รอยเตอร์ - วินฟาสต์ (VinFast) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของเวียดนามกำลังชะลอการเปิดตัวโรงงานมูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ไปเป็นปี 2571 และลดการคาดการณ์การส่งมอบรถในปีนี้ลง 20,000 คัน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก
บริษัทวินฟาสต์ ที่ก่อตั้งโดยฝ่าม เญิต เวือง มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดของเวียดนามในปี 2560 และหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบในปี 2565 ระบุว่า บริษัทตั้งเป้าส่งมอบรถยนต์ที่ 80,000 คันในปีนี้ ลดลงจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 100,000 คัน
ยอดขายของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนามเพิ่มขึ้น 24% ที่ประมาณ 12,000 คันในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยรวมแล้ววินฟาสต์ขายรถได้ 21,747 คัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้น 92% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียง 1 ใน 4 ของเป้าหมายยอดขายเดิม
“แม้ผลการส่งมอบไตรมาสที่ 2 ดีขึ้น แต่ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจมหภาค และภาพรวมของรถยนต์ไฟฟ้าโลก ส่งผลให้ต้องมีความรอบคอบมากขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปี” วินฟาสต์ระบุในคำแถลง
ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้ยังคงคาดว่ายอดขายจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในครึ่งหลังของปี โดยได้แรงหนุนจากผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและการขยายตัวในภูมิภาคสำคัญ รวมถึงตลาดใหม่ในเอเชียและตลาดที่มีอยู่เดิม
ในคำแถลง วินฟาสต์ระบุว่า บริษัทจะชะลอการเปิดตัวโรงงานในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ไปเป็นปี 2571 จากแผนเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2568
วินฟาสต์ได้ประกาศในปี 2565 ว่าบริษัทจะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในสหรัฐฯ ด้วยกำลังการผลิต 150,000 คันต่อปี โดยพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากความพยายามของรัฐบาลไบเดนในการอนุมัติเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในอเมริกา
อย่างไรก็ตาม ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าลดลงท่ามกลางต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นและผู้ซื้อหันไปหารถยนต์ไฮบริดที่มีราคาถูกลง ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายต้องประเมินแผนสำหรับโรงงานและโมเดลรถใหม่
“การตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้บริษัทปรับการจัดสรรเงินทุนและจัดการการใช้จ่ายระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นที่ทรัพยากรในการสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตระยะสั้น และเสริมการทำงานที่มีอยู่เดิมให้ดียิ่งขึ้น” วินฟาสต์ ระบุ
“การปรับเปลี่ยนนี้ไม่ได้เปลี่ยนกลยุทธ์การเติบโตขั้นพื้นฐานของวินฟาสต์ และเป้าหมายการดำเนินงานหลัก” คำแถลงของวินฟาสต์ระบุ
วินฟาสต์ที่ยังไม่ทำกำไร มีผลขาดทุนสุทธิ 618 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก รายได้สำหรับช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปีก่อนหน้า แต่ลดลง 31% จาก 3 เดือนก่อนหน้า
ทั้งนี้ บริษัทมีกำหนดประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ในวันที่ 15 ส.ค.