xs
xsm
sm
md
lg

UN ชี้รัฐบาลทหารพม่ากำลังทำสงครามกับประชาชนของตนเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอเอฟพี - ผู้ปกครองทหารของพม่าในเวลานี้มองว่าพลเรือนเป็นฝ่ายตรงข้ามของพวกเขา และกำลังทำสงครามกับประชาชนของตนเอง ทำอันตรายกระทั่งความสามารถพื้นฐานในการดำรงชีวิต สหประชาชาติระบุวันนี้ (3)

ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า 2 ปีนับจากรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 ที่โค่นล้มรัฐบาลพลเรือนของอองซานซูจี สถานการณ์อยู่ในขั้นหายนะ และเสริมว่ากองทัพปฏิบัติการโดยไม่ต้องรับโทษใดๆ ทั้งสิ้น

ในรายงานการตรวจสอบช่วง 2 ปีแรกนับตั้งแต่การยึดอำนาจ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนกล่าวว่า มีประชาชนอย่างน้อย 2,940 คน ถูกสังหาร โดยในจำนวนดังกล่าว เกือบ 30% เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง

อย่างไรก็ตาม ยอดผู้เสียชีวิตที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้มาก

เจมส์ โรดเฮฟเวอร์ หัวหน้าทีมพม่าของสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระบุว่า กองกำลังติดอาวุธกำลังต่อสู้อยู่ตามแนวรบต่างๆ ประมาณ 13 แห่ง และเนื่องจากการต่อสู้ในหลายแนวรบดังกล่าว ทำให้กองทัพพึ่งพากองกำลังทางอากาศและปืนใหญ่มากขึ้นเพื่อเคลียร์ทางสำหรับกองกำลังภาคพื้นดิน โดยในปีที่ผ่านมา มีการโจมตีทางอากาศมากกว่า 300 ครั้ง

เกือบ 80% ของ 330 อำเภอในประเทศได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ รายงานระบุ

“ไม่เคยมีช่วงเวลาหรือสถานการณ์ใดที่วิกฤตในพม่าก้าวมาถึงขั้นนี้ ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ ในอดีตความขัดแย้งเกิดขึ้นในรัฐชาติพันธุ์ แต่ตอนนี้ความขัดแย้งลุกลามไปถึงกระทั่งดินแดนของคนเชื้อชาติพม่า” โรดเฮฟเวอร์ กล่าว

รายงานของสหประชาชาติระบุว่า บ้านเรือนเกือบ 39,000 หลังทั่วประเทศถูกเผาหรือทำลายในปฏิบัติการทางทหารนับตั้งแต่เดือน ก.พ.2565 เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2564 สำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติระบุ

กองทัพและหน่วยงานในสังกัดได้ดำเนินการจับกุม 17,572 ครั้งในช่วง 2 ปีแรกนับตั้งแต่รัฐประหาร

โรดเฮฟเวอร์กล่าวว่า รัฐบาลทหารกำลังใช้กลยุทธ์ ‘ตัดกำลัง 4 ด้าน’ ความพยายามที่จะตัดอาหาร กำลังพล การสื่อสาร และการเข้าถึงเงินหรือการดำรงชีวิตของฝ่ายตรงข้าม

“สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ตอนนี้คือการปฏิบัติต่อชาวพม่าในฐานะฝ่ายตรงข้ามและศัตรู กองทัพกำลังทำสงครามกับคนของตัวเอง พวกเขาสร้างวิกฤตที่ส่งผลให้เกิดการสูญเสีย การถดถอยในสิทธิมนุษยชนทุกด้าน และนั่นรวมถึงความสามารถพื้นฐานในการดำรงชีวิตและอนาคตทางเศรษฐกิจ” โรดเฮฟเวอร์ กล่าว.






กำลังโหลดความคิดเห็น