MGRออนไลน์ -- ชาวลาวและเชื้อพระวงศ์แห่งพระราชอาณาจักรลาวในอดีต ที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ รวมทั้งมกุฏราชกุมารลาวในต่างแดน -- รวมจำนวนหลายร้อยคน ได้เข้าร่วมในพระราชพิธี ถวายพระเพลิงพระศพเจ้าชายโสริยาวง สะหว่าง พระราชโอรสพระองค์สุดท้าย ในสมเด็จเจ้ามหาชีวิตสะหว่างวัดทะนา กษัตริย์พระองค์สุดท้าย ก่อนที่ลาวจะกลายมาเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ในปัจจุบัน -- พิธีศพจัดขึ้นที่ฌาปนสถานแห่งหนึ่ง ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส วันอังคาร 9 ม.ค.ที่ผ่านมา
เจ้าชายโสริยาวง (Sauryavong Savang) หรือ "สมเด็จเจ้าฟ้าชายโสริยะวง สะหว่าง" เสด็จทิวงคต วันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลท้องถิ่นแห่งหนึ่ง -- ซึ่งในวันที่ 22 เดือนนี้ ก็จะมีพระชนชีพรวม 81 พรรษา -- กำหนดการที่เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กของชาวลาวในฝรั่งเศส ให้รายละเอียดว่า พิธีบำเพ็ญพระกุศลจัดขึ้นที่บ้านพักส่วนพระองค์ ก่อนจะเคลื่อนพระศพไปยังวัดเวฬุวนาราม กรุงปารีส วันที่ 7 ม.ค. เพื่อให้ประชาคมชาวลาวในฝรั่งเศส มีโอกาสเข้าร่วมถวายอาลัย
วันอังคารที่ผ่านมา จึงมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ ที่ฌาปนสถานฟองแตน แซงมาร์แตง (Crematorium Fontaine Saint-Martin) ในเขตวาลองตอง (Valenton) ทางฝั่งตะวันออก เมืองหลวงของฝรั่งเศส
เจ้าชายสุลิวง สะหว่าง (Soulivong Savang) ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท พระองค์ปัจจุบัน กับ บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ ร่วมเป็นเจ้าภาพ มีสมาชิกกับตัวแทน ของสมาคมชาวลาวในต่างแดนรวม 58 สมาคม กับตัวแทนจากองค์การระหว่างประเทศจำนวนหนึ่ง เข้าร่วมด้วย -- พระราชพิธีจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย นายสมวอน ซะนะนิกอน ชาวลาวที่อาศัยทำกินในฝรั่งเศส รายงานในเฟซบุ๊ก พร้อมเสนอภาพถ่ายในพระราชพิธี ระหว่างวันที่ 7-9 ม.ค. นับสิบๆ ภาพ
ผู้ที่ใช้นามว่า "แถ็ก อาแลง เล" เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่เข้าร่วมในพิธี และ ถ่ายวิดีโอคลิปพระราชพิธี จำนวนหลายชิ้น นำขึ้นโพสต์ในเฟซบุ๊ก ช่วงข้ามวันที่ผ่านมา แสดงให้เห็นชาวลาวจำนวนมาก รวมทั้งชาวต่างชาติ กับ ชาวฝรั่งเศส ที่เคยทำงาน รวมทั้งอดีตนายทหารกองทัพฝรั่งเศส จำนวนหนึ่ง ที่เคยไปปฏิบัติหน้าที่ ในพระราชอาณาจักรลาว เมื่อก่อน เข้าร่วมพิธีด้วยเช่นกัน
เจ้าฟ้าชายโสริยาวง ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เล็ก ในสมเด็จพระเจ้ามหาชีวิตสะหว่างวัดทะนา (หรือ สีสะหว่าง วัดทะนา) กับพระราชินีคำผุย ซึ่งเป็นกษัตริย์กับพระราชินีพระองค์สุดท้าย แห่งพระราชอาณาจักรลาว -- เป็นน้องคนสุดท้อง ในบรรดาพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 6 พระองค์ ที่ประกอบด้วยพระเจ้าพี่ยาเธอ 2 พระองค์ รวมทั้งเจ้าฟ้าชายวงสะหว่าง มกุฏราชกุมาร -- กับพระเจ้าพี่นางเธออีก 2 พระองค์ ซึ่งได้แก่ เจ้าหญิงสะหวีวัน สะหว่าง (Princess Savivanh Savang) กับ เจ้าหญิงดาลา สะหว่าง (Princess Thala Savang)
พระเจ้าพี่ยาเธออีก 1 พระองค์คือ เจ้าชายสะหว่าง ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 5 เสด็จทิวงคตแต่แรกเกิด
เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้ายึดเมืองหลวง ในเดือน ธ.ค.2518 เจ้าฟ้าชายโสริยาวง ทรงหลบหนีมายังประเทศไทยได้ทันเวลา ก่อนเสด็จฯ ต่อไปยังประเทศฝรั่งเศส และ เวลาต่อมา ทรงได้รับเลือกจากพระบรมวงศานุวงศ์ ขึ้นเป็น "ผู้สำเร็จราชการ" แทนองค์รัชทายาท ในต่างแดน
.
