MGR ออนไลน์ -- ต้นดือน พ.ย.สาว ตจว.จากที่ราบปากแม่น้ำโขง ได้เป็นเจ้าของมุงกุฎมิสเอิร์ธ 2018 จากการประกวดที่ฟิลิปปินส์ พอเดือนสุดท้ายของปี สาวกลุ่มชาติพันธุ์คนหนึ่งจากเขตที่ราบสูงตอนกลางของประเทศ ที่ถูกใครๆเรียกเสียๆหายๆเป็น "ลูกเป็ดขี้เหร่" สามารถปีนป่ายขึ้นไปจนถึง 5 อันดับสุดท้ายบนเวทีมิสยูนิเวิร์ส เวทีใหญ่อันดับ 1 ของโลกในการประกวดที่ไทยเป็นเจ้าภาพ สองเหตุการณ์นี้กลายเป็นไฮไล้ท์สำคัญของวงการบันเทิงเวียดนาม จนไม่สามารถจะเรียกเป็นอื่นได้ นอกจากต้องยกให้เป็นประวัติกาล และเป็นเกียรติประวัติ
ค่ำคืนวันที่ 3 พ.ย. ในการประกวดรอบสุดท้ายมิสเอิร์ธ 2018 ในปาไซซิตี้ (Pasay City) กรุงมะนิลา เหวียน เฟือง แคง (Nguyễn Phương Khánh) สาวนักศึกษาวัย 24 ปี ได้เป็นสาวสวยที่สุดบนเวทีใหญ่ 1 ใน 5 แห่งของโลก เอาชนะสาวงามจาก 90 ประเทศและดินแดนทั่วโลก ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก จนกระทั่งเพื่อนร่วมชาติเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะว่ากว่าสิบปีมานี้ไม่เคยมีสาวเวียดนามคนใด เฉียดเข้าใกล้มงกุฎของเวทีนี้มาก่อน
2561 เป็นเวลา 30 ปีพอดีตั้งแต่มีการประกวด "นางสาวเวียดนาม" หรือ Miss Vietnam ภายใต้ชื่อต่างๆกันตามยุคสมัย ตามมาด้วยการประกวดเวทีอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนางงามระดับชาติและเทพีท้องถิ่น และ เป็นเวลากว่า 20 ปีเช่นกัน นับตั้งแต่มิสเวียดนามคนแรกออกไปประชันในต่างแดน โดยยังไม่เคยมีผู้ใดเข้าใกล้เบอร์ 1 ของที่ไหน ใกล้ที่สุดก็เป็นรอบ 15-16 คนสุดท้ายเท่านั้น
มาย เฟือง ถวี (Mai Phương Thúy) มิสเวียดนาม 2006 ได้ไปร่วมประกวดมิสเวิลด์ ที่จัดขึ้นในประเทศโปแลนด์ปีเดียวกัน เธอไปถึงแค่ 16 คนบนเวทีใหญ่อันสองของโลก เธอคือ "น้องเฟือง" ที่เรา ต้องพูดถึงอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ -- การออกประชันในต่างแดนยังคงดำเนินต่อมาไม่เคยหยุด แต่ไม่มีอะไรที่ทำให้จิตใจหึกเหิม ไม่เคยมีใครได้อะไรกลับบ้าน เงียบเหงามา 15 ปีและเริ่มท้อแท้ จนกระทั่งเหวียน เฟือง แคง ผุดขึ้นมาจุดประกายแห่งความหวังเมื่อเดือนที่แล้ว
สาวชาว จ.เบ๊นแจ (Bến Tre) เคยคว้ารองอันดับ 2 จากเวทีประกวดสาวงามธิดาสมุทรโลก 2017 เวทีที่แทบไม่มีใครรู้จัก มงกุฎมิสเอิร์ธ 2018 ของเธอจึงทำให้วงการต้องครุ่นคิดกันหนัก ทั้งเกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าประกวด เกณฑ์ในการตัดสิน และ ยังต้องเรียนรู้ปัจจัยที่ทำให้สาวงามโนเนมคนนี้ไปประสบความสำเร็จในฟิลิปปินส์ -- กลายเป็นความสำเร็จที่สั่นสะเทือนวงการ
.
.
