เอเอฟพี - รัฐยะไข่ของพม่ากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวที่ดูเหมือนจะนำไปสู่ความรุนแรงของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อ 8 ปีก่อนต่อชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญา ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติกล่าวเตือน
โทมัส แอนดรูว์ส ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยสถานการณ์ในพม่า ได้แสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ล่าสุดในรัฐยะไข่ของพม่าต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
“สถานการณ์ในรัฐยะไข่ที่รัฐบาลทหารกำลังสูญเสียดินแดนอย่างรวดเร็วให้กองทัพอาระกันมีความน่าสะพรึงกลัว” แอนดรูว์ส ระบุ
“สำหรับชาวโรฮิงญาที่ถูกกดขี่ ตกเป็นแพะรับบาป ถูกเอาเปรียบ และติดอยู่ท่ามกลางฝ่ายที่ทำสงคราม สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความรุนแรงที่นำไปสู่ความรุนแรงของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 2559 และปี 2560” แอนดรูว์ส ระบุ
เหตุปะทะเกิดทั่วรัฐยะไข่นับตั้งแต่กองทัพอาระกัน (AA) โจมตีกองกำลังความมั่นคงในเดือน พ.ย. ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ยุติการหยุดยิงที่ตกลงไว้หลังการรัฐประหารในปี 2564
สมาชิกของกองทัพอาระกันเข้ายึดดินแดนได้เป็นบริเวณกว้าง ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลทหารในขณะที่กำลังต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ
แอนดรูว์ ผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ที่ไม่ได้กล่าวในนามของสหประชาชาติ กล่าวว่า กองทัพพม่าเกณฑ์เยาวชนชาวโรฮิงญาหลายพันคนและระดมพวกเขาให้ต่อสู้กับกองทัพอาระกัน
แอนดรูว์สกล่าวว่า มีรายงานที่เชื่อมโยงทหารของกองทัพอาระกันกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพลเรือนโรฮิงญา ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมสำหรับทั้งชาวโรฮิงญาและชาวยะไข่เลวร้ายอย่างยิ่ง
เขากล่าวว่ามีผู้คนหลายแสนคนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในรัฐยะไข่
ในเดือน พ.ค. กองทัพอาระกันระบุว่าได้เข้ายึดเมืองบุติด่องในตอนเหนือของรัฐยะไข่ ที่เป็นบ้านของชาวมุสลิมโรฮิงญาจำนวนมาก
ในเวลาต่อมา ชาวโรฮิงญาพลัดถิ่นหลายกลุ่มกล่าวหาว่ากองทัพอาระกันบังคับให้โรฮิงญาหลบหนี และจากนั้นเข้าปล้นสะดมและเผาบ้านของพวกเขา คำกล่าวอ้างที่กองทัพอาระกันระบุว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ
กองทัพอาระกัน กล่าวว่า พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อสิทธิในการปกครองตนเองสำหรับประชากรชาติพันธุ์ยะไข่ของรัฐ ให้คำมั่นว่าจะยึดครองทั้งรัฐ.