xs
xsm
sm
md
lg

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



องค์การอนามัยโลก ประกาศเตือนเรื่อง "สารให้ความหวานแทนน้ำตาล" หรือ non-sugar sweeteners – NSS ไม่ได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์ในระยะยาวต่อร่างกาย รวมถึงด้านการควบคุมหรือลดน้ำหนัก ทั้งในผู้ใหญ่หรือเด็ก และการใช้ในระยะยาวนั้นอาจเสี่ยงต่อสุขภาพ

ล่าสุด องค์การอนามัยโลก ออกมาเปิดเผยว่า การบริโภคอย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภท 2 / โรคหัวใจและหลอดเลือด / และการเสียชีวิตในผู้ใหญ่

ในแถลงการณ์ระบุว่า “คำแนะนำนี้ใช้กับทุกคน ยกเว้นบุคคลที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว และรวมถึงสารให้ความหวานสังเคราะห์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือดัดแปลงทั้งหมดที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งไม่จัดอยู่ในประเภทน้ำตาลที่พบในอาหารและเครื่องดื่มที่ผลิตขึ้น หรือขายเองเพื่อเติมลงในอาหารและเครื่องดื่ม โดยผู้บริโภค”

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำในเรื่องการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการเลือกรับประทานอาหารแทน เช่น รับประทานอาหารที่เป็น Real Food ไม่ผ่านกระบวนการดัดแปลง หรือ ทานจากผักผลไม้แทน แต่ต้องคำนึงในเรื่องของปริมาณด้วย

"สารให้ความหวานแทนน้ำตาล" คืออะไร

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือ Sweetener เป็นวัตถุเจือปนอาหารชนิดหนึ่งที่ใช้เพิ่มความหวานให้กับอาหารและเครื่องดื่มแทนน้ำตาล มีทั้งแบบให้พลังงานและไม่ให้พลังงาน โดยมักจะนิยมใช้ในผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลและพลังงาน อย่างผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก

ขณะเดียวกัน สารให้ความหวานส่วนใหญ่มักใช้ในปริมาณที่เล็กน้อยเนื่องจากให้ความหวานกว่าน้ำตาลหลายเท่าและยังช่วยลดพลังงานที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล มีแบบไหนบ้าง

1.สารให้ความหวานที่ให้พลังงาน ได้แก่ ฟรุกโทส (น้ำตาลจากผลไม้) มอลทิทอล ซอร์บิทอล และ ไซลิทอล สารให้ความหวานกลุ่มนี้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ควบคุมน้ำหนัก และ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน

2.สารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน หรือให้พลังงานต่ำ ได้แก่ ซูคราโลส สตีเวีย (สารสกัดจากหญ้าหวาน) แอสปาแตม อะซิซัลเฟม-เค และ แซคคารีน (ขัณฑสกร) สารให้ความหวานกลุ่มนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ผลเสียของ “สารให้ความหวานแทนน้ำตาล”

- ในกลุ่มน้ำตาลแอลกอฮอล์ เช่น ซอร์บิทอล แมนนิทอล เป็นชนิดน้ำตาลที่ไม่สามารถย่อยได้หมด อาจเกิดอาการมวลท้อง ท้องอืด และท้องเสียได้

- การบริโภคสารให้ความหวานเป็นประจำ อาจจะทำให้เรารู้สึกติดรสหวานได้ ทำให้ไม่สามารถควบคุมอาหารการกินได้อย่างเต็มที่

- ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่เป็นไมเกรน ผู้ป่วยโรคลมชัก และเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี

- ในงานวิจัยของสมาคมหัวใจอเมริกัน พบว่า การรับประทานสารให้ความหวานแทนน้ำตาลแบบสังเคราะห์ เพิ่มความเสี่ยงกับการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง และความจำเสื่อม

- น้ำตาลเทียมบางชนิด หากบริโภคมากเกินไป อาจพบผลข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ, คลื่นไส้ วิงเวียน บางชนิดกระตุ้นการเกิดกรดในกระเพาะ เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะได้

คำแนะนำในการบริโภคน้ำตาล

-ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน

-แม้น้ำผึ้งจะเป็นน้ำตาลที่พบในธรรมชาติ แต่หากบริโภคมากเกินไป จะทำให้ค่าไขมันไตรกลีซอไรด์สูงได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบ ของน้ำตาลกลูโคสและฟรักโทส

-สตีวีโอไซด์ (หญ้าหวาน) เป็นสารให้ความหวานที่ปลอดภัย ต่อผู้บริโภค ควรบริโภคไม่เกิน 4 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน
กำลังโหลดความคิดเห็น