ถึงแม้ว่าหลายปีต่อมา เจ้าชายสุลิวง สะหว่าง จะได้รับเลือก ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท สืบต่อจากพระราชบิดา (ที่หายสาปสูญ) ก็ตาม เจ้าชายโสริยาวง ยังทรงปฏิบัติหน้าที่เป็น ผู้แทนพระองค์ ขององค์รัชทายาทองค์ปัจจุบัน สืบมา
สำหรับพระเจ้าสีสะหว่างวัดทะนา (Sisavang Vatthana) หรือ ພຣະບາທສົມເດັຈພຣະເຈົ້າມະຫາຊີວິຕ ສີສວ່າງວັດທະນາ ทรงเป็นพระราชโอรส ในพระเจ้ามหาชีวิตสีสะหว่างวง (Sisavang Vong) แห่งราชอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง เสด็จขึ้นครองราชย์ ในเดือน ต.ค.2502 ทรงนำลาว ผ่านความผันแปรทั้งทางการเมืองและสังคม ในช่วงนั้นอย่างมากมาย ในบางช่วงพระองค์ต้องสละราชบัลลังก์ เพื่อดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาล ก่อนจะกลับครองราชย์อีกครั้ง
พระเจ้าสีสะหว่างวัดทะนา หรือ "สะหว่างวัดทะนา" ทรงดำรงฐานะองค์พระประมุข จนถึงวันที่ 2 ธ.ค.2518 ซึ่งฝ่ายคอมมิวนิสต์ปะเทดลาว ประกาศจัดตั้ง สปป.ลาว
พระเจ้ามหาชีวิต ได้ทรงสถาปนาเจ้าฟ้าชายวงสะหว่าง พระราชบุตรพระองค์แรก ขึ้นเป็นมงกุฏราชกุมาร (Crown Prince Vong Savang) เพื่อเตรียมสืบสันติวงศ์ตามกฏมณเฑียรบาล -- แต่การยึดอำนาจของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างในราชอาณาจักรลาว
ทั้งองค์พระประมุข องค์รัชทายาท ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงจำนวนมาก ที่ไม่ยอมเสด็จฯ ออกนอกประเทศ หรือหลบหนีไม่ทัน ได้ถูกฝ่ายคอมมิวนิสต์จับกุม -- ทั้งพระเจ้ามหาชีวิต และ องค์มกุฎราชกุมาร ถูกนำตัวออกจากพระราชวังหลวง ไปควบคุมไว้ที่เมืองเวียงไซ แขวงหัวพัน อันเป็นฐานที่มั่นปฏิวัติ และ ไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวอีกเลย ตลอดหลายปีต่อมา
จนกระทั่งในปี 2532 ทางการลาว จึงออกเปิดเผยข้อมูลเป็นครั้งแรกว่า กษัตริย์พระองค์สุดท้าย เสด็จสวรรคตที่เมืองเวียงไซ ในขณะที่ข้อมูลขององค์การสืบราชการลับสหรัฐ ระบุว่าพระองค์อาจถูกสังหารตั้งแต่ปี 2520 หรือ เพียง 2 ปีหลังจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจ ส่วนองค์รัชทายาทถูกสังหาร เมื่อปี 2522 หรือ อีก 2 ปีถัดมา
.
