เอเอฟพี - ศาลเวียดนามตัดสินจำคุกตลอดชีวิตอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการสื่อสาร วันนี้ (28) จากการรับสินบนหลายล้านดอลลาร์ อีกหนึ่งความพยายามของรัฐบาลสายแข็งกร้าวในการปราบปรามการรับสินบนของบุคคลที่มีอำนาจในประเทศ
เหวียน บั๊ก เซิน ถูกตั้งข้อหาพร้อมกับเจื่อง มีง ต่วน รัฐมนตรีช่วยของเขาในขณะนั้น จากการรับสินบน จำนวน 3.2 ล้านดอลลาร์ เพื่ออนุมัติการจัดซื้อกิจการโทรทัศน์ในปี 2558 ที่จะส่งผลให้บริษัทโมบิโฟน ที่เป็นกิจการด้านโทรคมนาคมของรัฐต้องสูญเสียเงิน จำนวน 300 ล้านดอลลาร์
การพิจารณาคดีนาน 2 สัปดาห์ในกรุงฮานอยกับชายทั้งคู่ที่เคยเป็นสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ สิ้นสุดลงในวันนี้ (28) ตามการรายงานของสื่อทางการ
เหวียน บั๊ก เซิน ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีระหว่างปี 2554-2559 ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ขณะที่ เจื่อง มีง ต่วน ที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่อมาจนกระทั่งถูกไล่ออกในเดือน ก.ค.2561 ต้องโทษจำคุกนาน 14 ปี
“พฤติกรรมของจำเลยก่อให้เกิดความคิดเห็นที่ไม่ดีในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อรัฐอย่างใหญ่หลวง” สื่อทางการรายงานอ้างคำตัดสิน
คำตัดสินยังระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวยังก่อให้เกิดความสูญเสียต่อเงินกองทุนของรัฐอีก 300 ล้านดอลลาร์ แม้การทำธุรกรรมนั้นจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ตาม
เซิน ยอมรับต่อศาลว่าได้กระทำผิดและขอให้ศาลผ่อนผัน ขณะที่ต่วน กล่าวว่าเขารู้สึกละอายต่อความผิดพลาดของตน
ในเบื้องต้นอัยการได้เสนอโทษประหารชีวิตกับเซิน แต่เขาได้รับการผ่อนผันหลังเขาคืนเงินเมื่อวันศุกร์ (27) ก่อนศาลประกาศคำตัดสิน
ชายทั้งคู่ได้รับเงินจากฝ่าม เญิต หวู ผู้อำนวยการบริษัท Audio Visual Global กิจการโทรทัศน์ที่ประสบปัญหาขาดทุน ที่ยังถูกตัดสินโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี ขณะที่เจ้าหน้าที่ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องอีก 11 คน ได้รับโทษจำคุกระหว่าง 2-23 ปี
พี่ชายของหวู คือ ฝ่าม เญิต เวือง เป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินรวมหลายพันล้านดอลลาร์จากอาณาจักรธุรกิจที่ครอบคลุมตั้งแต่ที่อยู่อาศัย รีสอร์ตพักผ่อน ฟาร์ม โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า และรถยนต์
คดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชนซึ่งไม่คุ้นเคยที่จะได้เห็นบุคคลที่มีตำแหน่งอำนาจถูกตัดสินโทษ
นับตั้งแต่เวียดนามเปลี่ยนไปอยู่ในมือของคณะบริหารที่เป็นสายอนุรักษนิยมสุดโต่งในปี 2559 รัฐบาลได้ดำเนินการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเข้มข้น ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูง นายธนาคาร และนักธุรกิจหลายสิบคนต้องโทษจำคุก แต่ผู้สังเกตการณ์บางส่วนเชื่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีแรงจูงใจทางการเมืองเป็นตัวขับเคลื่อน.