เรามาทำความรู้จักกับวุ้นลูกตาและจอประสาทตากันก่อนครับ...
ตาของคนเราเปรียบเสมือนกับลูกมะพร้าว โดยที่วุ้นลูกตา (Vitreous) จะเปรียบเหมือนน้ำมะพร้าวที่อยู่ตรงกลาง (แต่เป็นวุ้นแทนที่จะเป็นน้ำ) ซึ่งมีปริมาตรคิดเป็น 2 ใน 3 ของดวงตาทั้งหมด และจอประสาทตา (Retina) จะเปรียบเหมือนเนื้อมะพร้าวที่ฉาบอยู่กับกะลามะพร้าว โดยจอประสาทตาจะทำหน้าที่คอยรับแสงและเปลี่ยนเป็นสัญญาณประสาทเพื่อให้สมองแปลออกมาเป็นภาพ ซึ่งตามปกติแล้วผิวด้านหลังของวุ้นลูกตาจะมีแรงยึดติดกับจอประสาทตาเอาไว้บางส่วน
แต่พอเราอายุมากขึ้น วุ้นลูกตาจะเกิดการเสื่อมและกลายสภาพจากวุ้นไปเป็นของเหลวและมีการหดตัว โดยกระบวนการดังกล่าวจะทำให้เกิดการลอกตัวของวุ้นลูกตาออกจากจอประสาทตา ซึ่งขั้นตอนนี้ล่ะครับบางครั้งอาจจะเกิดแรงดึงบนจอประสาทตาและทำให้เรามีอาการเห็นแสงวาบหรือฟ้าแลบได้
แล้วอาการเห็นแสงวาบหรือแสงฟ้าแลบ น่ากลัวตรงไหน ?
มาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านคงเข้าใจแล้วนะครับ ว่าทำไมคนไข้ที่มีวุ้นตาเสื่อมและมีแรงดึงบนจอประสาทตา มักจะเห็นแสงวาบหรือฟ้าแลบ โดยบางครั้งแรงที่ดึงอาจมากจนทำให้จอประสาทตาฉีกขาดเป็นรูได้ ทั้งที่ไม่มีความรู้สึกเจ็บแต่อย่างใด นอกจากนี้จอประสาทตาที่เป็นรูยังอาจเกิดการหลุดลอกออกมา ทำให้เรามองเห็นเป็นเงาหรือม่านดำมาบังภาพเอาไว้ ซึ่งโรคจอประสาทตาหลุดลอกนั้นจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดและอาจมีผลต่อการมองเห็นในระยะยาวได้
แล้วการตรวจตั้งแต่เริ่มมีอาการ มีประโยชน์อย่างไร ?
คนไข้ที่มีอาการเห็นแสงวาบ หากรีบมาตรวจและพบว่าจอประสาทตาฉีกขาดหรือเป็นรูโดยที่ยังไม่มีการลอกตัวของจอประสาทตาเกิดขึ้น ส่วนใหญ่แพทย์จะสามารถยิงเลเซอร์ล้อมรอบรอยฉีกขาดบนจอประสาทตา เพื่อช่วยป้องกันการลอกตัวของจอประสาทตาเอาไว้ได้ โดยที่ไม่ต้องผ่าตัดครับ
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว หากท่านมีอาการเห็นแสงวาบในลูกตา จึงไม่ควรปล่อยเอาไว้ ควรให้ความสนใจและรับการตรวจสุขภาพดวงตาและจอประสาทตาโดยจักษุแพทย์ เพื่อที่จะได้รับคำแนะนำหรือการรักษาที่รวดเร็ว ก่อนที่จะต้องสูญเสียการมองเห็นไปครับ