นอกเหนือจากหัวใจแล้วนั้น “ปอด” ก็เป็นอีกอวัยวะสำคัญที่ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน ในทุกการหายใจของเรา ปอดต้องทำหน้าที่อย่างหนักเพื่อกรองของเสียที่แฝงเข้ามากับอากาศ เพื่อนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา นอกจากนี้ปอดยังช่วยระบายความร้อน และควบคุมอุณหภูมิของร่างกายอีกด้วย
รู้หรือไม่? หากปอดหยุดทำงาน…เราจะเสียชีวิตภายในไม่กี่นาที
แล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าวันหนึ่งปอดของเราไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเดิม
ใส่ใจปอดกันสักนิด
เพราะปอดเป็นอวัยวะที่ขึ้นชื่อเรื่องความ อึด…ถึก…ทน กว่าจะแสดงอาการผิดปกติต่างๆ ออกมานั้น ก็แทบจะเป็นระยะรุนแรงแล้ว “การตรวจสมรรถภาพปอด” (Pulmonary Function Testing) จึงเป็นวิธีการสำคัญที่จะช่วยให้เราฟังเสียงเรียกร้องของปอดก่อนที่อาการจะปรากฏ การตรวจสมรรถภาพปอดต้องอาศัยความร่วมมือของผู้เข้ารับการตรวจในการออกแรงเป่าอย่างเต็มที่ และผู้ควบคุมการตรวจ จำเป็นต้องมีความเข้าใจ ความชำนาญ และประสบการณ์ในการตรวจ จึงจะได้ผลตรวจที่แม่นยำ
ตรวจสมรรถภาพปอด ไม่ยากอย่างที่คิด
การตรวจสมรรถภาพปอดแตกต่างจากการตรวจเอกซเรย์ปอดทั่วไป ทำให้ทราบถึงประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ โดยวัดปริมาตรอากาศเข้า-ออกจากปอด วัดขนาดของระบบทางเดินหายใจ และวัดการรับปริมาณออกซิเจน ส่วนการตรวจเอกซเรย์ปอดจะเป็นเพียงการตรวจเพื่อดูภาพรังสีอวัยวะปอดว่ามีรอยโรคในปอดหรือไม่ แต่ไม่สามารถวัดประสิทธิภาพการทำงานของปอดได้
การตรวจสมรรถภาพปอดทำได้ง่าย ใช้เวลาเพียง 15-30 นาที โดยผู้เข้ารับการตรวจไม่จะเป็นต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่สวมใส่เสื้อผ้าที่สบาย ไม่รัดแน่นหรือคับจนเกินไป เพื่อให้ออกแรงหายใจได้เต็มที่ และไม่ควรทานอาหารจนอิ่มแน่นก่อนเข้ารับการตรวจ สำหรับผู้ที่ใช้ยาขยายหลอดลมควรหยุดยาก่อนการตรวจ รวมทั้งหยุดสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการตรวจ
วิธีการตรวจแบบมาตรฐานที่นิยมใช้กันทั่วไป คือ สไปโรเมตรีย์ (Spirometry) เป็นการตรวจวัดปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้าและออกจากปอดผ่านการสูดลมและเป่าออกทางปาก โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Spirometer วิธีการนี้เป็นการทดสอบสมรรถภาพปอดที่ให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดยค่าที่ตรวจวัดได้และมีความสำคัญต่อการประเมินสมรรถภาพของปอด ประกอบด้วย
FVC (Forced Vital Capacity) คือปริมาตรของอากาศที่เป่าออกอย่างเร็ว-แรงจนหมด หลังจากหายใจเข้าอย่างเต็มที่ ค่า FVC จะแสดงถึงปริมาตรอากาศที่จุอยู่ในปอดเกือบทั้งหมด ค่านี้จะลดต่ำลงเมื่อเนื้อเยื่อปอดมีการ เปลี่ยนแปลงเกิดเป็นพังผืด หรือปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่
FEV 1 (Forced Expiratory Volume in one second) คือปริมาตรของอากาศที่เป่าออกอย่างเร็ว-แรง ในวินาทีที่ 1 ซึ่ง FEV 1 นี้จะใช้คำนวณร่วมกันกับ ค่า FVC
จากนั้นผู้เชี่ยวชาญก็จะนำค่าทั้ง 2 มาคำนวณเพื่อประเมินความสามารถในการที่จะเป่าอากาศออกจากปอด ซึ่งจะทำให้ทราบได้ว่าปอดมีความผิดปกติหรือไม่ และทางเดินหายใจถูกอุดกั้น หรือมีความยืดหยุ่นลดลงหรือไม่ โดยค่าปกติทั่วไปจะต้องมีค่าที่มากกว่า 70 %
ใครบ้างที่ควรตรวจ
ผู้ที่สูบบุหรี่ และผู้ที่ใกล้ชิดกับคนสูบบุหรี่
ผู้ที่โดยสารรถสาธารณะเป็นประจำ
ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นประจำ
ผู้ที่อาศัยในบริเวณที่มีมลภาวะเป็นพิษสูง เช่น ใกล้โรงงาน ใกล้ถนน
ผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง (ไอติดต่อกันมากกว่า 8 สัปดาห์ขึ้นไป)
ผู้ที่มีอาการเหนื่อยง่าย หรือรู้สึกว่าหายใจลำบาก
ผู้ที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้อากาศ โรคหอบหืด ถุงลมโป่งพอง
ผู้ที่ประกอบอาชีพสุ่มเสี่ยง หรือทำงานในที่ที่มีมลภาวะเป็นพิษสูง เช่น ทำงานในโรงงานมีฝุ่น ทำเหมือง โม่หิน มีไอสารเคมี รวมทั้งตำรวจจราจร


