสิ ก็ช่ายสิครับไม่ไปก็ตกรถสิครับ เข้าไปข้างในรถมองหาที่นั่ง..หามีที่นั่งไม่ ฮ่าๆ แต่เจอซอกเล็กๆ หลังเบาะสุดท้ายที่มีช่องพอให้ผมจับจองเข้าไปหาที่นอนได้ ผมก็เข้าถุงนอนเลยครับ แต่มันคือสภาพปลากระป๋องดีๆ นี่เองรอบๆ มีทั้งคนนั่งคนยืนเต็มแน่นไปหมด เหนื่อยมากไม่ไหวต้องลงหาข้าวกินที่สถานีโอซาก้าช่วงบ่ายๆ ของวันถัดไป แล้วต่อรถไฟสายอื่นๆ ไปลงที่ฮิเมจิ แวะเที่ยวปราสาทฮิเมจิแล้วต่อรถไฟไปเรื่อยๆ ลงใต้ไปจนถึงฟุกุโอกะ แล้วไปหาที่นอนหน้าตึกสำนักงานเขตฟุกุโอกะ ( จากนั้นเมื่อทำงานแล้วไปเที่ยวที่ฟุกุโอกะอีกเลยแวะไปดูจุดที่เคยมานอนเดี๋ยวนี้มีป้ายเขียนว่าห้ามนอนแล้วล่ะครับ:)
วันรุ่งขึ้นต่อเรือที่ท่าเรือฟุกุโอกะเพื่อจะไปเกาะโอกินาว่า ใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมง นานก็จริงแต่หลังจากเหนื่อยกับรถไฟมาแล้วที่เรือนี่เหมือนสวรรค์เลยเพราะมีเตียงให้นอนด้วยล่ะครับ พอถึงจุดหมายปลายทางผมก็เที่ยวที่เกาะโอกินาว่าอีกหลายวัน และกลับมาที่ฟุกุโอกะอีกแต่ขากลับโตเกียวนี่พี่ไม่นั่งมูนไลท์แล้วครับ ยอมซื้อตั๋วชินกันเซ็นกลับได้ไวในพริบตาสบายกว่ากันเยอะเลย เป็นอันว่ายังไงการไปเที่ยวโอกินาว่าก็ยังเป็นความประทับใจของผมเช่นเคย จนครั้งที่สามผมก็ไปพร้อมกับเพื่อนคนไทยแล้วไปคุเมจิม่าเหมือนเดิมครับ ทุกคนประทับใจอย่างที่ผมบอกไป
นี่ก็เป็นเรื่องราวเล็กๆ สำหรับการเดินทางแบบคนญี่ปุ่นแบ็คแพ็คในประเทศโดยรถไฟและเรือ รู้สึกก่อนหน้านี้ผมเคยเล่าเรื่องโบกรถเที่ยวในญี่ปุ่นไปบ้างแล้วเหมือนกันนะครับ ผมอยากแนะนำว่าถ้าท่านใดสนใจลองไปเที่ยวโอกินาว่าดูนะครับ น่าจะมีสายการบินที่บินจากเมืองไทยไปด้วย ยิ่งช่วงหน้าหนาวญี่ปุ่นแบบนี้ราคาโรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่โอกินาว่าจะถูกกว่าช่วงหน้าร้อนมาก เพราะช่วงนั้นเป็นไฮท์ซีซันนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะทั้งคนญี่ปุ่นและคนต่างประเทศ ส่วนแหล่งท่องเที่ยวนั้นมีมากมายนอกจากทะเลและหาดทรายสวยๆ แล้วเพื่อนๆ อาจจะไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวในเมือง ยกตัวอย่างนิดหน่อยเช่น
☆ ปราสาทชูริ (首里城 Shuri-jou) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักและควรไปอีกที่หนึ่งในโอกินาว่า มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมายังปราสาทชูริแห่งนี้เพื่อเข้าชมความงดงามของปราสาทอันเก่าแก่แห่งนี้ ซึ่งถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 โดยกษัตริย์แห่งริวกิว และถูกบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่อีกครั้งภายครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสถานที่ที่น่าไปเยือนสักครั้งครับ
☆Ocean Expo Park เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะโอกินาว่า เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1975 ตามคอนเซ็ปต์ของพระอาทิตย์ ดอกไม้ และมหาสมุทร โดย Ocean Expo Park แบ่งออกเป็น 3 โซนหลักๆ ได้แก่ โซนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม สามารถชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวโอกินาว่าชาวริวกิวดั้งเดิม มีการจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวประมง ถัดมาเป็นโซนมหาสมุทรเป็นที่ที่จะได้เพลิดเพลินชมความงามของใต้ท้องทะเลในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 沖縄美ら海水族館 Okinawa Churaumi Aquarium และชมการแสดงปลาโลมา เต่าทะเลหายาก และอีกมากมาย และโซนสวนดอกไม้และพื้นที่สีเขียวจะมีสวนไม้รุกขชาติและชมความงดงามของพืชไม้สายพันธุ์ต่างๆ มากมายเลยครับ
วันนี้เล่าเรื่องเบาๆ ชวนเที่ยวญี่ปุ่นกันเท่านี้ วันนี้สวัสดีครับ