โรคผื่นกุหลาบ (Pityriasis rosea) คืออะไร
ผื่นกุหลาบ คือ โรคผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่ง ที่มักเกิดขึ้นบ่อยในช่วงฤดูฝน โดยจะมีผื่นสีชมพูบนผิวหนัง และบริเวณผื่นอาจมีอาการคันและทำให้ไม่สบายตัว ในบางกรณีบริเวณที่เป็นผื่นกุหลาบมีอาการผิวหนังลอกหรือเป็นขุยได้ หรืออาจเกิดแผลพุพองได้อีกด้วยสำหรับคนที่มีอาการค่อนข้างหนัก มักจะพบบ่อยในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 10 - 35 ปี โดยยังไม่ทราบสาเหตุที่เกิดอย่างแน่ชัด
การวินิจฉัยและอาการของ ผื่นกุหลาบ (Pityriasis rosea)
ผื่นกุหลาบ มักจะขึ้นที่บริเวณหน้าอก หน้าท้อง หลัง มีลักษณะเป็นแผลสีแดง นูนขึ้นเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการอื่นๆที่รุนแรง เช่น อาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย มีไข้หรือเจ็บคอ และสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ ซึ่งแต่ละระยะจะมีอาการแตกต่างกันไป โดยมักมีลักษณะเฉพาะตัวและปรากฏขึ้นตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
ระยะแรก : ผื่นแจ้งข่าว หรือ ผื่นแม่ หรือ ผื่นนำ (Herald Patch) ที่ชัดเจน
โดยจะมีผื่นวงใหญ่เพียงผื่นเดียวปรากฏขึ้นมาก่อน เรียกว่า “Herald Patch”
ลักษณะ: เป็นผื่นรูปวงรี สีชมพูหรือแดง ขอบยกนูนเล็กน้อย และมีขุยละเอียดอยู่ด้านในขอบวง ย่นตรงกลาง และมีขอบชัดเจน
ขนาด: มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-6 เซนติเมตร
ตำแหน่ง: มักพบบริเวณลำตัว หน้าท้อง หรือแผ่นหลัง
ระยะที่สอง: การกระจายตัวของผื่น เริ่มเป็นผื่นกระจาย
หลังจาก “ผื่นแม่” อาการจะปรากฏขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ จะเริ่มมีผื่นลักษณะคล้ายกันแต่มีขนาดเล็กกว่า เรียกว่า “ผื่นลูก” ขึ้นกระจายตามมา
ลักษณะ: เป็นผื่นวงรีลักษณะคล้ายกันแต่ขนาดเล็กกว่าผื่นแม่
ตำแหน่ง: มักกระจายตัวอยู่บริเวณลำตัว แผ่นหลัง หน้าอก และต้นแขนต้นขา และข้อพับต่างๆ แต่มักไม่พบบริเวณใบหน้า ฝ่ามือ หรือฝ่าเท้า
อาการของโรคผื่นกุหลาบ
ครีมบำรุงผิวสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง แดง คัน แพ้ง่าย ลดการอักเสบจากผื่น
การรักษาและดูแลสำหรับผู้ที่เป็น โรคผื่นกุหลาบ
โดยปกติแล้วโรคผื่นกุหลาบจะค่อยๆ หายได้เองภายใน 2-12 สัปดาห์โดยไม่ต้องใช้ยาเฉพาะ และมักไม่ทิ้งรอยแผลเป็น ดังนั้นเป้าหมายหลักของการรักษาจึงไม่ใช่การกำจัดผื่นให้หายทันที แต่เป็นการ "ประคับประคองตามอาการ" เพื่อลดอาการคัน ลดการอักเสบ และป้องกันการระคายเคืองผิวให้ได้มากที่สุด
1. การรักษาทางการแพทย์
ยาแก้แพ้ (Antihistamines): ชนิดรับประทานเพื่อช่วยควบคุมอาการคัน
ยาทาสเตียรอยด์: ชนิดที่สั่งโดยแพทย์ซึ่งมีความแรงกว่ายาทั่วไป เพื่อลดการอักเสบ
ยาต้านไวรัส: ในบางกรณีที่รุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส เช่น Acyclovir
การฉายแสง (Phototherapy): เป็นการรักษาด้วยแสง UVB ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยให้ผื่นยุบเร็วขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
2. การดูแลตัวเองที่บ้านเพื่อบรรเทาอาการ
การรักษาพื้นที่อยู่อาศัยให้สะอาด และชำระล้างร่างกาย ในบริเวณที่เป็นผื่นด้วยสบู่อ่อนๆ และหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น หรือร้อนจัด
อาบน้ำเย็น หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือร้อนจัดเพื่อลดการกระตุ้นอาการคัน
ใช้สบู่อ่อนโยน เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีส่วนผสมของสบู่และน้ำหอม (Soap-free, Fragrance-free)
ประคบเย็นเมื่อมีอาการคัน ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่มีอาการคันเพื่อช่วยบรรเทา
หลีกเลี่ยงการเกาตามผื่นแดงจะยิ่งทำให้อาการแย่ลงและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
สวมเสื้อผ้าโปร่งสบาย เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายเพื่อลดการระคายเคืองและการเสียดสี
ใช้ยาทาเบื้องต้น สามารถใช้คาลาไมน์โลชั่น หรือครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1% (หาซื้อได้ตามร้านขายยา) ทาบางๆ เพื่อลดอาการคัน
หากอาการผื่นกุหลาบไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้หรือหายใจลำบาก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
การดูแลตัวเอง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย
ทาครีมบำรุงผิว หลังอาบน้ำควรทามอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวแพ้ง่ายทันที เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิว เพื่อให้การดูแลมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


