รอยเตอร์ - ข้อพิพาทที่ดินอย่างรุนแรงในเวียดนามได้นำไปสู่การปราบปรามโพสต์ต่างๆ บนสื่อสังคมออนไลน์ สัญญาณของการทวีความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ ในขณะที่ความต้องการที่ดินเพิ่มสูงจนก่อให้เกิดความขัดแย้งไปทั่วประเทศ นักวิเคราะห์และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนระบุ
ในเหตุปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่เมื่อสัปดาห์ก่อนในหมู่บ้านด่งเติม ใกล้กรุงฮานอย เมืองหลวงของประเทศ มีผู้เสียชีวิต 4 คน และเจ้าหน้าที่ได้เข้าจับกุมผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์หลายสิบคน
เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ชาวบ้านเข้าโจมตีกองกำลังทหารด้วยระเบิดมือ ระเบิดขวด และมีด จนเป็นเหตุให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 3 นาย และหัวหน้าหมู่บ้าน 1 คน ส่วนชาวบ้านในหมู่บ้านด่งเติม กล่าวว่า ฝ่ายตำรวจใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
องค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ เจ้าหน้าที่กล่าวว่าผู้ที่ถูกจับกุมตัวจะเผชิญต่อข้อหาฆาตกรรม และได้ปราบปรามโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวกับเหตุปะทะดังกล่าว นอกจากนั้น ยังมีนักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งถูกจับกุมตัวจากการโพสต์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วย
“สื่อสังคมออนไลน์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิทธิที่ดินในเวียดนาม ด้วยไม่มีทั้งสื่ออิสระและระบบศาลที่เป็นอิสระ มันจึงเป็นหนทางเดียวที่จะสร้างแรงกดดันที่สำคัญนอกชุมชน” นิโคลัส เบเกอแล็ง ผู้อำนวยการองค์การนิรโทษกรรมสากลประจำภูมิภาคระบุ และว่า การเซ็นเซอร์เป็นการโจมตีเสรีภาพในการแสดงออกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้
โฆษกกระทรวงข้อมูลและการสื่อสารเวียดนามไม่ตอบสนองต่อคำขอความเห็นในเรื่องนี้ ทั้งนี้ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า กระทรวงได้เริ่มดำเนินการสอบสวนเหตุปะทะที่เกิดขึ้น
กฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ของเวียดนามที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน ม.ค.2562 ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนว่าให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการเซ็นเซอร์การแสดงความคิดเห็นและกำหนดให้ผู้ให้บริการลบเนื้อหาที่เห็นว่าล่วงละเมิด
เป็นเวลาหลายปีที่ชาวบ้านหมู่บ้านด่งเติมประท้วงต่อสิ่งที่พวกเขาระบุว่าเป็นการยึดที่ดินอย่างไม่เป็นธรรมให้แก่สนามบินทหาร และ 3 ปีก่อน ชาวบ้านได้ควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและตำรวจหลายสิบนายอยู่นานหลายวันหลังเหตุการณ์จับกุมตัวผู้ชุมนุมประท้วง ซึ่งในตอนนั้น เจ้าหน้าที่ได้ให้คำมั่นว่าจะตรวจสอบข้อพิพาท
สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการระดมเสียงสนับสนุนจากประชาชนให้กับชาวบ้านในปี 2560 ตามการระบุของ จอห์น กิลเลสพี ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโมนาช ในออสเตรเลีย และผู้เชี่ยวชาญด้านข้อพิพาทที่ดินในเวียดนาม
กิลเลสพี กล่าวว่า รัฐบาลดูเหมือนจะตอบสนองอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกในครั้งนี้
“กรณีนี้แสดงให้เห็นถึงการยกระดับอย่างน่ากังวลในระดับของกองกำลังที่รัฐบาลเตรียมใช้ปราบปรามการคัดค้านของชาวบ้านต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ” กิลเลสพี กล่าว
ความขัดแย้งเรื่องที่ดินเป็นเรื่องปกติในเวียดนามที่พื้นที่ทำการเกษตรเพาะปลูกถูกจัดสรรใหม่ในช่วงทศวรรษ 1970 ระหว่างการปกครองของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในภาคเหนือ และนับตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์ที่ปกครองประเทศเริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจในปลายทศวรรษ 1980 พื้นที่เกษตรจำนวนมากถูกนำไปสร้างทางหลวงและเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งแม้จะมีกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ปกป้องชุมชนก็ตาม.