แคมเปญท่องเที่ยวตามรอยละครดัง “รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน” เป็นการพลิกโฉมครั้งสำคัญของการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ในแนวทางเดียวกับเกาหลีใต้ที่รุกหนักด้านการท่องเที่ยวตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และเมื่อผสานกับนโยบายหลักของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ที่มุ่งมั่นให้ญี่ปุ่นเป็น “ประเทศที่มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยว” โดยปลดเงื่อนไขวีซ่าที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญในการเดินทางไปญี่ปุ่น ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลไปยังแดนอาทิตย์อุทัยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา....ลูกพระอาทิตย์กำลังจะฟื้นคืนชีพในทุกมิติ และการกลับมาครั้งนี้มีการวางยุทธศาสตร์อย่างสอดรับกันมากที่สุดเพื่อทวงบังลังก์ “พี่ใหญ่แห่งเอเชีย”
ญี่ปุ่นมีแหล่งท่องเที่ยว อาหาร วัฒนธรรม และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เหนือกว่าเกาหลีใต้อย่างมาก แต่เหตุผลหลักที่ทำให้แดนโสมขาวกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทย ก็คือ การสร้างกระแสอย่างเป็นระบบด้วยความร่วมมือของรัฐบาล สื่อมวลชน ภาคเอกชน และที่สำคัญ คือ คนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าไปท่องเที่ยวเกาหลีใต้ แต่เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศงดเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้กับคนไทย ทำให้นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปยังแดนซากุระเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 โดยเมื่อปีที่แล้ว นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปญี่ปุ่นมากถึง 657,600 คน สูงที่สุดในชาติอาเซียน และสูงเป็นอันดับที่ 5 ของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
การดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาญี่ปุ่นถือเป็นความสำเร็จที่เห็นได้ชัดที่สุดในนโยบายเศรษฐกิจของนายกฯอาเบะ โดยบรรลุเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ล้านคนก่อนกำหนด เมื่อปีที่แล้ว และยังได้ตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ 20 ล้านคนภายในปี ค.ศ. 2020 ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดขึ้นจากทุกปัจจัยที่ถูกวางให้สอดรับกัน ทั้งการผ่อนคลายวีซ่า, ค่าเงินเยนที่อ่อนตัวมากเป็นประวัติการณ์, การเพิ่มเที่ยวบินโดยเฉพาะสายการบิน Low Cost Carrier, การยกเว้นภาษีให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ครอบคลุมแม้กระทั่งสินค้าทั่วไปอย่างอาหาร, ยา และเครื่องสำอางค์ นอกจากนี้ ท้องถิ่นต่าง ๆ ในญี่ปุ่นยังเร่งทำการตลาดเชิงรุกเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวไทยถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญอย่างมาก จังหวัดท้องถิ่นต่างๆของญี่ปุ่นทำประชาสัมพันธ์ และติดป้ายในร้านค้าเป็นภาษาไทยมากขึ้น ร้านค้าบางแห่งในญี่ปุ่นยังมีประกาศเสียงตามสายเป็นภาษาไทย และมีพนักงานบริการที่พูดภาษาไทยด้วย
หากเข้าไปยังเว็บไซต์ของ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น จะพบโครงการที่ท้าทายที่สุดเท่าที่เคยมีมา เช่น 300ภารกิจพิชิตญี่ปุ่น รวมทั้งโครงการท่องเที่ยวจากทุกภูมิภาค แสดงให้เห็นว่า การท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้ก้าวข้ามการเชิญชวนให้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว โดยเข้าสู่การยกระดับให้คนไทยเดินทางมายังญี่ปุ่นในทุกฤดูกาลและทุกพื้นที่ แม้กระทั่งหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา อย่าง หมู่บ้านโอทาริ ก็ยังมีโฆษณาส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นภาษาไทย
อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนญี่ปุ่นกว่า 10ล้านคนต่อปียังถือว่าห่างชั้นมากเมื่อเทียบกับฝรั่งเศส ที่มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 84ล้านคนต่อปี, สหรัฐอเมริกา 69ล้านคน, จีน 55 ล้านคน และก็ยังน้อยกว่าประเทศไทย ที่มีนักนักท่องเที่ยวมาเยือนมากกว่า 26 ล้านคนต่อปี
รัฐบาลของนายกฯชินโซ อาเบะได้ออกแบบยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “อาเบะโนมิกส์” ด้วยแนวทางที่แตกต่างจากวิถีอนุรักษ์นิยมของญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง โดยประกาศจะพลิกฟื้นญี่ปุ่นที่ซบเซามานานกว่า 10 ปี รวมทั้งฟื้นฟูความเสียหายจากเหตุคลื่นสึนามิถล่ม เมื่อปี 2011 นายกฯอาเบะไม่เพียงเป็นผู้นำญี่ปุ่นที่เดินทางเยือนต่างประเทศมากที่สุดเพื่อเพิ่ม “พื้นที่ของญี่ปุ่นบนเวทีโลก” แต่ยังส่งนางอากิเอะ อาเบะ ภรรยาคู่ใจไปเยี่ยมเยือนเขตชนบทของญี่ปุ่นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนควบคู่กันด้วย หากแต่ความสำเร็จเพียงแค่เรื่องท่องเที่ยวไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าญี่ปุ่นได้ผ่านพ้น “ทศวรรษที่สูญหาย” แล้ว อาเบะโนมิกส์จึงอาจเป็นการวางเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของแดนอาทิตย์อุทัย เหมือนเช่นการ “ปฏิวัติเมจิ” ที่เคยสร้างจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นอันไพศาลมาแล้ว.