รู้จักกับที่มาของ "ชาขาว" ก่อนนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม
ชาขาว (White Tea) ถูกทำมาจากพืชที่มีชื่อเรียกว่า Camellia sinensis ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน และอินเดีย ส่วนมากผู้คนมักนิยมไปเก็บเกี่ยวต้นชานี้ในฤดูใบไม้ผลิ ของเขตทางเหนือฝูเจี้ยน ถึงแม้จะมาจากพันธุ์พืชเดียวกันกับชาเขียว ชาดำ แต่ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย
เนื่องจากชาขาวเป็นชาที่ผ่านกระบวนการการแปรรูปหรือผ่านขั้นตอนการสกัดมาน้อยกว่าชาประเภทอื่นๆ จึงทำให้ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นชา ทั้งกลิ่น และรสชาติคงเดิมไว้ ไม่เปลี่ยนแปลงมากเหมือนกับชาอื่นๆ
ประโยชน์ทั้ง 5 ของ "ชาขาว" ที่คุณควรรู้ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
โพลีฟีนอล (Polyphenols) เป็นหนึ่งในโมเลกุลจากพืชที่เป็นตัวต้านสารอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่คอยซ่อมแซมเซลล์ที่ได้รับความเสียหาย ต้านการอักเสบ และเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย เพราะสารจากธรรมชาติเหล่านี้จะสามารถเข้าไปปกป้องไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยได้
ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
ในการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ผู้ที่ดื่มชาขาวในปริมาณ 3 ถ้วยขึ้นไป ต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจลดลงถึง 21% เพราะสารโพลีฟีนอลมีคุณสมบัติช่วยปรับปรุงหลอดเลือดให้เกิดการไหลเวียน และลดระดับคอเลสเตอรอลที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคหัวใจ
ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
เมื่อถูกสภาพแวดล้อมรอบข้างทำร้ายผิว โดยเฉพาะรังสียูวีจากแสงแดด อาจสามารถส่งผลทำร้ายผิวคุณได้โดยตรง จนเซลล์ผิวเกิดความเสียหายอย่างหนักกลายเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งการดื่มชาขาวอย่างสม่ำเสมออาจช่วยปกป้องผิวชองคุณได้ด้วยจากใยอาหาร ไฟเบอร์ และสารประกอบในใบชา
ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพช่องปาก
ชาขาวเป็นแหล่งรวมของสารประกอบที่มีประโยชน์หลายประเภท ซึ่งแน่นอนว่าฟลูออไรด์ (Fluoride) แคเทชิน (Catechin) และ แทนนิน (Tannin) ก็อยู่ในใบชานี้ด้วย เมื่อเกิดการรวมกัน ทำให้การทำงานของโมเลกุล 3 ชนิดนี้ เข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่ก่อให้เกิดอาการฟันผุ และทำให้พื้นผิวของฟันมีความแข็งแรงขึ้น ป้องกันอาหารที่มีความเป็นกรดเข้ามากัดกร่อนทำลายชั้นฟันภายใน
ชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ในการศึกษาหนึ่งพบว่า สารสกัดจากชาขาวมีส่วนช่วยในการชะลอ หรือหยุดการเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้ และป้องกันเซลล์ที่ได้รับความเสียหายจากสารอันตรายได้ แต่ถึงอย่างไรคงจำเป็นต้องมีการพิสูจน์และทดลองของสารจากธรรมชาติในต้นชานี้ต่อไป เพื่อผลลัพธ์ที่แน่ชัด
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการดื่มชา
องค์การอาหาร และยาแห่งสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration ; FDA) ชี้ว่า ภายในชาขาว อาจมีส่วนผสมของคาเฟอีนร่วมอยู่ด้วย แต่มีปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเทียบกับ ชาเขียว (Green tea) และ ชาดำ (Black tea) เพราะชาดังกล่าวนี้ อาจมีปริมาณของคาเฟอีนสูงถึง 30-50 มิลลิกรัม
ดังนั้นผู้ที่แพ้คาเฟอีน อาจมีพฤติกรรมถึงอาการที่แตกต่างกันไป และหากคุณเคยมีประวัติการแพ้สารนี้ โปรดหลีกเลี่ยงการดื่มชาดังกล่าว และหันมารับประทานน้ำผัก ผลไม้ทดแทน จะเป็นการดีที่สุด