ส่วนเจ้าชายสุลิวง ทรงพระราชสมภพ ในเดือน พ.ค.2506 ในพระราชวังหลวงพระบาง ทรงเป็นพระโอรส ในองค์มกุฏราชกุมารวงสะหว่าง กับ เจ้าหญิงมะนีไล (Princess Manilay) พระชายา -- นั่นคือ ทรงเป็นพระเจ้าหลานเธอพระองค์แรก ของกษัตริย์พระองค์สุดท้าย -- และ ทรงเติบโตในพระราชวังหลวงพระบางตลอดมา
เมื่อปี 2543 เจ้าชายสุลิวง ขณะมีพระชนมายุ 37 พรรษา ทรงประทานให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สในสหรัฐว่า ปี 2520 -- วันที่ทางการคอมมิวนิสต์ลาว ส่งเจ้าหน้าที่ไปจับกุมพระอัยกา กับ พระราชบิดา พร้อมกับพระบรมวงศานุวงศ์ระดับสูง อีก 6 พระองค์ออกไปจาก พระราชวังหลวงนั้น -- เจ้าชายที่อยู่ในวัย 14 พรรษา ทรงอยู่ที่โรงเรียน และ ทรงได้รับการละเว้น ให้อาศัยอยู่กับพระราชมารดา คือ เจ้าหญิงมะนีไล ในพระราชวังหลวงต่อไป
เจ้าชายทรงศึกษาเล่าเรียน ในโรงเรียนของระบอบใหม่ จนถึงระดับมัธยมศึกษา รวมทั้งได้ทรงศึกษาลัทธิมารี์กซ์-เลนิน เช่นเดียวกับนักเรียนทั่วไปในยุคนั้น กระทั่งเจริญพระชนมายุ 18 พรรษา จึงสามารถหลบหนี ข้ามแม่น้ำโขง มายัง จ.หนองคาย ได้ ในขณะทื่ทรงประทับอยู่ในนครเวียงจันทน์ โดยทรงอ้างมีพระอาการประชวร และ เสด็จจากหลวงพระบาง ไปพบแพทย์ที่นั่น
พระองค์ได้ทรงพบกับพระราชมารดาอีกครั้งหนึ่งเมื่อปี 2542 ในประเทศออสเตรเลีย เมื่อพระธิดา (หรือพระเจ้าน้องเธอ) พระองค์หนึ่ง ทรงมีพระประสูติกาล โดยทางการอนุญาตให้เข้าหญิงมะนีไล เสด็จไปร่วมแสดงความยินดีได้
เจ้าชายทรงศึกษาร่ำเรียนภาษาอังกฤษในประเทศอังกฤษ และ ศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส สำเร็จปริญญาด้านกฎหมายและการเมืองระหว่างประเทศ หลายปีมานี้เสด็จฯ เยี่ยมเยือน หรือ ประชุมพบปะกับประชาคมชาวลาว ที่อาศัยทำกินในแคนาดา สหรัฐ และ ออสเตรเลียมาหลายครั้ง
ในการทูลสัมภาษณ์ของนิวยอร์กไทม์สคราวเดียวกัน มกุฏราชกุมารของลาวตรัสว่า พระองค์ไม่สนพระราชหฤทัย ที่จะผลักดัน ให้มีการสถาปนาระบอบกษัตริย์ ขึ้นในลาวอีก เช่นที่เกิดขึ้นในประเทศสเปน กับอีกหลายประเทศยุโรป ในยุคหลัง -- หากทรงปรารถนา ให้สถาปนาระบอบประชาธิปไตย เพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนา สร้างสรรค์ประเทศชาติ อย่างยั่งยืน ในยุคสมัยใหม่.