เฟือง แค็ง เติบโตมาอย่างลำบากที่บ้านเกิด พ่อแม่แยกทางกัน เรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายยังไม่จบ พี่ชายซึ่งเป็นช่างแต่งหน้าระดับแนวหน้าคนหนึ่ง นำเธอเข้านครโฮจิมินห์ เรียนสำเร็จชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่นั่น พาเข้าวงการนางแบบแฟชั่น จนกระทั่งก่อตั้งแบรนด์สื้อผ้าของตัวเองได้ ก่อนไปเรียนต่อในสิงคโปร์ ด้วยการสนับสนุนจากพี่และจากคุณแม่ ที่อพยพไปตั้งหลักแหล่งในประเทศฝรั่งเศส
การเป็นนักเรียนนอกทำให้มิสเอิร์ธชาวเวียดนาม สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้เป็นอย่างดีทั้งบนเวทีและในหมู่เพื่อนๆจากต่างแดน โดยไม่ต้องผ่านล่ามแปล ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในบรรดามิสเวียดนาม -- จนกระทั่งเฟืองแคงสามารถพิชิตสาวสวยตัวเกร็งตัวกลั่นจากเม็กซิโก โคลัมเบีย และ ออสเตรเลีย ได้ในที่สุด
แต่ก็มีเสียงกระแหนะกระแหนตามหลังมาเช่นกันว่า มิสเอิร์ธ 2018 ประสบความสำเร็จเพราะเป็น "สาวพลาสติก" ทำศัลยกรรมจมูกกับใบหน้า ไม่ใช่สาวสวยสวยธรรมชาติเช่นมิสเวียดนามคนก่อนๆ (ที่ไม่เคยประสบความสำเร็จ) ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดกันมาก เนื่องจากการประกวดในประเทศนั้น ไม่ว่าเวทีใดระดับไหนต่างก็ยึดถือกฎเกณฑ์จากเวทีระดับชาติที่กระทรวงวัฒนธรรมกำหนด คือผู้เข้าประกวดต้องไม่เคยผ่านการศัลยกรรมส่วนไหนของร่างกาย -- หลายคนบอกว่าเป็นคุณสมบัติสกัดดาวรุ่ง
**เกือบได้รองจักรวาล**
ความฮือฮามงกุฎมิสเอิร์ธครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศยังไม่ทันจางหายดี หะ เฮ็นนิเอ (H'Hen Niê) สาวชาวเอเด (Ede) ชนชาติส่วนน้อยจาก จ.ดั๊กลัก (Đắk Lắk) ได้เข้าเติมความฮือฮาให้วงการอีกคน เมื่อเธอทะยานขึ้นถึงรอบ 5 คน หวุดหวิดจะได้เป็นรองอันดับ 1 หรือ 2 ในคืนวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา
เฮ็นนิเอสร้างความประหลาดใจให้แก่เพื่อนร่วมชาติ -- เธอถูกต่อต้านตลอดมา ตั้งแต่คว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์สเวียดนาม 2017 ที่หลายเสียงบอกว่า "สวยก็ไม่สวย ดำก็ดำ" เนื่องจากเธอไว้ผมสั้น และมีผิวสีน้ำผึ้งออกคล้ำตามธรรมชาติ ขัดต่อความนิยมของสาวชาวเวียดนามที่จะต้องขาว -- เฮ็นนิเอแบกบุคคลิกเดียวกันนี้ไปขึ้นเวทีที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ทำให้เพื่อนร่วมชาติจำนวนมาก รู้สึกสิ้นหวังแต่วันแรก -- ก่อนจะเดินทางกลับบ้านเยี่ยงวีรสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งวันนั้นแฟนๆ ไปรอรับกันคึกคักที่สนามบินนครโฮจิมินห์ พร้อมกับเสียงแซ่ซ้องจากสื่อต่างๆติดตามมา
.
.
.
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ครั้งนี้เป็นครั้งประวัติศาสตร์ของมิสยูนิเวิร์ส เพราะเป็นครั้งแรกที่มีสาวแปลงเพศจากประเทศสเปน ได้เข้าร่วมการประกวดด้วย และ เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่มีสาวงามกลุ่มชาติพันธุ์ขึ้นเวที -- เป็นสาวสวยจากปานามา -- โดยไม่ได้พูดถึง เฮ็นนิเอ
แต่ความบกพร่องของนักข่าวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของหญิงสาวจากที่ราบสูงชาวเวียดนามคนนี้ได้
เฮ็นนิเอเกิดและเติบโตในบ้านฝาไม้ใผ่ หลังคามุงหญ้า ที่อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ตามธรรมเนียมของชนเผ่า เธอเคยเล่าประวัติของตัวเองในซเวินจี๊ (Báo Dân trí) ออนไลน์ว่า ตอนอายุ 13 คุณแม่เป็นกังวลมากเนื่องจากยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเช่นคนอื่นเขา ขณะที่หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้าน หลายคนมีสามีมีลูกแล้ว
เฮ็นนิเอก็ไม่ต่างกัน ครอบครัวเตรียมการให้เธอแต่งงานทันทีที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนประจำอำเภอ แต่ "ลูกเป็ดขี้เหร่" ไม่คิดเช่นนั้น หากขวนขวายเพื่อไปต่อ จนสามารถสอบเข้าเรียนวิทยาลัยความสัมพันธ์การค้าต่างประเทศ นครโฮจิมินห์ได้ และ ด้วยแรงสนับสนุนจากพี่ชายจึงทำให้มีวันนี้
เฮ็นนิเอเลือกการเงินเป็นวิชาเอก แต่วิชาเอกในชีวิตจริงกลับเป็นการเดินแบบแฟชั่น เรียนไป ทำงานไป สั่งสมประสบการณ์ไปด้วย เธอตัดสินใจพาบุคคลิกผมสั้นขึ้นเวทีเวียดนามเน็กซ์ท็อปโมเดล 2016 เป็นแห่งแรก และ ไปถึงรอบ 8 คนสุดท้าย -- แต่บนเวทีมิสยูนิเวิร์สเวียดนามปีถัดมา เฮ็นนิเอก็สามารถเอาชนะสาวนางแบบอาชีพ ที่เคยเป็นเจ้าของมงกุฎเน็กซ์ท็อปโมเดลคนนั้นได้อย่างตาลปัด
.
.
นักวิเคราะห์วงในบางคนชี้ว่า เฮ็นนิเอมีเค้าโครงบนใบหน้าคล้ายกับฮัลลี เบอร์รี (Halle Berry) ดาราสาวแอฟริกัน-อเมริกัน เจ้าของรางวัลออสการ์ ที่เคยเป็นรองอันดับ 1 Miss USA 1986 ผมสั้นกับผิวสีน้ำผึ้งคล้ำทำให้เฮ็นนิเอมีบุคคลิกที่แตกต่างอย่างโดดเด่น บนเวทีมิสยูนิเวิร์ส 2018 เมื่อรวมเข้ากับความมั่นใจ ความคล่องแคล่ว กับความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ก็ทำให้ยากที่จะหยุดยั้งได้
สาวชนเผ่าจากที่ราบสูงหลุดโค้ง 3 คนสุดท้าย โดยพ่ายแก่ คาทริโอนา เกรย์ (Catriona Gray) สาวฟิลิปปินส์เจ้าของมงกุฎปีนี้ ทามารีน กรีน (Tamaryn Green) รองอันดับ 1 จากแอฟริกาใต้ กับ สเทฟานี กูเตียร์เรซ (Sthefany Gutiérrez) รองอันดับ 2 ชาวเวเนซูเอลา -- เธอหลุดไปพร้อมกับเคียรา ออร์เตกา (Kiara Ortega) จากเปอร์โตริโก ซึ่งต้องถือเป็นเกียรติประวัติ
เวียดนามไม่ใช่ "โรงงานผลิตนางงาม" เช่นที่วงการเรียกกัน ไม่ได้เศษเสี้ยวหนึ่งของประเทศที่นำหน้าในอุตสาหกรรมนี้อย่างฟิลิปปินส์หรือเวเนซูเอลา เพราะฉะนั้นความสำเร็จของเหวียน เฟือง แคง กับ หะ เฮ็นนิเอ เป็นไปตามความสามารถบนพื้นฐานที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด
2561 เป็นปีทองของนางงามชาวคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง.